“มีข้อจำกัดสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าสู่แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม ผู้ที่มีความสามารถในการต่อสู้สูงกว่าขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดจะถูกปิดกั้นจากที่นั่น มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดหรือต่ำกว่าเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่ต้องการเข้าสู่พื้นที่ต้องห้ามจำเป็นต้องมีบัตรผ่านสำหรับการเข้า ไม่มีใครสามารถเข้าสู่พื้นที่ต้องห้ามนั้นได้หากไม่มีบัตรผ่าน และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีการจำกัดจำนวน ฉันต่อสู้เพื่อเธอและระวังว่าเธอจะไม่ทำให้ความพยายามของฉันเสียเปล่า”เฟนด์ที่ตื่นเต้นและแววตาที่สดใสฉายผ่านดวงตาของเขาหลังจากที่เขาได้ยินคำอธิบายของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ หากมีข้อจำกัดด้านพลังยุทธของพวกเขา เขาจะไม่ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงหลังจากที่เขาเข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม ปัญหาเดียวที่เขาอาจต้องเผชิญอาจมาจากพื้นที่ต้องห้ามเองเสียมากกว่าเขาอดไม่ได้ที่จะนั่งยืดตัวตรงเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สายตาของเขาจับจ้องไปที่การบูรที่อยู่ข้างหลังผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ และผู้อาวุโสก็อดฟรีย์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของเฟนด์เขาผลักถ้วยชาไปทางเฟนด
“ถ้าบัตรผ่านเหล่านี้ถูกมอบให้กับสำนักวายชนม์โดยสำนักสหัสบรรณ นี่ก็หมายความว่าสำนักทั้งสองได้บรรลุข้อตกลงบางอย่างกันไปแล้วใช่ไหม?”ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์พยักหน้า และสีหน้าแปลก ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา เขาดูคล้ายจะคร่ำครวญและพูดตะกุกตะกักไปพร้อมกัน “อย่างที่เธอคิดนั่นแหละ สำนักสหัสบรรณเป็นคนกระจายข่าวเรื่องนี้ไปยังสำนักวายชนม์เอง ส่วนที่น่าขันก็คือไม่เพียงแค่สำนักวายชนม์ได้รับอนุญาตเป็นจำนวนห้าสิบตำแหน่ง… แต่ตำหนักระดับสามสองแห่งจากทางใต้ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักวายชนม์ต่างก็ได้รับอนุญาตที่จำนวนยี่สิบตำแหน่งเหมือนเราเช่นกัน หมายความว่าสำนักทางเหนือและใต้ต่างมีจำนวนคนเท่ากัน”การแสดงออกของเฟนด์เปลี่ยนไปจนอีกฝ่ายอ่านไม่ออกว่าเขารู้สึกยังไงหลังจากได้ยินเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าเมื่อดูจากการกระทำของพวกเขาแล้ว ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าสำนักสหัสบรรณกำลังคิดอะไรอยู่ พวกเขาไม่รู้หรือว่าการทำเช่นนี้ถือเป็นการก้มหัวให้ศัตรูและเหยียดหยามตัวเอง? พวกเขากระจายทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน และไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบผู้อาวุโสก็อดฟรีย์หัวเราะเบา ๆ “เธอไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นงั้นเหรอ? ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ครั้
เฟนด์เลิกคิ้วและรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหนูลองยาด้วยอีกคน จำนวนคนยี่สิบคนที่ได้รับเลือกนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง และพวกเขาไม่ใช่ศิษย์ที่ถูกเลือก ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับเลือกให้เป็นหนูลองยาในภารกิจนี้ ส่วนศิษย์ที่ถูกเลือกอีกเจ็ดคนที่เหลืออาจได้เข้าไปในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามไม่ช้าก็เร็ว อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้อาจได้เข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามหลังจากที่พวกเขาออกจากที่นั่นมาแล้วในขณะนี้เฟนด์ก็นึกถึงกริฟฟินซึ่งพุ่งเป้ามาที่เฟนด์เพราะเรื่องจำนวนคน เขาต้องการให้เฟนด์ปฏิเสธการเข้าไปในแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามและมอบตำแหน่งให้กับน้องชายของเขาทันใดนั้นเฟนด์ก็ถามขึ้นว่า “น้องชายของกริฟฟินอยู่ในอันดับที่เจ็ดในหมู่ศิษย์ภายในใช่หรือเปล่า?”ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์หัวเราะเบา ๆ และพยักหน้า “เธอนี่สมองไวดีจริง ๆ ฮาวเวิร์ด โอลเซ่นน้องชายของกริฟฟินอยู่ในอันดับที่เจ็ดในหมู่ศิษย์ภายใน ถ้าไม่มีเธอ ศิษย์ภายในก็จะได้รับเจ็ดตำแหน่งในการเข้าสู่แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม แต่ในเมื่อตอนนี้เธอกลายเป็นศิษย์คนสุดท้ายของฉันแล้ว ฉันก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อเธออย่างเต็มที่ คงไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เธอก็เป็นถึงศิษย์ผู้อาวุโสแล้ว และผู้อาวุ
