รังสีที่รุนแรงของชายสวมหน้ากากถูกยับยั้งไว้เล็กน้อยหลังจากที่เขาตกลงบนพื้นอีกครั้ง “ต้องให้ฉันพูดอีกครั้งไหม? เลือกเอาว่าจะไสหัวไปให้พ้นหรือจะตายอยู่ที่นี่ ถ้าพวกนายทุกคนคิดจะอยู่ที่นี่ก็จะไม่มีใครรอดไปได้ทั้งนั้น!”ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ก้าวไปข้างหน้าอีกสิบก้าว และรังสีที่น่าเกรงขามก็ปะทุออกมาจากร่างกายของเขา พวกเขายังคงรู้สึกได้ถึงรัศมีที่รุนแรงอย่างชัดเจนแม้ว่าจะอยู่ห่างจากเขาหลายสิบหลาก็ตาม เฮลธ์ถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วเขาก็บังคับตัวเองก็เอากลับมาครึ่งก้าวราวกับว่าเขาไม่ต้องการให้ชายสวมหน้ากากทำตัวเหนือกว่าได้คิ้วของเอดริกขมวดแน่น และเขากวาดสายตามองไปทั่วศิษย์ของสำนักวายชนม์ทุกคน จากนั้นเขาก็มองดูสมาชิกในกลุ่มของเขาและในที่สุดก็เอ่ยปากออกมาว่า “ศิษย์พี่เฮลธ์ อย่าหุนหันพลันแล่น คุณก็รู้ดีนี่ว่าสมาชิกจากสำนักวายชนม์ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายสักคน ลืมเรื่องมารยาทและศีลธรรมไปก่อนเถอะ แค่ดูก็รู้แล้วว่าคนพวกนี้อยากจะได้หญ้าวิญญาณและแก่นวิญญาณงูเหลือมเก้าเล็บจนแทบคลั่ง อย่าไปสู้กับพวกเขาแล้วรีบออกไปกันเถอะ…”ใบหน้าของเฮลธ์ดูน่ากลัวยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น แฟรงก์หันหน้
ใบหน้าของศิษย์ทั้งเจ็ดของสำนักวายชนม์เป็นสีดำราวกับถ่านหิน เฟนด์จ้องไปที่แฟรงก์อย่างพูดไม่ออกและเกิดคำถามว่าสมองของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอะไรมาหรือเปล่า ดูเหมือนว่าเขาพร้อมที่จะทำให้ทุกคนโมโหได้เสมอหากเขาอยากที่จะอวดอ้างตัวเองเอดริกวางมือบนไหล่ของแฟรงก์ทันทีแล้วกระซิบว่า “นายบ้าไปแล้วหรือไง พวกเขามีกันเจ็ดคนและดูเสื้อผ้าพวกเขาสิ! พวกเขาทุกคนล้วนมาจากสำนักวายชนม์! แล้วมาดูที่ฝั่งเราสิ พวกเราทั้งห้ามาจากสำนักที่แตกต่างกัน และและยังไม่รวมว่าเฟนด์อยู่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น! ถ้าคนพวกนี้คิดจะฆ่าเรา เราไม่มีสิทธิ์คิดว่าจะรอดชีวิตเลยด้วยซ้ำ!”“อย่ามาขี้ขลาดแบบนี้ได้ไหม? เคยมีใครปฏิบัติกับคุณแบบนี้เหรอ คุณไม่ได้ยินหรือว่าเมื่อกี้พวกเขาถามเรายังไง? มันจะปล่อยพวกเราไปง่าย ๆ เหรอ? คุณกลัวพวกเขา แต่ผมไม่กลัว เพราะผมรู้ว่าตัวเองเข้มแข็งขนาดไหน! แม้ว่าศิษย์ของสำนักระดับสี่จะทรงพลัง แต่พวกเราศิษย์เผ่าปฐมหายนะก็ไม่ได้ฝีมือแย่เช่นกัน” แฟรงก์กล่าวอย่างเมินเฉยทุกคนยกเว้นแฟรงก์หน้าเขียวหลังจากได้ยินแบบนั้น ในขณะที่เฟนด์แทบจะหัวเราะออกมา 'ว้าว เขามั่นใจในตัวเองจริง ๆ ฉันล่ะสงสัยสุด ๆ
