พวกเขาอยู่ใกล้งูเหลือมเก้าเล็บมาก ประมาณหนึ่งร้อยหลาหรือน้อยเสียยิ่งกว่านั้น แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้สึกถึงออร่าอันทรงพลังที่เล็ดลอดออกมาจากงูเหลือมเก้าเล็บตัวนั้น นั่นทำให้พวกเขายิ่งประหม่ามากกว่าเก่า ประกอบกับความจริงที่ว่างูเหลือมเก้าเล็บนั้นแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน จนดูเหมือนไม่หายใจด้วยซ้ำ ดังนั้นทุกคนจึงเห็นด้วยกับการคาดเดาของเฟนด์เฮลธ์คิดว่าความรู้ของเฟนด์นั้นนับว่าไม่ธรรมดา แม้ว่าการบ่มเพาะของเขาจะไม่สูง แต่ทันทีที่เขาเปิดปากเฟนด์ก็รู้ดีว่าเขากำลังจะพูดอะไร “คุณฉลาดมาก ศิษย์น้องเฟนด์นั่นแหละที่ผมกำลังหมายถึง งูเหลือมเก้าเล็บตัวนี้ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด พวกคุณไม่คิดว่านี่มันแปลกมากเหรอ? ราวกับว่า...มันไม่มีชีวิตแต่…ตายไปแล้ว "เฟนด์พยักหน้าและมองไปที่งูเหลือมเก้าเล็บที่อยู่ข้างหน้าเขา งูเหลือมเก้าเล็บไม่ขยับจากตำแหน่งเดิมเลย เขาสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นไอใด ๆ ของมัน แม้แต่จังหวะหายใจของมันด้วยซ้ำ เฟนด์ขมวดคิ้วและพูดด้วยความมั่นใจ “ผมคิดว่างูเหลือมเก้าเล็บตัวนี้ตายไปแล้ว”ไบรอันพยักหน้าเช่นกันและพูดว่า “ศิษย์น้องเฟนด์พูดถูก ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่งูเหลือมเก้าเล็บตัวนี้มาตายที่นี่ได้
เอดริกหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “จริง ๆ แล้ว มันไม่แปลกเลย เพราะที่นี่ไม่เหมือนกับโลกข้างนอกนั่น โลกในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามนี้แตกต่างจากโลกภายนอกอย่างมาก บางทีสัตว์อสูรที่นี่อาจไม่ชอบกินซากสัตว์อสูรตัวอื่นก็เป็นได้”เฮลธ์และคนอื่น ๆ พยักหน้า คำอธิบายนี้แทบจะฟังไม่ขึ้นเลย เฟนด์ไม่ได้ฟังการสนทนาของพวกเขา แต่เขากลับยืนเขย่งเท้าและมองไปยังงูเหลือมเก้าเล็บแต่หัวจรดเท้าเขากดปลายนิ้วเท้าลงกับพื้น เปิดใช้งานพลังงานที่แท้จริงของตัวเอง และบินขึ้นไปในอากาศ เขามองลงมาที่งูเหลือมเก้าเล็บจากด้านบน เขาลอยอยู่ในอากาศประมาณสิบกว่าหลาขณะที่เห็นแสงสลัว ๆ กะพริบอยู่ใต้หัวของงูเหลือมเก้าเล็บแสงนั้นอ่อนมากจนถ้าไม่สังเกตให้ดีก็อาจจะมองไม่เห็น เขาคงจะพลาดไปอย่างแน่นอนหากไม่ใช่เพราะได้มองมันลงมาจากด้านบน มุมปากของเฟนด์โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม และเขารีบวิ่งไปยังจุดที่แสงส่องอยู่ทันทีงูเหลือมเก้าเล็บยักษ์ตัวนี้ขดตัวเหมือนยาจุดกันยุง และด้านล่างของหัวงูเหลือมคือจุดที่แสงส่องออกมา เขายังจำได้ชัดเจนว่าเฮลธ์เคยกล่าวไว้ว่าหญ้าวิญญาณและบุปผาวิญญาณจะเป็นของใครก็ตามที่ค้นพบมันเป็นคนแรก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเตือนพวก
