สายตาสองคู่จ้องมองเฟนด์อย่างอ้อนวอน พวกเขาตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากเกินไป พี่ใหญ่ของพวกเขาซึ่งแข็งแกร่งกว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่มีโอกาสที่จะโต้กลับเฟนด์ได้เลยแม้แต่น้อย เฟนด์ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า? เขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธในขั้นต้นระดับแรกกำเนิดเท่านั้น เขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?การโจมตีเช่นนี้ของเขาทำให้ความรู้สึกต่อต้านมลายหายไป พวกเขาไม่อายที่จะต้องคุกเข่าต่อหน้าเฟนด์อย่างไรเสีย ศักดิ์ศรีจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อคน ๆ หนึ่งกำลังใกล้ถึงคราวตายแบบนี้? ดัดลีย์กระแทกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรงถึงสามครั้ง ราวกับว่าเฟนด์เป็นบรรพบุรุษของรุ่นที่สิบแปดของเขา ทันใดนั้นหน้าผากของเขาก็บวมแดง“นายท่าน โปรดเมตตาและไว้ชีวิตพวกเราด้วย เราไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าคุณจริง ๆ เราก็แค่ทำตามคำสั่งก็เท่านั้น” ดัดลีย์กล่าวทั้งน้ำตาเดเมียนกระแทกศีรษะศีรษะของตัวเองลงกับพื้นเช่นกันในขณะที่เอ่ยปากขอร้อง “ผมยังไม่อยากตาย! ขอให้คุณถือซะว่าพวกเรามันอ่อนต่อโลกเกินไปและปล่อยเราไปเถอะ แน่นอนว่าเราจะไม่บอกใครว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เราจะไม่อยู่ที่นี่ เราจะกลับไปที่สำนักวายชนม์ทันทีและไม่มาเหยียบที่นี่อีกเลย!”ทั้ง
“พวกแกอย่าได้พูดอะไรออกมานะ! ไม่อย่างนั้นฉันจะตามล่าพวกแกไปจนสุดขอบโลก!” โรบินตะโกนขึ้นทั้งดัดลีย์และเดเมียนตัวสั่นเมื่อได้ยินคำขู่ของเขา เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็มีตำแหน่งที่ด้อยกว่าอีกคนและต้องคำนับอีกฝ่ายทุกครั้งที่ได้พบ ใบหน้าของพวกเขาเริ่มถอดสี เลือดที่อยู่ในกายเผื่อหายไป ทำให้พวกเขาซีดยิ่งกว่าเดิมเฟนด์ขมวดคิ้วแล้วยกมือขวาขึ้น และแสงสีดำอมเทาก็แทงโรบินอีกครั้งทันที“อ๊า!” โรบินกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด คราวนี้เสียงกรีดร้องของเขารุนแรงกว่าเดิม วิญญาณของเขาเต็มไปด้วยรูโหว่หลังจากโดนโจมตีโดยทักษะทลายห้วงสุญญะของเฟนด์และตอนนี้วิญญาณของเขาก็ยิ่งย่ำแย่ลงยิ่งกว่าเดิมจากการโจมตีครั้งล่าสุดครั้งนี้เขารู้สึกว่าวิญญาณของเขาถูกฉีกออกจากกันโดยสิ้นเชิง และสติของเขาก็ค่อย ๆ เลือนหาย เขาไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บในระดับนี้ได้ เขาจะมีเวลามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่เกินสองถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้นเสียงกรีดร้องโหยหวนของเขาดังก้องอยู่ในแก้วหูของดัดลีย์และเดเมียน เม็ดเหงื่อเย็นชุ่มขมับและลำคอ ทั้งคู่หายใจเร็วและดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นลมได้ทุกเมื่อเฟนด์ขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ถ้านายบอกทุกสิ
“ฉันรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนดีแม้แต่น้อย! แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขากำลังสร้างเครื่องขนส่ง… เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาวางแผนที่จะก่อสงครามกับสำนักสหัสบรรณ? แต่เท่าที่ฉันรู้ สำนักสหัสบรรณกับสำนักวายชนม์ก็สูสีกัน มั่นใจได้เลยว่าเรื่องนี้อาจลงเอยด้วยการที่ทั้งสองฝ่ายต่างประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก และต่อให้จะชนะ ก็ได้ไม่คุ้มเสีย” ดไวท์พึมพำอัลเบี้ยนพยักหน้าเห็นด้วย “นายพูดถูก ต่อให้สำนักทั้งสองเปิดศึกกันจริง ๆ แต่ผลสรุปก็จะไม่มีฝ่ายใดชนะอย่างหมดจด นอกเสียจากว่า…สำนักวายชนม์จะมีแผนการอะไรแอบซ่อนเอาไว้…”โดยทั่วไปแล้ว ทางสำนักทั้งสองแห่งนี้ที่มีความแข็งแกร่งพอกันและจะไม่ทำการเปิดศึกครั้งใหญ่ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะมีความขัดแย้งกันในเรื่องที่สำคัญหรือเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อันใหญ่หลวง เหนือสิ่งอื่นใด การทำเช่นนั้นจะส่งผลให้มีแต่ความสูญเสียกันทั้งสองฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเป็นผู้ชนะ แต่ก็มีโอกาสมากที่สิ่งที่ได้จะไม่คุ้มกับความสูญเสีย ดังนั้นจึงไม่มีสงครามระหว่างสองสำนักเกิดขึ้นนอกเสียจากจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าสงครามคือสิ่งที่สำนักวายชนม์หมายมั่นเอาไว
“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก แค่ตอบคำถามมาตามจริงก็พอ”ใบหน้าของดัดลีย์เปลี่ยนเป็นสีม่วงเล็กน้อย เขาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว “ผมขอร้องคุณเถอะ โปรดไว้ชีวิตผมที ผมจะพาคุณออกไปจากที่นี่อย่างแน่นอนและตราบใดที่คุณปล่อยเราไปเราจะรูดซิปปากให้สนิท”เฟนด์พยักหน้า เพราะคนพวกนี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เฟนด์และคนอื่น ๆ น่าจะปลอดภัยตราบใดที่พวกเขาคอยจับตาดูสองพี่น้องคู่นี้ไว้เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่สามารถส่งข้อความใด ๆ ไปยังศิษย์คนอื่น ๆ ของสำนักวายชนม์ได้แต่เฟนด์รับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความหมายต่างออกไปในคำพูดของดัดลีย์ เขาหันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา “วางเวทย์ค่ายกลมากี่วันแล้ว?”หลังจากคำนวณในใจแล้ว เฟนด์ก็ตระหนักว่าเป็นเวลากว่าสิบวันแล้วตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้าไปในป่าผืนนี้ ในตอนที่เขาเข้ามาที่นี่เขาไม่ได้พบสิ่งกีดขวางใดเลย กล่าวคือ ในเวลานั้นยังไม่มีการวางเวทย์ค่ายกลขึ้น“ประมาณเก้าหรือสิบวันได้แล้ว” ดัดลีย์พูดหลังจากคำนวณในใจแล้ว“แล้วช่วงนั้นศิษย์ในสำนักสหัสบรรณได้เข้ามาที่นี่บ้างหรือเปล่า?”เฟนด์ถามดัดลีย์ส่ายหัวและตอบอย่างจริงใจว่า “เราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ เวทย์ค่ายกลที่เราวางไว
เจดเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระไม่เลิก แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่เฟนด์พูดอะไรผิด เขาจะถากถางด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เฟนด์ไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมให้คนอื่นรังแกเขา ไหนจะความจริงที่ว่าเขาต้องอดทนกับเจดมาเป็นเวลานานก็มากพอแล้วเจดมองไปที่ใบหน้าเย็นชาของเฟนด์ แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะฟังดูสงบและไม่มีความโกรธบนใบหน้า แต่เขาก็รู้ว่าถ้าเขาไม่ทำตามคำสั่งของเฟนด์ ชายหนุ่มจะทิ้งเขาไว้ที่นั่นโดยไม่ลังเลอัลเบี้ยนต้องการพูดบางอย่างเพื่อทำให้บรรยากาศสงบลง แต่ถูกดไวท์ปรามไว้ก่อน ดไวท์ฉลาดกว่าเจดอย่างเห็นได้ชัด เขารู้ว่าถ้าเฟนด์ไม่แก้แค้นเจดตอนนี้ นานวันเข้าทุกอย่างจะยิ่งลุกลามไปมากกว่าเดิม“ทำไมนายถึงคิดว่าฉันไม่พอใจ?” เจดถามหน้าแดงด้วยความอัปยศอดสู“คิดถึงสิ่งที่คุณเคยพูดกับฉันก่อนหน้านี้สิ ก็อย่างที่ฉันบอก มันขึ้นอยู่กับคุณว่าอยากจะทำตามที่ฉันบอกหรืออยากถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวที่นี่” เฟนด์กล่าวด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาก็เรียกหาแนชราวกับว่าพร้อมที่จะออกไปแล้ว ไม่เห็นเช่นนั้นก็ทำให้เจดตื่นตระหนก "ฉันจะทำ! ฉันจะฝังศพพวกเขาเอง!”เขาเริ่มจัดการกับศพบนพื้นทันทีและทำความสะอาดสถานที่ให้กลับคืนสู่สภาพปกติโดยไม่ทิ้งร่องรอยของ
คำถามนั้นทำให้ทุกคนชะงัก แท้จริงแล้วสิ่งนั้นไม่ใช่สัตว์ตัวเล็ก ๆ แต่เป็นคนจริง ๆ ซึ่งจงใจทำเสียงกรอบแกรบเพื่อเรียกความสนใจจากพวกเขา ดูจากเสียงก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงของคนมีอายุ ถ้าเขาเป็นผู้เพียงผู้ฝึกยุทธทั่วไป เขาอาจจะไม่แข็งแกร่งอะไรนะ แต่ถ้าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธจากสำนักวายชนม์เขาย่อมต้องมีพละกำลังมากเป็นพิเศษกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าจะไม่มีใครรอดไปได้นอกจากเฟนด์ ศัตรูจะไม่ถามคำถามแบบนี้กับพวกเขา นอกเสียจากว่า...เขามีเวลาเหลือเฟือ ความคิดทุกแขนงแวบเข้ามาในหัวในขณะที่เขายังคงตื่นตัวอยู่ เขาสบตากับคนอื่น ๆ แล้วเดินไปยังอีกฝั่งของต้นไม้ เขาใช้เวลาเพียงสิบกว่าก้าวก็มองเห็นคนที่อยู่หลังต้นไม้ในที่สุดสิ่งที่ทำให้เฟนด์ประหลาดใจคืออายุของบุคคลนี้ไม่ตรงกับเสียงของเขาเลย เขาดูเหมือนชายอายุสามสิบ หน้าท้องของเขาเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงก่ำ ใบหน้าซีดกว่าปกติ และหายใจโรยริน เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส“คุณเป็นผู้อาวุโสภายในของตำหนักสองกษัตริย์ใช่รึเปล่า?” เฟนด์ถามเขาถามคำถามนั้นเพราะคนตรงหน้าเขาสวมเสื้อสีน้ำเงินเข้มที่มีดอกบีโกเนียระยิบระยับปักอยู่บนเข็มขัด และใครก็ตามที่มีดอกบีโกเนียอยู่ที่เอวย่อมเป็นผู
