“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก แค่ตอบคำถามมาตามจริงก็พอ”ใบหน้าของดัดลีย์เปลี่ยนเป็นสีม่วงเล็กน้อย เขาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว “ผมขอร้องคุณเถอะ โปรดไว้ชีวิตผมที ผมจะพาคุณออกไปจากที่นี่อย่างแน่นอนและตราบใดที่คุณปล่อยเราไปเราจะรูดซิปปากให้สนิท”เฟนด์พยักหน้า เพราะคนพวกนี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เฟนด์และคนอื่น ๆ น่าจะปลอดภัยตราบใดที่พวกเขาคอยจับตาดูสองพี่น้องคู่นี้ไว้เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่สามารถส่งข้อความใด ๆ ไปยังศิษย์คนอื่น ๆ ของสำนักวายชนม์ได้แต่เฟนด์รับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความหมายต่างออกไปในคำพูดของดัดลีย์ เขาหันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา “วางเวทย์ค่ายกลมากี่วันแล้ว?”หลังจากคำนวณในใจแล้ว เฟนด์ก็ตระหนักว่าเป็นเวลากว่าสิบวันแล้วตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้าไปในป่าผืนนี้ ในตอนที่เขาเข้ามาที่นี่เขาไม่ได้พบสิ่งกีดขวางใดเลย กล่าวคือ ในเวลานั้นยังไม่มีการวางเวทย์ค่ายกลขึ้น“ประมาณเก้าหรือสิบวันได้แล้ว” ดัดลีย์พูดหลังจากคำนวณในใจแล้ว“แล้วช่วงนั้นศิษย์ในสำนักสหัสบรรณได้เข้ามาที่นี่บ้างหรือเปล่า?”เฟนด์ถามดัดลีย์ส่ายหัวและตอบอย่างจริงใจว่า “เราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ เวทย์ค่ายกลที่เราวางไว
เจดเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระไม่เลิก แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่เฟนด์พูดอะไรผิด เขาจะถากถางด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เฟนด์ไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมให้คนอื่นรังแกเขา ไหนจะความจริงที่ว่าเขาต้องอดทนกับเจดมาเป็นเวลานานก็มากพอแล้วเจดมองไปที่ใบหน้าเย็นชาของเฟนด์ แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะฟังดูสงบและไม่มีความโกรธบนใบหน้า แต่เขาก็รู้ว่าถ้าเขาไม่ทำตามคำสั่งของเฟนด์ ชายหนุ่มจะทิ้งเขาไว้ที่นั่นโดยไม่ลังเลอัลเบี้ยนต้องการพูดบางอย่างเพื่อทำให้บรรยากาศสงบลง แต่ถูกดไวท์ปรามไว้ก่อน ดไวท์ฉลาดกว่าเจดอย่างเห็นได้ชัด เขารู้ว่าถ้าเฟนด์ไม่แก้แค้นเจดตอนนี้ นานวันเข้าทุกอย่างจะยิ่งลุกลามไปมากกว่าเดิม“ทำไมนายถึงคิดว่าฉันไม่พอใจ?” เจดถามหน้าแดงด้วยความอัปยศอดสู“คิดถึงสิ่งที่คุณเคยพูดกับฉันก่อนหน้านี้สิ ก็อย่างที่ฉันบอก มันขึ้นอยู่กับคุณว่าอยากจะทำตามที่ฉันบอกหรืออยากถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวที่นี่” เฟนด์กล่าวด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาก็เรียกหาแนชราวกับว่าพร้อมที่จะออกไปแล้ว ไม่เห็นเช่นนั้นก็ทำให้เจดตื่นตระหนก "ฉันจะทำ! ฉันจะฝังศพพวกเขาเอง!”เขาเริ่มจัดการกับศพบนพื้นทันทีและทำความสะอาดสถานที่ให้กลับคืนสู่สภาพปกติโดยไม่ทิ้งร่องรอยของ
คำถามนั้นทำให้ทุกคนชะงัก แท้จริงแล้วสิ่งนั้นไม่ใช่สัตว์ตัวเล็ก ๆ แต่เป็นคนจริง ๆ ซึ่งจงใจทำเสียงกรอบแกรบเพื่อเรียกความสนใจจากพวกเขา ดูจากเสียงก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงของคนมีอายุ ถ้าเขาเป็นผู้เพียงผู้ฝึกยุทธทั่วไป เขาอาจจะไม่แข็งแกร่งอะไรนะ แต่ถ้าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธจากสำนักวายชนม์เขาย่อมต้องมีพละกำลังมากเป็นพิเศษกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าจะไม่มีใครรอดไปได้นอกจากเฟนด์ ศัตรูจะไม่ถามคำถามแบบนี้กับพวกเขา นอกเสียจากว่า...เขามีเวลาเหลือเฟือ ความคิดทุกแขนงแวบเข้ามาในหัวในขณะที่เขายังคงตื่นตัวอยู่ เขาสบตากับคนอื่น ๆ แล้วเดินไปยังอีกฝั่งของต้นไม้ เขาใช้เวลาเพียงสิบกว่าก้าวก็มองเห็นคนที่อยู่หลังต้นไม้ในที่สุดสิ่งที่ทำให้เฟนด์ประหลาดใจคืออายุของบุคคลนี้ไม่ตรงกับเสียงของเขาเลย เขาดูเหมือนชายอายุสามสิบ หน้าท้องของเขาเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงก่ำ ใบหน้าซีดกว่าปกติ และหายใจโรยริน เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส“คุณเป็นผู้อาวุโสภายในของตำหนักสองกษัตริย์ใช่รึเปล่า?” เฟนด์ถามเขาถามคำถามนั้นเพราะคนตรงหน้าเขาสวมเสื้อสีน้ำเงินเข้มที่มีดอกบีโกเนียระยิบระยับปักอยู่บนเข็มขัด และใครก็ตามที่มีดอกบีโกเนียอยู่ที่เอวย่อมเป็นผู