เฟนด์เห็นประกายแห่งความโลภในดวงตาของเฮลธ์ เขาเป็นคนหนึ่งที่เอาแต่พูดว่าสมุนไพรวิญญาณและหญ้าวิญญาณจะเป็นของใครก็ตามที่ค้นพบมันเป็นครั้งแรก แต่มาดูจากวิธีที่เขาไม่ได้พูดถึงกฎพื้นฐานอะไรนั่นเลย ก็เป็นที่ชัดเจนว่าเขาทิ้งกฎพื้นฐานนั่นไปแล้วเฟนด์ไม่ใช่คนโง่ เขาไม่ปล่อยให้คนอื่นเอาเปรียบเขาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำการจะสำรวจสิ่งของที่มีแผงกั้นโปร่งใสขวางทางแฟรงก์หัวเราะอย่างเย้ยหยันและมองไปที่เฟนด์ด้วยความดูแคลน “ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมนายถึงรีบพุ่งตัวมาที่นี่ แล้วตอนนี้ทุกอย่างก็เผยออกมาแล้ว! นายวางแผนที่จะฮุบทุกอย่างเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวสินะ!”เฟนด์หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาทันที 'ให้ตายเถอะ เขาน่ารำคาญชะมัด! ทำไมเขาถึงเอาแต่พุ่งเป้ามาที่ฉันอยู่ได้?'“นี่คุณสมองกลวงหรือไง? คุณลืมกฎพื้นฐานไปแล้วเหรอ? หญ้าวิญญาณและบุปผาวิญญาณเป็นของใครก็ตามที่เป็นคนพบมันคนแรก? ก็ไม่แปลกที่ผมจะได้ครอบครองมันเพราะผมเป็นคนพบมัน!” เฟนด์กล่าวอย่างเป็นกันเองใบหน้าของแฟรงก์มืดลงกับคำพูดของเขา เขาไม่คิดเลยว่าเฟนด์จะโต้ตอบเขา เขากำลังจะสวนกลับเมื่อทุกคนได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากรอบ ๆ ทั้งห้าคนตกตะลึงอยู่ค
“นายท่านพูดถูก ที่นี่มีของดีอยู่จริง ๆ ด้วย” ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าพูดอย่างเย็นชาทันทีที่คำพูดนี้ลอยออกมา คนอื่น ๆ ต่างก็ประหลาดใจแต่ไม่ได้เปิดเผยบนใบหน้าของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เฟนด์ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วและซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเฮลธ์ราวกับถูกแทงจนต้องงอตัว เขาทำอย่างระมัดระวังจนทุกคนยกเว้นแฟรงก์ไม่ได้สังเกตว่าเขาทำเช่นนั้น เหตุผลเดียวที่แฟรงก์เห็นเขาก็คือเขายืนอยู่ข้างหลังเฟนด์อยู่ตลอดมาแฟรงก์เย้ยหยันและมองเฟนด์อย่างเหยียดหยาม “แหม ดูเหมือนจะมีบางคนกำลังกลัวจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว ทำไมนายถึงซ่อนอยู่ข้างหลังศิษย์พี่เฮลธ์แบบนั้น? อย่าบอกนะว่านายกลัวศิษย์ของสำนักวายชนม์”มุมปากของเฟนด์กระตุก เขาไม่มีเวลามาต่อกรกับแฟรงก์ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้คือการซ่อนใบหน้าของตัวเองเอาไว้ เพราะคนที่ถูกเรียกว่า 'ศิษย์พี่' คือชายสวมหน้ากากที่เขาได้พบที่ป่าดงอสูรชายสวมหน้ากากยังคงสวมหน้ากากไว้บนใบหน้าของเขา ซึ่งเหมือนกับที่เขาเห็นในวันนั้นทุกประการ แม้แต่เสียงของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไป ดังนั้นจึงต้องเป็นคนเดียวกันอย่างแน่นอน สิ่งที่ทำให้เฟนด์ประหลาดใจจริง ๆ ก็คือชายสวมหน้ากากเข้ามาในแหล่งทร
