เฟนด์ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เนื่องจากพวกเขากำลังเข้าสู่แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามด้วยกัน พวกเขาจึงต้องรอกันและกันในตำแหน่งที่จะเข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม เมื่อถึงตอนนั้น เหล่าผู้อาวุโสหรือหัวหน้าสำนักจะต้องมาเยี่ยมชมสถานที่พร้อมกับพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพียงแค่มองดูสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเฟนด์กำลังคิดผิดไป เขาหัวเราะเบา ๆ และอธิบายว่า “วิธีการเข้าไปยังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามนั้นต่างจากที่เธอคิดนะ เราไม่จำเป็นต้องรวมตัวกันที่จุดเดียวเพื่อเปิดใช้งานแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม แค่เพียงมีบัตรผ่านเราจะเข้าไปตอนไหนก็ได้”นี่ไม่ใช่สิ่งที่เฟนด์คิด เฟนด์สันนิษฐานว่าการเปิดใช้งานพื้นที่ต้องห้ามทั้งหมดต้องใช้ศิลาวิญญาณหรือไม่ก็ผลึกวิญญาณจำนวนมาก โพรงสุญญะต้องการการสนับสนุนจากพลังงานที่เพียงพอเพื่อที่จะทำให้พวกที่ต้องการเข้าไปด้านในสามารถเข้าไปได้ ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์เริ่มอธิบายให้เฟนด์ฟังอย่างอารมณ์ดี “แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามนี้ค่อนข้างพิเศษเนื่องจากมันตั้งอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐเวสต์ เซอร์ซี พื้นที่ต้องห้ามนี้แยกตัวจากพื้น
สีหน้าของเฟนด์มืดลงเมื่อเขาได้ยินคำอธิบายของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ “นี่หมายความว่าแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามแห่งนี้ยินดีต้อนรับการเข้ามาของคนนอกอย่างพวกเรางั้นเหรอ? เป็นไปได้ไหมว่าสถานที่นี้อาจถูกปรมาจารย์โบราณทิ้งเอาไว้ แล้วเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการผู้สืบทอด”ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์พยักหน้า “ฉันแนะนำให้เธอเข้าไปในที่แห่งนี้ก็เพราะว่าฉันสันนิษฐานว่าแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามเป็นมรดกที่ปรมาจารย์โบราณทิ้งเอาไว้ให้”เฟนด์หายใจออกพรืดยาวผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ยกมือขึ้นและตบไหล่เขา “อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป หากตกอยู่ในอันตรายเมื่อไหร่ โปรดจำไว้ว่าความปลอดภัยของเธอสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด และอย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น”หลังจากพูดจบ ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์แตะแหวนรูปเต่าที่นิ้วมือข้างซ้ายด้วยมือขวา เฟนด์เห็นเพียงแสงสีดำ ส่องประกายก่อนที่ป้ายขนาดเท่าฝ่ามือของเขาจะปรากฏขึ้นในมือของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ดังกล่าวมีรูปร่างแปลก ๆ และเต็มไปด้วยการแกะสลักอักษรรูนและคาถาที่เขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีแสงสีแดงต่าง ๆ ปรากฏอยู่บนนั้นอีกด้วยผู้อาวุโสก็อดฟรีย์มองดูบัตรผ่านอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะวางมันไว้ในมือของเฟนด์หลัง
“การต่อสู้ที่น่ากลัวอาจเกิดขึ้นเมื่อถึงตอนนั้น และผู้คนจากสำนักวายชนม์ก็คงจะต้องเข้ามาร่วมด้วย ในนั้นคงเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีนัก”แนชกังวลมากขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาหยุดเดินและยื่นมือไปดึงแขนเฟนด์ “ถ้าอย่างนั้นลูกจะเข้าไปทำไม? หลังจากเข้าไปในนั้นลูกอาจต้องประสบกับอันตรายทุกรูปแบบ ลูกไม่กลัวหรือ? ลูกไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด…”“แน่นอนว่าผมต้องกลัว แต่ผมจะปล่อยให้ความกลัวมาหยุดผมไว้แบบนี้ไม่ได้ ศิลปะยุทธคือวิธีการต่อต้านธรรมชาติเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา ถ้าเราไม่ฝืนธรรมชาติและเดินหน้าต่อไป