เฟนด์ขมวดคิ้ว เขาไม่ได้สนใจรางวัลตอบแทนอะไร แต่กลับสงสัยว่าเหตุใดผู้อาวุโสก็อดฟรีย์จึงมองเขาด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะพยายามซ่อนมัน แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นการสังเกตของเฟนด์ไปได้เฟนด์พยักหน้าอย่างสงบและแลกเปลี่ยนบทสนทนาที่สุภาพอีกสองสามประโยคโดยบอกว่าเขาไม่สนใจว่าจะอีกฝ่ายจะมีรางวัลให้เขาหรือไม่ และในฐานะศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์ เขามีหน้าที่ปกป้องผู้อาวุโสที่เคารพของสำนักผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ได้แต่พยักหน้า และสีหน้าที่ซับซ้อนของเขาก็ไม่ปรากฏออกมาอีกเลย เขาหันศีรษะไปมองยังทิศทางของเวทค่ายกล “ไม่ต้องมากพิธี เรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ ฉันได้รับบาดเจ็บจากผู้อาวุโสของสำนักวายชนม์ ถ้าไม่ใช่เพราะวิธีเอาตัวรอดของฉัน ป่านนี้ฉันคงตายด้วยน้ำมือของเขาไปนานแล้ว ตอนนี้เขาคงร้อนใจที่จะจับฉันให้ได้ และฉันเกรงว่าหากยังชักช้าไปมากกว่านี้เราจะจบไม่สวย”คนทั้งกลุ่มเริ่มตื่นตระหนกเมื่อได้ยินสิ่งนี้ แต่แล้วก็รีบสงบสติอารมณ์ เฟนด์มองไปที่ดัดลีย์ด้วยสายตาเย็นชา และเขารู้ว่าเฟนด์ต้องการอะไรโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องเอ่ยปากพูด เขาตัวสั่นและหยิบบัตรผ่านออกมาบัตรผ่านใบนี้อยู่บนศพของโรบิน และเฟนด์ก็จงใจขอให้
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น พวกเขาไม่ได้ปล่อยตัวดัดลีย์ในทันที แต่พาเขาและน้องชายไปในเมือง ซึ่งห่างจากเขตแดนของป่าดงอสูรหลังจากเดินทางได้ห้าหรือหกไมล์ เฟนด์ก็หันกลับมาและมองไปที่ดัดลีย์ซึ่งมีสีหน้าหวาดกลัว หัวใจของเขาเต้นแรงมากเพราะกลัวว่าเฟนด์จะฆ่าเขา ท้ายที่สุดแล้ว ตอนนี้พวกเขาสองคนก็หมดประโยชน์แล้ว ถ้าพวกเขาปล่อยเขาสองพี่น้องไป ก็มีโอกาสมากที่พวกเขาจะกลับไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นแก่สำนักวายชนม์ อันที่จริงหากเขาเป็นเฟนด์ เขาจะไม่มีวันปล่อยตัวเองไปดัดลีย์หายใจเข้าลึก ๆ และพูดด้วยปากที่สั่นเทา “อย่าห่วงไปเลย นายท่าน ผมจะไม่ขายคุณให้พวกเขารู้อย่างแน่นอน ท้ายที่สุด คนพวกนั้นยังคงอยู่ในแนวค่ายกล คุณก็แค่ทิ้งเราไว้ที่นี่และพวกเราจะอยู่ที่นี่สักพักก่อนกลับเข้าไป”คำพูดของเขาค่อนข้างตะกุกตะกักเพราะเขาหวาดกลัวจนลิ้นพันกันเฟนด์หัวเราะเบา ๆ “ฉันเป็นคนรักษาคำพูด และฉันจะทำตามที่สัญญาเอาไว้ แม้ว่าการฆ่าพวกนายในตอนนี้จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับเรา แต่ฉันจะฝากอะไรบางอย่างไว้ในร่างกายของพวกนาย ซึ่งมันจะหายไปเองในเวลาประมาณสองวัน ฉันขอแนะนำให้พวกนายทั้งคู่อยู่ที่นี่และไม่หนี
เมื่อพิจารณาถึงอาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์แล้ว พวกเขาไม่ได้รีบกลับไปยังตำหนักสองกษัตริย์ เฟนด์เช่ารถม้าในเมืองใกล้เคียงและใช้วิธีธรรมดาที่สุดในการกลับไปยังตำหนักสองกษัตริย์ภายในรถม้า ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์นอนหลับตาในขณะที่ทั้งเฟนด์และพ่อของเขายังคงเงียบ เนื่องจากมีบางสิ่งที่ไม่สามารถพูดคุยต่อหน้าบุคคลที่สามได้แนชไม่ได้รังเกียจ แต่เฟนด์รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ได้รับบาดเจ็บสาหัสและแทบจะไม่รู้สึกตัว ในฐานะผู้อาวุโส เขาไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลน แต่แม้จะได้รับโอสถที่ดีที่สุดแล้ว อาการบาดเจ็บของเขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตัว นี่เป็นเพียงการพิสูจน์ว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงใดเฟนด์มีคำถามมากมายที่จะถามเขา แต่เขาก็ยั้งตัวเองไว้เพราะนี่คือการพบกันครั้งแรกของพวกเขา เหตุการณ์ล่าสุดทั้งหมดไม่เหมาะกับเขา ราวกับว่าเฟนด์ถูกลากเข้าสู่แผนการสมรู้ร่วมคิดโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในตำหนักสองกษัตริย์ทันใดนั้น ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ที่ยังคงตาปิดอยู่ถามขึ้นว่า “สำนักสหัสบรรณได้ลงมืออะไรในเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า”คำถามนั้นทำให้เฟนด์ไม่ทันตั้งตัว แต่เขาก็ส่ายหน้าโดยไม่ลังเล แ
“ผู้อาวุโส คุณรู้ไหมว่าทำไมสำนักสหัสบรรณถึงยังนิ่งเฉยอยู่? ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้ว่าสำนักวายชนม์กำลังทำอะไร ในขณะที่เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่เช่นนี้”ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์พ่นน้ำเสียงเย็นชา การตะคอกนี้ต้องใช้กำลังอย่างมากและไหล่ของเขาก็สั่นไหว เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับความโกรธในใจ “แน่นอน พวกเขาต้องรู้เรื่องนี้ และพวกเขาน่าจะรู้เรื่องนี้มานานแล้วด้วย”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฟนด์ก็ตกใจมาก เขาสามารถเห็นความโกรธที่ไม่อาจระงับไว้ได้บนใบหน้าของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ 'เกิดอะไรขึ้นกับเขา? ทำไมเขาถึงโกรธขนาดนี้?’ ความจริงที่ว่าความโกรธดูเหมือนจะพุ่งไปตกใส่สำนักสหัสบรรณแทนที่จะเป็นสำนักวายชนม์ทำให้เขายิ่งสับสนแน่นอนว่าเฟนด์ไม่ได้เปล่งคำถามออกมาเสียงดังอย่างไรก็ตาม เขาและผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ก็ยังไม่คุ้นเคยกันนัก แม้ว่าเขาจะช่วยชีวิตอีกฝ่ายไว้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะทำแบบเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์จะระวังศิษย์ภายนอกซึ่งเมื่อครู่เป็นเพียงคนแปลกหน้าความเงียบเข้าปกคลุมภายในรถม้าอีกครั้ง ไม่มีใครพูดอะไร แต่ความคิดของพวกเขากลับพลุ่งพล่านอยู่ในหัว และความคิดต่าง ๆ ก็พรั
แต่ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในตำหนักสองกษัตริย์ เขาก็รู้สึกถึงความแตกต่างที่ชัดเจน สถานที่ที่พวกเขาซึ่งเป็นศิษย์ภายนอกอาศัยอยู่นั้นอยู่ทางทิศตะวันตกของอาณาเขตของสำนัก หากพวกเขาต้องการไปจากประตูหลักไปยังที่พักของศิษย์ภายนอก พวกเขาต้องเลี้ยวสองสามรอบและเดินผ่านทางเดินกลางแจ้งสองสามสายทางเดินกลางแจ้งเหล่านี้กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง และเหล่าศิษย์สามารถกลับไปยังที่พักของพวกเขาผ่านทางเดินกลางแจ้งหรือไปยังหอทักษะยุทธและหอทักษะศิลปยุทธและหอสัตตะฤกษ์ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางของสำนักภายใต้สถานการณ์ปกติ จะมีเหล่าศิษย์มากมายเดินผ่านทางเดินกลางแจ้งอย่างขวักไขว่ บางครั้งมันก็คลาคล่ำไปด้วยเหล่าศิษย์ แต่ในวันนั้นเขากลับเป็นคนเดียวที่เดินผ่านทางนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์และคาดคะเนเวลาว่าตอนนี้น่าจะเป็นเวลาเที่ยงวัน ในช่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น แต่ทำไมเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง?เขาเริ่มเดาสุ่มในใจ แต่เขาก็ยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อพบว่าไม่มีใครอยู่ในที่พักของศิษย์ภายนอกเลยเช่นกัน หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กลับไปที่ห้องพักของเขา เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินไปทางหอเจตสิก เขาไม่รู้ว่าวันนี้โน