เฟนด์หัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขาเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “สำหรับคนที่รู้แค่วิธีใช้กำลังและต่อสู้โดยไม่ใช้สมองจะน่ากลัวแค่ไหนกันเชียว”ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์พยักหน้าตามความคิดเห็นของเฟนด์เกี่ยวกับกริฟฟิน ถือเป็นความคิดที่แม่นยำอย่างไม่ต้องสงสัย “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมเธอถึงดูค่อนข้างกังวล? มีอะไรที่คิดไม่ตกอยู่หรือเปล่า?”เฟนด์ไม่ได้ปิดบังความคิดความอ่านของตัวเองไว้และพยักหน้า “เพราะกริฟฟินทำให้ผมคิดไปถึงผู้อาวุโสลำดับที่สอง สิ่งที่ผู้อาวุโสลำดับที่สองพูดบนเวทีทรงกลมนั่นตราตึงอยู่ในใจของผมอย่างลึกซึ้ง แล้วผมก็คิดว่าการจะจัดการคราวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คงไม่ได้พูดแบบนี้เพราะหวังจะให้คุณต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจแทน ผมแค่คิดว่ามันไม่ฉลาดเลยที่คุณไปทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองขุ่นเคืองพร้อมกันแบบนี้ ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งไม่เท่าไหร่หรอก แต่ผู้อาวุโสลำดับที่สองนั้นไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย”เฟนด์พูดด้วยความจริงใจจนผู้อาวุโสก็อดฟรีย์พยักหน้า เขาน้อมรับในสิ่งที่เฟนด์พูดไว้ในใจทันที เขาขยับตัวและมองไปที่เฟนด์ก่อนจะยื่นมือไปตบไหล่เฟนด์เล็กน้อย “ฉันรู้ว่าเธอพูดเพราะหวังดี อันที่จริง ฉันเองก็มาคิดเรื่องนี้อย่างถ้วน
เฟนด์ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เนื่องจากพวกเขากำลังเข้าสู่แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามด้วยกัน พวกเขาจึงต้องรอกันและกันในตำแหน่งที่จะเข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม เมื่อถึงตอนนั้น เหล่าผู้อาวุโสหรือหัวหน้าสำนักจะต้องมาเยี่ยมชมสถานที่พร้อมกับพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพียงแค่มองดูสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเฟนด์กำลังคิดผิดไป เขาหัวเราะเบา ๆ และอธิบายว่า “วิธีการเข้าไปยังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามนั้นต่างจากที่เธอคิดนะ เราไม่จำเป็นต้องรวมตัวกันที่จุดเดียวเพื่อเปิดใช้งานแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม แค่เพียงมีบัตรผ่านเราจะเข้าไปตอนไหนก็ได้”นี่ไม่ใช่สิ่งที่เฟนด์คิด เฟนด์สันนิษฐานว่าการเปิดใช้งานพื้นที่ต้องห้ามทั้งหมดต้องใช้ศิลาวิญญาณหรือไม่ก็ผลึกวิญญาณจำนวนมาก โพรงสุญญะต้องการการสนับสนุนจากพลังงานที่เพียงพอเพื่อที่จะทำให้พวกที่ต้องการเข้าไปด้านในสามารถเข้าไปได้ ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์เริ่มอธิบายให้เฟนด์ฟังอย่างอารมณ์ดี “แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามนี้ค่อนข้างพิเศษเนื่องจากมันตั้งอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐเวสต์ เซอร์ซี พื้นที่ต้องห้ามนี้แยกตัวจากพื้น