“มีแต่พวกหน้าซื่อใจคดเท่านั้นแหละที่จะมานั่งพูดเรื่องมารยาทและยางอาย อย่าบอกนะว่าที่พูดแบบนี้ก็เพราะอยากจะรักษาหน้าไม่ให้รู้สึกพ่ายแพ้ ดูก็รู้แล้วว่านายอยากที่จะแย่งชิงเค้กก้อนนี้ของเรา!”ทันทีที่ชายสวมหน้ากากพูดจบ ชายมีหนวดเคราที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาก็หัวเราะออกมา “พวกนายทุกคนก็แค่พวกขี้ขลาด เป็นคนหน้าซื่อใจคด แค่ดูก็รู้แล้วว่าพวกนายไม่ต้องการละทิ้งของล้ำค่าและต้องการหาเหตุผลที่ 'ชอบธรรม' ในการพิสูจน์ตัวเอง! เราไม่ได้เป็นพวกปากอย่างใจอย่างเหมือนนาย แต่พวกนายกล้าที่จะต่อสู้กับเราเพื่อของล้ำค่าพวกนี้ไหมล่ะ? บางทีพวกนายควรดูสภาพตัวเองเสียก่อนนะ!”ใบหน้าของเฮลธ์มืดลง ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครทำให้เขาอับอายเช่นนี้มาก่อน เขาชี้ไปที่ชายมีหนวดเคราด้วยความโกรธและตะโกนว่า “เราไม่ใช่พวกปากอย่างใจอย่าง แค่ดูก็รู้แล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นคนหาเรื่องก่อน แล้วพวกคุณยังมาหาว่าเราเป็นพวกหน้าซื่อใจคดอีกเหรอ?”เฟนด์เม้มริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้ ฟังจากน้ำเสียงของเฮลธ์ก็สัมผัสได้ว่าเขากลัวจริง ๆ และกำลังบังคับตัวเองตอบโต้กลับไปเพื่อรักษาหน้าของเขา ชายมีหนวดเคราคำรามด้วยเสียงหัวเราะและเหวี่ยงขวานเบิกฟ้าชี้ไปท
รังสีที่รุนแรงของชายสวมหน้ากากถูกยับยั้งไว้เล็กน้อยหลังจากที่เขาตกลงบนพื้นอีกครั้ง “ต้องให้ฉันพูดอีกครั้งไหม? เลือกเอาว่าจะไสหัวไปให้พ้นหรือจะตายอยู่ที่นี่ ถ้าพวกนายทุกคนคิดจะอยู่ที่นี่ก็จะไม่มีใครรอดไปได้ทั้งนั้น!”ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ก้าวไปข้างหน้าอีกสิบก้าว และรังสีที่น่าเกรงขามก็ปะทุออกมาจากร่างกายของเขา พวกเขายังคงรู้สึกได้ถึงรัศมีที่รุนแรงอย่างชัดเจนแม้ว่าจะอยู่ห่างจากเขาหลายสิบหลาก็ตาม เฮลธ์ถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วเขาก็บังคับตัวเองก็เอากลับมาครึ่งก้าวราวกับว่าเขาไม่ต้องการให้ชายสวมหน้ากากทำตัวเหนือกว่าได้คิ้วของเอดริกขมวดแน่น และเขากวาดสายตามองไปทั่วศิษย์ของสำนักวายชนม์ทุกคน จากนั้นเขาก็มองดูสมาชิกในกลุ่มของเขาและในที่สุดก็เอ่ยปากออกมาว่า “ศิษย์พี่เฮลธ์ อย่าหุนหันพลันแล่น คุณก็รู้ดีนี่ว่าสมาชิกจากสำนักวายชนม์ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายสักคน ลืมเรื่องมารยาทและศีลธรรมไปก่อนเถอะ แค่ดูก็รู้แล้วว่าคนพวกนี้อยากจะได้หญ้าวิญญาณและแก่นวิญญาณงูเหลือมเก้าเล็บจนแทบคลั่ง อย่าไปสู้กับพวกเขาแล้วรีบออกไปกันเถอะ…”ใบหน้าของเฮลธ์ดูน่ากลัวยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น แฟรงก์หันหน้