เราก็จะเป็นได้แค่คนธรรมดา”แนชได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่พูดอะไรและเดินตามหลังเฟนด์ต่อไปในขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปยังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม เฟนด์หยิบแผนที่ออกมาอ้างอิงทุก ๆ ห้าสิบเมตรที่พวกเขาก้าวเดิน ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์วาดแผนที่นี้ให้เฟนด์ด้วยตัวเอง และยังให้คำแนะนำกับเฟนด์เกี่ยวกับตำแหน่งของแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามเฟนด์ดูแผนที่อย่างละเอียด และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดว่า “เรามาถูกแล้ว มันน่าจะต้องเป็นที่นี่สิ...แต่ทำไมมันดูทุรกันดารนัก? ทุกตารางนิ้วของที่นี่มีแต
อย่างไรก็ตามเฟนด์เพียงแค่ยิ้มเยาะ ไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือหวาดหวั่นแต่อย่างใด“ไอ้สารเลว!” กริฟฟินคำราม “กล้าดียังไงมาเหยียดหยามฉันแบบนี้?! ฉันจะฆ่าแก!”ด้วยเหตุนี้ กริฟฟินจึงเปิดใช้พลังที่แท้จริงของเขาและกำลังจะโจมตีเฟนด์ ในขณะที่ฮาวเวิร์ดซึ่งยืนอยู่ด้านหลังกริฟฟินจับไหล่พี่ชายของเขาเอาไว้เมื่อเขาสังเกตเห็นว่ากริฟฟินกำลังจะทำการโจมตี “พี่ชาย นี่ไม่ใช่เวลาต่อสู้! ไม่ว่ายังไงเราก็เป็นศิษย์จากสำนักเดียวกัน แถมเรายังถูกโพรงสุญญะล้อมเอาไว้อีก หากพื้นที่รอบตัวเราถูกรบกวน และมีใครที่ไหนไม่รู้ปรากฏตัวขึ้น ถึงตอนนั้น ข่าวคราวของชายผู้นี้อาจแพร่สะพัดออกไป ผมแน่ใจว่าพี่รู้กฎของสำนักเราดี ถ้าพี่ทำให้เขาเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัส พี่จะต้องถูกลงโทษ”ตำหนักสองกษัตริย์ห้ามไม่ให้ศิษย์ฆ่ากันเองนอกตำหนักใบหน้าของกริฟฟินซีดลงเล็กน้อย ขณะที่เขาจ้องมองไปยังเฟนด์ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาสั่นเล็กน้อย “อย่าอวดดีให้มากนักนะ ไอ้สารเลว ตอนนี้ฉันอาจจะฆ่านายไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าหลังจากออกจากพื้นที่ต้องห้ามแล้วโชคจะยังเข้าข้างนายอยู่! ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่อยากจะฆ่านาย นายไปทำให้ใครต่อใครไม่
สิ่งที่ฮาวเวิร์ดพูดแฝงความหมายโดยนัยว่าพวกเขาได้ให้เกียรติเขาด้วยการขอให้เขาสละตำแหน่งให้ แต่เฟนด์กับไม่ยอมรับความเมตตาของพวกเขาโดยการปฏิเสธมันเฟนด์อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะออกมา คนพวกนี้บางทีก็ดูไม่ปกติ และพวกเขามักจะมีเหตุผลข้างๆ คู ๆ คอยสนับสนุนตัวเองอยู่เสมอ เฟนด์ในแต่รู้สึกว่าพวกเขาเป็นพวกไร้แก่นสารอย่างที่สุดสีหน้าของแนชมืดลง “ทำไมสองคนนั่นถึงน่ารังเกียจขนาดนี้? พวกเขาพูดอะไรออกมา ทำไมลูกต้องยกตำแหน่งอะไรให้เขาด้วย? และการไม่ยอมทำตามความต้องการของคนอื่นมันผิดตรงไหน? พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร?”“เขาคิดว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าและสามารถเหยียบย่ำใครก็ได้ แต่แผนการของพวกเขานั้นใช้ประโยชน์กับผมไม่ได้ผลหรอก” เฟนด์กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา แนชถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และรู้สึกว่าสถานการณ์ของที่นี่เริ่มไปไม่สวย หากตอนนี้เขาอยู่ในแคทธีเซียเรื่องราวคงง่ายมันปอกกล้วยเข้าปากอย่างไรก็ตามเฟนด์จดจ่อกับการไล่ตามเป้าหมายจนกว่าจะก้าวไปถึงจุดสูงสุดของศิลปะยุทธ และเขาจะบั่นทอนกำลังใจของลูกตัวเองไม่ได้แนชหันกลับมามองเฟนด์ด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง “หลังจากเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามแล้วลูกต้องระวังตัวเองให้ดี โ