ใบหน้าของเฮลธ์เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม “ใครจะคิดยังไงแล้วมันจะทำไมล่ะ มันคุ้มกับความปลอดภัยของเราเหรอ? เราไม่ได้หนีหางจุกก้น แต่เรารู้ว่าเมื่อไหร่ที่เราควรหยุด พวกเราห้าคนสู้พวกเขาทั้งเจ็ดไม่ได้หรอก รู้แบบนี้แล้วทำไมเราจะต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองด้วยล่ะ!”แฟรงก์รู้สึกว่าเฮลธ์ตีความเจตนาของเขาผิด จึงยิ่งร้อนรนด้วยความหงุดหงิด “ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนขี้ขลาดแบบนี้! แน่นอน ผมรู้ว่าเราสู้พวกเขาไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่สามารถจัดการพวกเขาสองสามคนได้นี่! ทำไมเราต้องปล่อยให้พวกเขาทำให้เราขายหน้าแบบนี้ด้วย? ถ้าพวกเราจะไปผมก็พร้อม แต่เราควรจากไปในแบบที่เราไม่ต้องอายใครสิ!”การแสดงออกของเฮลธ์ดูน่ากลัวหลังถูกแฟรงก์สั่งสอน เขาไม่เคยคาดคิดว่าคำพูดเหล่านั้นจะออกมาจากปากของแฟรงก์ 'ไอ้การจากไปแบบที่ไม่ต้องอายใครนี่มันหมายความว่ายังไง? หมายความว่าเราควรจากไปหลังจากที่ได้สั่งสอนพวกเขาแล้วงั้นเหรอ?'เฟนด์หัวเราะเบา ๆ เขาตั้งใจที่จะไม่พูดอะไรออกมา แต่เขาประเมินความโง่เขลาของแฟรงก์ต่ำไปมาก และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำลายความเงียบลง “ศิษย์พี่แฟรงก์ การจากไปในแบบที่เราไม่ต้องอายใครนี่มันหมายความว่ายังไง?
บรรยากาศตึงเครียดถึงขีดสุด ความเป็นปรปักษ์ดุเดือดจนใกล้จะถึงจุดแตกหัก เฮลธ์อยากจะมีชีวิตรอดออกไปเสียมากกว่า หากพวกเขาต้องสู้กันขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาจะเป็นฝ่ายที่ต้องสูญเสียอย่างหนักหนาสาหัส เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รีบเอื้อมมือไปจับแขนของแฟรงก์เอาไว้เพื่อห้ามไม่ให้ชายหนุ่มพูดอะไรออกมาอีก พวกเขาจะได้รีบออกจากที่นี่ไปด้วยกันแต่ถึงกระนั้นแฟรงก์ก็ดูเหมือนจะไม่สังเกตถึงเรื่องนี้เลย เขาตะโกนใส่ศิษย์ของสำนักวายชนม์ว่า “อย่าบังอาจดูถูกสำนักระดับสาม! แม้แต่ศิษย์จากสำนักระดับสามก็สามารถมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พวกนายจินตนาการได้! คอยดูเถอะ! หลังจากที่ฉันจากไป ฉันจะไปกระจายข่าวเรื่องของล้ำค่าของที่นี่อย่างแน่นอน เพื่อที่ผู้มีอำนาจทั้งหมดจะมาแย่งชิงสมบัติกัน!”เฮลธ์และคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านในใจทันทีที่คำพูดนั้นออกจากปากของแฟรงก์ ในขณะที่ดวงตาของชายสวมหน้ากากมืดลงในชั่วพริบตา สิ่งที่แฟรงก์พูดเตือนเขาว่ามีโอกาสที่พวกเขาจะกระจายข่าวเกี่ยวกับสมบัติหลังจากที่พวกเขาจากไป และคนอื่นอาจกล้าหาญพอที่จะต่อสู้แย่งชิงสมบัติล้ำค่ากับพวกเขา กล่าวอีกนัยหนึ่ง การปล่อยพวกเขาไปก็ดีเท่ากับเป็นการเพิ่มความเสี
