เฟนด์ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เนื่องจากพวกเขากำลังเข้าสู่แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามด้วยกัน พวกเขาจึงต้องรอกันและกันในตำแหน่งที่จะเข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม เมื่อถึงตอนนั้น เหล่าผู้อาวุโสหรือหัวหน้าสำนักจะต้องมาเยี่ยมชมสถานที่พร้อมกับพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพียงแค่มองดูสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเฟนด์กำลังคิดผิดไป เขาหัวเราะเบา ๆ และอธิบายว่า “วิธีการเข้าไปยังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามนั้นต่างจากที่เธอคิดนะ เราไม่จำเป็นต้องรวมตัวกันที่จุดเดียวเพื่อเปิดใช้งานแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม แค่เพียงมีบัตรผ่านเราจะเข้าไปตอนไหนก็ได้”นี่ไม่ใช่สิ่งที่เฟนด์คิด เฟนด์สันนิษฐานว่าการเปิดใช้งานพื้นที่ต้องห้ามทั้งหมดต้องใช้ศิลาวิญญาณหรือไม่ก็ผลึกวิญญาณจำนวนมาก โพรงสุญญะต้องการการสนับสนุนจากพลังงานที่เพียงพอเพื่อที่จะทำให้พวกที่ต้องการเข้าไปด้านในสามารถเข้าไปได้ ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์เริ่มอธิบายให้เฟนด์ฟังอย่างอารมณ์ดี “แหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามนี้ค่อนข้างพิเศษเนื่องจากมันตั้งอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐเวสต์ เซอร์ซี พื้นที่ต้องห้ามนี้แยกตัวจากพื้น
สีหน้าของเฟนด์มืดลงเมื่อเขาได้ยินคำอธิบายของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ “นี่หมายความว่าแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามแห่งนี้ยินดีต้อนรับการเข้ามาของคนนอกอย่างพวกเรางั้นเหรอ? เป็นไปได้ไหมว่าสถานที่นี้อาจถูกปรมาจารย์โบราณทิ้งเอาไว้ แล้วเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการผู้สืบทอด”ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์พยักหน้า “ฉันแนะนำให้เธอเข้าไปในที่แห่งนี้ก็เพราะว่าฉันสันนิษฐานว่าแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามเป็นมรดกที่ปรมาจารย์โบราณทิ้งเอาไว้ให้”เฟนด์หายใจออกพรืดยาวผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ยกมือขึ้นและตบไหล่เขา “อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป หากตกอยู่ในอันตรายเมื่อไหร่ โปรดจำไว้ว่าความปลอดภัยของเธอสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด และอย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น”หลังจากพูดจบ ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์แตะแหวนรูปเต่าที่นิ้วมือข้างซ้ายด้วยมือขวา เฟนด์เห็นเพียงแสงสีดำ ส่องประกายก่อนที่ป้ายขนาดเท่าฝ่ามือของเขาจะปรากฏขึ้นในมือของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ดังกล่าวมีรูปร่างแปลก ๆ และเต็มไปด้วยการแกะสลักอักษรรูนและคาถาที่เขาไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีแสงสีแดงต่าง ๆ ปรากฏอยู่บนนั้นอีกด้วยผู้อาวุโสก็อดฟรีย์มองดูบัตรผ่านอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะวางมันไว้ในมือของเฟนด์หลัง
“การต่อสู้ที่น่ากลัวอาจเกิดขึ้นเมื่อถึงตอนนั้น และผู้คนจากสำนักวายชนม์ก็คงจะต้องเข้ามาร่วมด้วย ในนั้นคงเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีนัก”แนชกังวลมากขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาหยุดเดินและยื่นมือไปดึงแขนเฟนด์ “ถ้าอย่างนั้นลูกจะเข้าไปทำไม? หลังจากเข้าไปในนั้นลูกอาจต้องประสบกับอันตรายทุกรูปแบบ ลูกไม่กลัวหรือ? ลูกไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด…”“แน่นอนว่าผมต้องกลัว แต่ผมจะปล่อยให้ความกลัวมาหยุดผมไว้แบบนี้ไม่ได้ ศิลปะยุทธคือวิธีการต่อต้านธรรมชาติเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา ถ้าเราไม่ฝืนธรรมชาติและเดินหน้าต่อไป