สีหน้าของเฟนด์มืดลงเมื่อเขาได้ยินคำอธิบายของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ “นี่หมายความว่าแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามแห่งนี้ยินดีต้อนรับการเข้ามาของคนนอกอย่างพวกเรางั้นเหรอ? เป็นไปได้ไหมว่าสถานที่นี้อาจถูกปรมาจารย์โบราณทิ้งเอาไว้ แล้วเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการผู้สืบทอด”ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์พยักหน้า “ฉันแนะนำให้เธอเข้าไปในที่แห่งนี้ก็เพราะว่าฉันสันนิษฐานว่าแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามเป็นมรดกที่ปรมาจารย์โบราณทิ้งเอาไว้ให้”เฟนด์หายใจออกพรืดยาวผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ยกมือขึ้นและตบไหล่เขา “อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป หากตกอยู่ในอันตรายเมื่อไหร่ โปรดจำไว้ว่าความปลอดภัยของเธอสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด และอย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น”หลังจากพูดจบ ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์แตะแหวนรูปเต่าที่นิ้วมือข้างซ้ายด้วยมือขวา เฟนด์เห็นเพียงแสงสีดำ ส่องประกายก่อนที่ป้ายขนาดเท่าฝ่ามือของเขาจะปรากฏขึ้นในมือของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ดังกล่าวมีรูปร่างแปลก ๆ และเต็มไปด้วยการแกะสลักอักษรรูนและคาถาที่เขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีแสงสีแดงต่าง ๆ ปรากฏอยู่บนนั้นอีกด้วยผู้อาวุโสก็อดฟรีย์มองดูบัตรผ่านอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะวางมันไว้ในมือของเฟนด์หลัง
“การต่อสู้ที่น่ากลัวอาจเกิดขึ้นเมื่อถึงตอนนั้น และผู้คนจากสำนักวายชนม์ก็คงจะต้องเข้ามาร่วมด้วย ในนั้นคงเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีนัก”แนชกังวลมากขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาหยุดเดินและยื่นมือไปดึงแขนเฟนด์ “ถ้าอย่างนั้นลูกจะเข้าไปทำไม? หลังจากเข้าไปในนั้นลูกอาจต้องประสบกับอันตรายทุกรูปแบบ ลูกไม่กลัวหรือ? ลูกไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด…”“แน่นอนว่าผมต้องกลัว แต่ผมจะปล่อยให้ความกลัวมาหยุดผมไว้แบบนี้ไม่ได้ ศิลปะยุทธคือวิธีการต่อต้านธรรมชาติเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา ถ้าเราไม่ฝืนธรรมชาติและเดินหน้าต่อไป เราก็จะเป็นได้แค่คนธรรมดา”แนชได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่พูดอะไรและเดินตามหลังเฟนด์ต่อไปในขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปยังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม เฟนด์หยิบแผนที่ออกมาอ้างอิงทุก ๆ ห้าสิบเมตรที่พวกเขาก้าวเดิน ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์วาดแผนที่นี้ให้เฟนด์ด้วยตัวเอง และยังให้คำแนะนำกับเฟนด์เกี่ยวกับตำแหน่งของแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามเฟนด์ดูแผนที่อย่างละเอียด และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดว่า “เรามาถูกแล้ว มันน่าจะต้องเป็นที่นี่สิ...แต่ทำไมมันดูทุรกันดารนัก? ทุกตารางนิ้วของที่นี่มีแต
อย่างไรก็ตามเฟนด์เพียงแค่ยิ้มเยาะ ไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือหวาดหวั่นแต่อย่างใด“ไอ้สารเลว!” กริฟฟินคำราม “กล้าดียังไงมาเหยียดหยามฉันแบบนี้?! ฉันจะฆ่าแก!”ด้วยเหตุนี้ กริฟฟินจึงเปิดใช้พลังที่แท้จริงของเขาและกำลังจะโจมตีเฟนด์ ในขณะที่ฮาวเวิร์ดซึ่งยืนอยู่ด้านหลังกริฟฟินจับไหล่พี่ชายของเขาเอาไว้เมื่อเขาสังเกตเห็นว่ากริฟฟินกำลังจะทำการโจมตี “พี่ชาย นี่ไม่ใช่เวลาต่อสู้! ไม่ว่ายังไงเราก็เป็นศิษย์จากสำนักเดียวกัน แถมเรายังถูกโพรงสุญญะล้อมเอาไว้อีก หากพื้นที่รอบตัวเราถูกรบกวน และมีใครที่ไหนไม่รู้ปรากฏตัวขึ้น ถึงตอนนั้น ข่าวคราวของชายผู้นี้อาจแพร่สะพัดออกไป ผมแน่ใจว่าพี่รู้กฎของสำนักเราดี ถ้าพี่ทำให้เขาเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัส พี่จะต้องถูกลงโทษ”ตำหนักสองกษัตริย์ห้ามไม่ให้ศิษย์ฆ่ากันเองนอกตำหนักใบหน้าของกริฟฟินซีดลงเล็กน้อย ขณะที่เขาจ้องมองไปยังเฟนด์ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาสั่นเล็กน้อย “อย่าอวดดีให้มากนักนะ ไอ้สารเลว ตอนนี้ฉันอาจจะฆ่านายไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าหลังจากออกจากพื้นที่ต้องห้ามแล้วโชคจะยังเข้าข้างนายอยู่! ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่อยากจะฆ่านาย นายไปทำให้ใครต่อใครไม่
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