ใบหน้าของศิษย์ทั้งเจ็ดของสำนักวายชนม์เป็นสีดำราวกับถ่านหิน เฟนด์จ้องไปที่แฟรงก์อย่างพูดไม่ออกและเกิดคำถามว่าสมองของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอะไรมาหรือเปล่า ดูเหมือนว่าเขาพร้อมที่จะทำให้ทุกคนโมโหได้เสมอหากเขาอยากที่จะอวดอ้างตัวเองเอดริกวางมือบนไหล่ของแฟรงก์ทันทีแล้วกระซิบว่า “นายบ้าไปแล้วหรือไง พวกเขามีกันเจ็ดคนและดูเสื้อผ้าพวกเขาสิ! พวกเขาทุกคนล้วนมาจากสำนักวายชนม์! แล้วมาดูที่ฝั่งเราสิ พวกเราทั้งห้ามาจากสำนักที่แตกต่างกัน และและยังไม่รวมว่าเฟนด์อยู่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น! ถ้าคนพวกนี้คิดจะฆ่าเรา เราไม่มีสิทธิ์คิดว่าจะรอดชีวิตเลยด้วยซ้ำ!”“อย่ามาขี้ขลาดแบบนี้ได้ไหม? เคยมีใครปฏิบัติกับคุณแบบนี้เหรอ คุณไม่ได้ยินหรือว่าเมื่อกี้พวกเขาถามเรายังไง? มันจะปล่อยพวกเราไปง่าย ๆ เหรอ? คุณกลัวพวกเขา แต่ผมไม่กลัว เพราะผมรู้ว่าตัวเองเข้มแข็งขนาดไหน! แม้ว่าศิษย์ของสำนักระดับสี่จะทรงพลัง แต่พวกเราศิษย์เผ่าปฐมหายนะก็ไม่ได้ฝีมือแย่เช่นกัน” แฟรงก์กล่าวอย่างเมินเฉยทุกคนยกเว้นแฟรงก์หน้าเขียวหลังจากได้ยินแบบนั้น ในขณะที่เฟนด์แทบจะหัวเราะออกมา 'ว้าว เขามั่นใจในตัวเองจริง ๆ ฉันล่ะสงสัยสุด ๆ
ใบหน้าของเฮลธ์เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม “ใครจะคิดยังไงแล้วมันจะทำไมล่ะ มันคุ้มกับความปลอดภัยของเราเหรอ? เราไม่ได้หนีหางจุกก้น แต่เรารู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราควรหยุด พวกเราห้าคนสู้พวกเขาทั้งเจ็ดไม่ได้หรอก รู้แบบนี้แล้วทำไมเราจะต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองด้วยล่ะ!”แฟรงก์รู้สึกว่าเฮลธ์ตีความเจตนาของเขาผิด จึงยิ่งร้อนรนด้วยความหงุดหงิด “ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนขี้ขลาดแบบนี้! แน่นอน ผมรู้ว่าเราสู้พวกเขาไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่สามารถจัดการพวกเขาสองสามคนได้นี่! ทำไมเราต้องปล่อยให้พวกเขาทำให้เราขายหน้าแบบนี้ด้วย? ถ้าพวกเราจะไปผมก็พร้อม แต่เราควรจากไปในแบบที่เราไม่ต้องอายใครสิ!”การแสดงออกของเฮลธ์ดูน่ากลัวหลังถูกแฟรงก์สั่งสอน เขาไม่เคยคาดคิดว่าคำพูดเหล่านั้นจะออกมาจากปากของแฟรงก์ 'ไอ้การจากไปแบบที่ไม่ต้องอายใครนี่มันหมายความว่ายังไง? หมายความว่าเราควรจากไปหลังจากที่ได้สั่งสอนพวกเขาแล้วงั้นเหรอ?'เฟนด์หัวเราะเบา ๆ เขาตั้งใจที่จะไม่พูดอะไรออกมา แต่เขาประเมินความโง่เขลาของแฟรงก์ต่ำไปมาก และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำลายความเงียบลง “ศิษย์พี่แฟรงก์ การจากไปในแบบที่เราไม่ต้องอายใครนี่มันหมายความว่ายังไง?
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