เราก็จะเป็นได้แค่คนธรรมดา”แนชได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่พูดอะไรและเดินตามหลังเฟนด์ต่อไปในขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปยังแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้าม เฟนด์หยิบแผนที่ออกมาอ้างอิงทุก ๆ ห้าสิบเมตรที่พวกเขาก้าวเดิน ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์วาดแผนที่นี้ให้เฟนด์ด้วยตัวเอง และยังให้คำแนะนำกับเฟนด์เกี่ยวกับตำแหน่งของแหล่งทรัพยากรยุทธต้องห้ามเฟนด์ดูแผนที่อย่างละเอียด และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดว่า “เรามาถูกแล้ว มันน่าจะต้องเป็นที่นี่สิ...แต่ทำไมมันดูทุรกันดารนัก? ทุกตารางนิ้วของที่นี่มีแต
อย่างไรก็ตามเฟนด์เพียงแค่ยิ้มเยาะ ไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือหวาดหวั่นแต่อย่างใด“ไอ้สารเลว!” กริฟฟินคำราม “กล้าดียังไงมาเหยียดหยามฉันแบบนี้?! ฉันจะฆ่าแก!”ด้วยเหตุนี้ กริฟฟินจึงเปิดใช้พลังที่แท้จริงของเขาและกำลังจะโจมตีเฟนด์ ในขณะที่ฮาวเวิร์ดซึ่งยืนอยู่ด้านหลังกริฟฟินจับไหล่พี่ชายของเขาเอาไว้เมื่อเขาสังเกตเห็นว่ากริฟฟินกำลังจะทำการโจมตี “พี่ชาย นี่ไม่ใช่เวลาต่อสู้! ไม่ว่ายังไงเราก็เป็นศิษย์จากสำนักเดียวกัน แถมเรายังถูกโพรงสุญญะล้อมเอาไว้อีก หากพื้นที่รอบตัวเราถูกรบกวน และมีใครที่ไหนไม่รู้ปรากฏตัวขึ้น ถึงตอนนั้น ข่าวคราวของชายผู้นี้อาจแพร่สะพัดออกไป ผมแน่ใจว่าพี่รู้กฎของสำนักเราดี ถ้าพี่ทำให้เขาเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัส พี่จะต้องถูกลงโทษ”ตำหนักสองกษัตริย์ห้ามไม่ให้ศิษย์ฆ่ากันเองนอกตำหนักใบหน้าของกริฟฟินซีดลงเล็กน้อย ขณะที่เขาจ้องมองไปยังเฟนด์ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาสั่นเล็กน้อย “อย่าอวดดีให้มากนักนะ ไอ้สารเลว ตอนนี้ฉันอาจจะฆ่านายไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าหลังจากออกจากพื้นที่ต้องห้ามแล้วโชคจะยังเข้าข้างนายอยู่! ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่อยากจะฆ่านาย นายไปทำให้ใครต่อใครไม่
สิ่งที่ฮาวเวิร์ดพูดแฝงความหมายโดยนัยว่าพวกเขาได้ให้เกียรติเขาด้วยการขอให้เขาสละตำแหน่งให้ แต่เฟนด์กับไม่ยอมรับความเมตตาของพวกเขาโดยการปฏิเสธมันเฟนด์อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะออกมา คนพวกนี้บางทีก็ดูไม่ปกติ และพวกเขามักจะมีเหตุผลข้างๆ คู ๆ คอยสนับสนุนตัวเองอยู่เสมอ เฟนด์ในแต่รู้สึกว่าพวกเขาเป็นพวกไร้แก่นสารอย่างที่สุดสีหน้าของแนชมืดลง “ทำไมสองคนนั่นถึงน่ารังเกียจขนาดนี้? พวกเขาพูดอะไรออกมา ทำไมลูกต้องยกตำแหน่งอะไรให้เขาด้วย? และการไม่ยอมทำตามความต้องการของคนอื่นมันผิดตรงไหน? พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร?”“เขาคิดว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าและสามารถเหยียบย่ำใครก็ได้ แต่แผนการของพวกเขานั้นใช้ประโยชน์กับผมไม่ได้ผลหรอก” เฟนด์กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา แนชถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และรู้สึกว่าสถานการณ์ของที่นี่เริ่มไปไม่สวย หากตอนนี้เขาอยู่ในแคทธีเซียเรื่องราวคงง่ายมันปอกกล้วยเข้าปากอย่างไรก็ตามเฟนด์จดจ่อกับการไล่ตามเป้าหมายจนกว่าจะก้าวไปถึงจุดสูงสุดของศิลปะยุทธ และเขาจะบั่นทอนกำลังใจของลูกตัวเองไม่ได้แนชหันกลับมามองเฟนด์ด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง “หลังจากเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามแล้วลูกต้องระวังตัวเองให้ดี โ