ชายสวมหน้ากากรีบวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เขายืนอยู่ตรงกลางโดยมีคนสามคนขนาบข้างทั้งทางซ้ายและขวา เขาหันหน้าไปทางเฮลธ์ ชายสวมหน้ากากขมวดคิ้ว และก่อนที่เฮลธ์และคนอื่น ๆ จะทันได้โต้ตอบ จู่ ๆ เขาก็โบกมือขวาและกระแสลมอันทรงพลังพุ่งเข้าหาพวกเขาทั้งห้าคนแม้ว่าเฮลธ์และคนอื่น ๆ จะไม่แข็งแกร่งเท่าอีกฝ่าย แต่พวกเขาก็แข็งแกร่งในการต่อสู้ พวกเขาเสริมเกราะวิญญาณขึ้นทันทีเพื่อปกป้องตัวเองในขณะที่ชายสวมหน้ากากเคลื่อนไหวเฟนด์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และภายในครึ่งวินาที กระแสลมอันทรงพลังก็พุ่งเข้าใส่พวกเขาแล้ว เขาคิดว่าพลังงานนี้จะบดขยี้เกราะวิญญาณของพวกเขาอย่างรุนแรงจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ทันใดนั้นเอง กระแสลมกลับไม่ได้มีพลังทำลายล้างรุนแรงอย่างรูปลักษณ์ของมัน ถึงกระนั้นเพราะเขาก็ถูกลมนั่นผลักให้ล่าถอยไปพวกเขาทั้งห้าถูกกระแสลมดังกล่าวพัดไปมา โชคดีที่เพราะเขาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด แต่พวกเขาก็ถูกแยกออกจากกัน หัวใจของเฟนด์เต้นไม่เป็นส่ำ และเขาก็เข้าใจแผนการของชายสวมหน้ากากทันที ชายคนนั้นจะจัดการกับพวกเขาทีละคนและจะรีบจัดการพวกเขาให้เสร็จโดยเร็ว!ตอนนี้เฟนด์เพียงต้องการใช้เกราะวิญญาณในการต้านทานผลกระทบ
ศิษย์ทั้งสามของสำนักวายชนม์มองพวกเขาสองคนราวกับว่าพวกเขาเป็นลูกแกะที่รอโดนขย้ำ สีหน้าของพวกเขามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะชายมีหนวดเคราที่มองเฟนด์และแฟรงก์ราวกับพวกเขาคือมื้ออาหารอันโอชะ ตอนนั้นเองที่แฟรงก์ตระหนักได้ว่าเขาเป็นคนสร้างปัญหาชายมีหนวดเคราไม่ได้โจมตีพวกเขาในทันที แต่จ้องมองไปที่แฟรงก์อย่างเย้ยหยัน “นี่ เจ้าหนู ทำไมไม่อวดเก่งต่อไปอีกละ? ความไม่ยอมคนของนายเมื่อครู่หายไปไหนแล้ว? ใครกันที่บอกว่าเราจะไม่กล้าฆ่าพวกนายเพราะมันได้ไม่คุ้มเสีย?”แฟรงก์กลืนน้ำลายและสั่นสะท้านไปทั้งตัว ชายมีหนวดเคราคำรามด้วยเสียงหัวเราะ เมื่อเขาเห็นว่าแฟรงก์มีพฤติกรรมเช่นไร สายตาของเขาไม่เคยละจากแฟรงก์เลยแม้แต่วินาทีเดียว “ยิ่งพูดฉันก็ยิ่งอยากฆ่านายมากขึ้นไปอีก! อีกไม่นาน นายจะได้พบกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก!”แฟรงก์ตัวสั่นเมื่อนึกถึงภาพที่ชายมีหนวดเคราทรมานเขาจนตาย เขาเกือบจะอิจฉาเฟนด์ผู้ซึ่งเขาแน่ใจว่าจะได้ตายอย่างรวดเร็ว ด้วยความตื่นตระหนก จู่ ๆ แฟรงก์ก็ชี้ไปที่หน้ากากบนใบหน้าของเฟนด์แล้วพูดว่า "ก่อนที่พวกนายจะมาเขาไม่ได้สวมหน้ากาก พอเห็นว่าพวกนายมาเขาก็สวมมันไว้! นายน่าจะร