เฟนด์ขมวดคิ้ว เขาไม่ได้สนใจรางวัลตอบแทนอะไร แต่กลับสงสัยว่าเหตุใดผู้อาวุโสก็อดฟรีย์จึงมองเขาด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะพยายามซ่อนมัน แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นการสังเกตของเฟนด์ไปได้เฟนด์พยักหน้าอย่างสงบและแลกเปลี่ยนบทสนทนาที่สุภาพอีกสองสามประโยคโดยบอกว่าเขาไม่สนใจว่าจะอีกฝ่ายจะมีรางวัลให้เขาหรือไม่ และในฐานะศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์ เขามีหน้าที่ปกป้องผู้อาวุโสที่เคารพของสำนักผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ได้แต่พยักหน้า และสีหน้าที่ซับซ้อนของเขาก็ไม่ปรากฏออกมาอีกเลย เขาหันศีรษะไปมองยังทิศทางของเวทค่ายกล “ไม่ต้องมากพิธี เรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ ฉันได้รับบาดเจ็บจากผู้อาวุโสของสำนักวายชนม์ ถ้าไม่ใช่เพราะวิธีเอาตัวรอดของฉัน ป่านนี้ฉันคงตายด้วยน้ำมือของเขาไปนานแล้ว ตอนนี้เขาคงร้อนใจที่จะจับฉันให้ได้ และฉันเกรงว่าหากยังชักช้าไปมากกว่านี้เราจะจบไม่สวย”คนทั้งกลุ่มเริ่มตื่นตระหนกเมื่อได้ยินสิ่งนี้ แต่แล้วก็รีบสงบสติอารมณ์ เฟนด์มองไปที่ดัดลีย์ด้วยสายตาเย็นชา และเขารู้ว่าเฟนด์ต้องการอะไรโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องเอ่ยปากพูด เขาตัวสั่นและหยิบบัตรผ่านออกมาบัตรผ่านใบนี้อยู่บนศพของโรบิน และเฟนด์ก็จงใจขอให้
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น พวกเขาไม่ได้ปล่อยตัวดัดลีย์ในทันที แต่พาเขาและน้องชายไปในเมือง ซึ่งห่างจากเขตแดนของป่าดงอสูรหลังจากเดินทางได้ห้าหรือหกไมล์ เฟนด์ก็หันกลับมาและมองไปที่ดัดลีย์ซึ่งมีสีหน้าหวาดกลัว หัวใจของเขาเต้นแรงมากเพราะกลัวว่าเฟนด์จะฆ่าเขา ท้ายที่สุดแล้ว ตอนนี้พวกเขาสองคนก็หมดประโยชน์แล้ว ถ้าพวกเขาปล่อยเขาสองพี่น้องไป ก็มีโอกาสมากที่พวกเขาจะกลับไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นแก่สำนักวายชนม์ อันที่จริงหากเขาเป็นเฟนด์ เขาจะไม่มีวันปล่อยตัวเองไปดัดลีย์หายใจเข้าลึก ๆ และพูดด้วยปากที่สั่นเทา “อย่าห่วงไปเลย นายท่าน ผมจะไม่ขายคุณให้พวกเขารู้อย่างแน่นอน ท้ายที่สุด คนพวกนั้นยังคงอยู่ในแนวค่ายกล คุณก็แค่ทิ้งเราไว้ที่นี่และพวกเราจะอยู่ที่นี่สักพักก่อนกลับเข้าไป”คำพูดของเขาค่อนข้างตะกุกตะกักเพราะเขาหวาดกลัวจนลิ้นพันกันเฟนด์หัวเราะเบา ๆ “ฉันเป็นคนรักษาคำพูด และฉันจะทำตามที่สัญญาเอาไว้ แม้ว่าการฆ่าพวกนายในตอนนี้จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับเรา แต่ฉันจะฝากอะไรบางอย่างไว้ในร่างกายของพวกนาย ซึ่งมันจะหายไปเองในเวลาประมาณสองวัน ฉันขอแนะนำให้พวกนายทั้งคู่อยู่ที่นี่และไม่หนี
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