แนชมองเฟนด์ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเฟนด์ขมวดคิ้วขณะที่เขาลดเสียงลง “รีบกลับเข้าไปในมัสตาร์ด ซี๊ดก่อน ผมรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งกำลังใกล้เข้ามา”แนชหน้าซีดเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาไม่กล้ารอช้าและกูลีกูจอเข้าไปในมัสตาร์ด ซี๊ดทันที ทิ้งเฟนด์ให้ยืนอยู่ที่นั่นเพียงลำพังเฟนด์ขมวดคิ้วขณะที่เขาเบิกตากว้างขณะสำรวจรอบ ๆ ที่นี่เป็นพื้นที่ภูเขาขรุขระและมีท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ทอดยาว หลังจากผ่านไปสามอึดใจ เสียงฝีเท้าที่นุ่มนวลก็ดังชัดเจนอยู่เบื้องหน้าเขาเฟนด์เงยหน้าขึ้นมองและอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว ห่างจากเขาไปราวสี่สิบถึงห้าสิบเมตรมีภูเขาที่สูงกว่าทั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า และบนยอดเขามีหมาป่าสามหัวยืนอยู่ด้วยหมาป่าสามหัวตัวนี้สูงหนึ่งเมตรและยืนอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดซึ่งทอดเงาลงมา หัวทั้งสามของหมาป่าดูคล้ายจะมีร่างกายเดียวกัน และดวงตาทั้งหกของมันก็จับจ้องตรงมายังเฟนด์ มุมปากของเฟนด์กระตุกในขณะที่เขาประเมินความสามารถในการต่อสู้ของหมาป่าสามหัวตามสัญชาตญาณ...แต่เขากลับไม่อาจระบุระดับพลังยุทธของมันได้ในที่สุดเมื่อรู้เรื่องนี้เฟนด์ก็ยิ่งใจคอไม่ดีเขาอ่านตำราโบราณทั้งหมดเพื่อทำความเข้าใจทวีปเฮสเทีย แต่
เฮลธ์ เวย์หัวเราะเบาๆ “คุณไม่ต้องกลัว หมาป่าสามหัวตัวนี้อยู่ในขั้นแรกของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น แถมพวกมันก็โง่มาก หมาป่านั่นคิดว่ามันเป็นเจ้าป่าบนเนินเขานี้”เฟนด์รู้สึกผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินสิ่งที่คนคนนี้พูด ในตอนแรก เขานึกสงสัยไปว่าหมาป่าสามหัวตัวนั้นอยู่ในระดับผลึกวสันต์ นั่นก็เพราะหากพวกมันมีระดับพลังยุทธสูงกว่าเขา เขาจะไม่สามารถประเมินระดับพลังยุทธของอีกฝ่ายได้ แต่กระนั้นมันไม่สมเหตุสมผลเลยที่เขาจะไม่สามารถระบุระดับพลังยุทธของหมาป่าสามหัวตัวนี้ได้ หากมันอยู่ในขั้นแรกของระดับแรกกำเนิดเท่านั้นเฮลธ์รู้ว่าเฟนด์กำลังคิดอะไรเมื่ออ่านจากสีหน้าของเขา รอยยิ้มปรากฏขึ้นในขณะที่เขาอธิบายว่า “กฎของสวรรค์และโลกใบนี้แตกต่างจากกฎของโลกภายนอก คุณไม่สามารถใช้วิธีเดิม ๆ ในการตรวจสอบระดับพลังยุทธของสัตว์อสูรได้ แต่คุณต้องตรวจสอบมันด้วยรังสีที่พวกมันปล่อยออกมา”เฟนด์พยักหน้าเพราะเขาเข้าใจสิ่งที่ชายคนนั้นพูดอย่างถ่องแท้ ในความเป็นจริง ศิษย์ของสำนักสหัสบรรณทั้งสองปฏิบัติต่อเขาด้วยความเป็นมิตร ต่างจากศิษย์จากเผ่าปฐมหายนะที่มองเขาในลักษณะที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย มีแววตาเยาะเย้ยในดวงตาของพวกเขาขณะที่พวกเข
ใบหน้าของแฟรงก์มืดลงเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินว่าเฟนด์ตรงไปตรงมาขนาดไหน “นายนี่มันปากดีจริง ๆ หาว่าใครจะเป็นตัวถ่วงใครฮะ? กล้าดียังไง! ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาซะบ้าง! ดูระดับพลังยุทธของนายและระดับพลังยุทธของเราสิ ในตอนนี้ ที่เราช่วยนายเพราะเราคิดว่าเราจะมีสมาชิกที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดเพิ่มอีกคน แต่ตอนนี้พอมาดูให้ดี ๆ แล้ว เราก็ตระหนักได้ว่านายเป็นแค่ชายหนุ่มที่อยู่ในขั้นกลางเท่านั้น”เฟนด์ขมวดคิ้วเมื่อแฟรงก์มีกริยาก้าวร้าวขึ้น เขายังยกระดับพลังยุทธของเฟนด์มาพูดเพื่อเอาชนะ เฟนด์ไม่อยากที่จะโต้เถียงกับพวกเขาหากสองคนนี้ไม่หาเรื่องเขาก่อน แต่แล้วเขาก็ไม่อาจทนมันได้อีกต่อไป เนื่องจากแฟรงก์ยังหาเรื่องกับเขาไม่เลิก “อะไรคือปัญหาระหว่างขั้นกลางและขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดล่ะ? คุณคิดว่าตัวเองจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจเพราะคุณอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดงั้นหรือ? บอกตามตรงนะ ความสามารถในการต่อสู้ของคุณสู้อะไรผมไม่ได้เลย ถ้าไม่เชื่อก็มาดวลกับผมเสียตอนนี้เลยสิ”แฟรงก์ที่ยืนอยู่หน้าเฟนด์นั้นอยู่ในระดับเดียวกับโอลิเวอร์และเฟนด์ก็ไม่ใส่ใจในเรื่องนี้มากนัก ทว่าแฟรงก์โกรธมากหลังจากได้ยิ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