เฮลธ์สูดหายใจเข้าลึก ๆ สวมหน้ากากหรือไม่สวมหน้ากาก เขาก็ไม่สน จากนั้นเขาก็หยิบดาบยาวสองเล่มที่มีความยาวสามฟุตเท่ากันออกมาจากแหวนยุทธของเขาและถือไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง วิชาดาบที่เขาฝึกฝนมานั้นเป็นทักษะดาบคู่ และเขายืนอยู่ในลักษณะที่ทำให้เขาสามารถเปิดการโจมตีได้ในทันที ชายสวมหน้ากากจ้องไปที่เฮลธ์อีกครั้ง เมื่อได้เห็นเช่นนั้นเฟนด์ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและมองไปที่ศิษย์สำนักวายชนม์อีกสามคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาชายมีหนวดเครามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า พยายามอ่านใจเขา ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมาและพูดว่า "ฉลาดดีนี่ที่คิดจะเปลี่ยนเรื่อง แต่นั่นไม่ช่วยอะไรหรอก! ฉันจะถอดหน้ากากของนายด้วยมือของฉันเองเพื่อที่จะได้เห็นกับตาว่านายเป็นใคร!"เฟนด์ถอนหายใจเบา ๆ ไม่สนใจเขา และหันหน้าหนี อันที่จริง ตำแหน่งที่เขาและแฟรงก์อยู่ถือว่าปลอดภัยกว่าอีกสามคน ชายสวมหน้ากากอาจคิดว่าพวกเขาสองคนเป็นพวกกระจอกจึงไล่ต้อนพวกเขาออกมา ซึ่งนั่นจะทำให้เฟนด์หลบหนีได้ง่ายขึ้น แต่แม้ว่าเขาต้องการที่จะหลบหนี แต่เขาก็ต้องแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้านี้ให้ได้เสียก่อนทันทีที่ชายมีหนวดเคราพูดจบ เขาก็พุ่งเข้าหาเฟนด์และแฟรงก์พร้อมทั้งแกว่งขว
ภายในดวงตาของชายมีหนวดมีเคราเกิดประกายตระหนก เขามองไปที่เฟนด์อย่างไม่เชื่อสายตาและตะโกนขึ้นว่า “ไอ้สารเลว! แกกำลังฝึกฝนศิลปยุทธแบบไหนกันทำไมถึงได้ต่อกรกับทักษะธาตุไฟที่ฉันฝึกอยู่ได้?!”เฟนด์เยาะเย้ยและไม่พูดอะไรกลับไป ทักษะทลายห้วงสุญญะที่เขาบ่มเพาะนั้นอย่างน้อยก็เป็นทักษะระดับนภา หากไม่ใช่เพราะความทรงจำที่บรรพบุรุษในสมัยโบราณทิ้งไว้ให้ เขาคงจะไม่สามารถบอกได้ในทันทีว่าเปลวเพลิงบนขวานผ่าภูเขาเป็นทักษะยุทธประเภทใด แต่ด้วยความช่วยเหลือจากความทรงจำที่ได้รับมา เขาถึงสามารถมองออกได้อย่างรวดเร็วว่าเปลวเพลิงดังกล่าวจะต้องเป็นทักษะศิลปยุทธขั้นสูงระดับโลหิต ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับที่เวสลีย์มีแต่ทักษะศิลปยุทธของเวสลีย์ไม่ได้ทรงพลังเท่ากับเปลวเพลิงนี้ ซึ่งก็หมายความว่าระดับความเชี่ยวชาญในการใช้เปลวเพลิงของชายมีหนวดมีเครานั้นต้องสูงกว่าของเวสลีย์อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นทำให้เกิดช่องว่างระหว่างทักษะศิลปยุทธที่ทั้งสองคนใช้เมื่อดูจากภายนอกชายมีหนวดเคราอาจดูสงบ แต่ภายในใจของเขากับมีพายุกำลังก่อตัวขึ้น เขารู้ว่าชายสวมหน้ากากต้องการให้พวกเขาฆ่าเฟนด์และคนอื่น ๆ ให้เร็วที่สุดเพื่อเลี่ยงการการดึงดูดความสน