แนชมองเฟนด์ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเฟนด์ขมวดคิ้วขณะที่เขาลดเสียงลง “รีบกลับเข้าไปในมัสตาร์ด ซี๊ดก่อน ผมรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งกำลังใกล้เข้ามา”แนชหน้าซีดเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาไม่กล้ารอช้าและกูลีกูจอเข้าไปในมัสตาร์ด ซี๊ดทันที ทิ้งเฟนด์ให้ยืนอยู่ที่นั่นเพียงลำพังเฟนด์ขมวดคิ้วขณะที่เขาเบิกตากว้างขณะสำรวจรอบ ๆ ที่นี่เป็นพื้นที่ภูเขาขรุขระและมีท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ทอดยาว หลังจากผ่านไปสามอึดใจ เสียงฝีเท้าที่นุ่มนวลก็ดังชัดเจนอยู่เบื้องหน้าเขาเฟนด์เงยหน้าขึ้นมองและอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว ห่างจากเขาไปราวสี่สิบถึงห้าสิบเมตรมีภูเขาที่สูงกว่าทั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า และบนยอดเขามีหมาป่าสามหัวยืนอยู่ด้วยหมาป่าสามหัวตัวนี้สูงหนึ่งเมตรและยืนอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดซึ่งทอดเงาลงมา หัวทั้งสามของหมาป่าดูคล้ายจะมีร่างกายเดียวกัน และดวงตาทั้งหกของมันก็จับจ้องตรงมายังเฟนด์ มุมปากของเฟนด์กระตุกในขณะที่เขาประเมินความสามารถในการต่อสู้ของหมาป่าสามหัวตามสัญชาตญาณ...แต่เขากลับไม่อาจระบุระดับพลังยุทธของมันได้ในที่สุดเมื่อรู้เรื่องนี้เฟนด์ก็ยิ่งใจคอไม่ดีเขาอ่านตำราโบราณทั้งหมดเพื่อทำความเข้าใจทวีปเฮสเทีย แต่
เฮลธ์ เวย์หัวเราะเบาๆ “คุณไม่ต้องกลัว หมาป่าสามหัวตัวนี้อยู่ในขั้นแรกของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น แถมพวกมันก็โง่มาก หมาป่านั่นคิดว่ามันเป็นเจ้าป่าบนเนินเขานี้”เฟนด์รู้สึกผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินสิ่งที่คนคนนี้พูด ในตอนแรก เขานึกสงสัยไปว่าหมาป่าสามหัวตัวนั้นอยู่ในระดับผลึกวสันต์ นั่นก็เพราะหากพวกมันมีระดับพลังยุทธสูงกว่าเขา เขาจะไม่สามารถประเมินระดับพลังยุทธของอีกฝ่ายได้ แต่กระนั้นมันไม่สมเหตุสมผลเลยที่เขาจะไม่สามารถระบุระดับพลังยุทธของหมาป่าสามหัวตัวนี้ได้ หากมันอยู่ในขั้นแรกของระดับแรกกำเนิดเท่านั้นเฮลธ์รู้ว่าเฟนด์กำลังคิดอะไรเมื่ออ่านจากสีหน้าของเขา รอยยิ้มปรากฏขึ้นในขณะที่เขาอธิบายว่า “กฎของสวรรค์และโลกใบนี้แตกต่างจากกฎของโลกภายนอก คุณไม่สามารถใช้วิธีเดิม ๆ ในการตรวจสอบระดับพลังยุทธของสัตว์อสูรได้ แต่คุณต้องตรวจสอบมันด้วยรังสีที่พวกมันปล่อยออกมา”เฟนด์พยักหน้าเพราะเขาเข้าใจสิ่งที่ชายคนนั้นพูดอย่างถ่องแท้ ในความเป็นจริง ศิษย์ของสำนักสหัสบรรณทั้งสองปฏิบัติต่อเขาด้วยความเป็นมิตร ต่างจากศิษย์จากเผ่าปฐมหายนะที่มองเขาในลักษณะที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย มีแววตาเยาะเย้ยในดวงตาของพวกเขาขณะที่พวกเข
ใบหน้าของแฟรงก์มืดลงเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินว่าเฟนด์ตรงไปตรงมาขนาดไหน “นายนี่มันปากดีจริง ๆ หาว่าใครจะเป็นตัวถ่วงใครฮะ? กล้าดียังไง! ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาซะบ้าง! ดูระดับพลังยุทธของนายและระดับพลังยุทธของเราสิ ในตอนนี้ ที่เราช่วยนายเพราะเราคิดว่าเราจะมีสมาชิกที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดเพิ่มอีกคน แต่ตอนนี้พอมาดูให้ดี ๆ แล้ว เราก็ตระหนักได้ว่านายเป็นแค่ชายหนุ่มที่อยู่ในขั้นกลางเท่านั้น”เฟนด์ขมวดคิ้วเมื่อแฟรงก์มีกริยาก้าวร้าวขึ้น เขายังยกระดับพลังยุทธของเฟนด์มาพูดเพื่อเอาชนะ เฟนด์ไม่อยากที่จะโต้เถียงกับพวกเขาหากสองคนนี้ไม่หาเรื่องเขาก่อน แต่แล้วเขาก็ไม่อาจทนมันได้อีกต่อไป เนื่องจากแฟรงก์ยังหาเรื่องกับเขาไม่เลิก “อะไรคือปัญหาระหว่างขั้นกลางและขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดล่ะ? คุณคิดว่าตัวเองจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจเพราะคุณอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดงั้นหรือ? บอกตามตรงนะ ความสามารถในการต่อสู้ของคุณสู้อะไรผมไม่ได้เลย ถ้าไม่เชื่อก็มาดวลกับผมเสียตอนนี้เลยสิ”แฟรงก์ที่ยืนอยู่หน้าเฟนด์นั้นอยู่ในระดับเดียวกับโอลิเวอร์และเฟนด์ก็ไม่ใส่ใจในเรื่องนี้มากนัก ทว่าแฟรงก์โกรธมากหลังจากได้ยิ