ทันใดนั้นดาบยาวทั้งสองเล่มก็ปะทะกันกลางอากาศ และทุกคนก็ได้ยินเสียงโครมครามดังขึ้น ทันทีที่ดาบยาวสีดำอมเทาปะทะกับดาบยาวของเดเร็ก โครงกระดูกขนาดเล็กจำนวนห้าสิบโครงที่แต่เดิมลอยอยู่บนดาบยาวก็ลุกเป็นไฟราวกับทันที เผาไหม้อย่างบ้าคลั่งในอากาศแต่ภายในอึดหายใจเดียว โครงกระดูกมากกว่าห้าสิบโครงก็ถูกเผาจนมอดไหม้ และแสงบนดาบยาวของเดเร็กก็หรี่ลงทันที เขามองดูมันได้ความไม่เชื่อ "เป็นไปได้ยังไงกัน? ทำไมทักษะของฉันถึงอ่อนแอขนาดนี้?”เขาไม่คิดว่าเขาจะรับมือกับเฟนด์ได้ เขาแค่ต้องการซื้อเวลาก่อนจะทิ้งอาวุธแล้วหนีไป แต่ไม่คิดเลยว่าทักษะของเขาจะอ่อนแอและถูกปลดอาวุธได้ในพริบตาเดียวแบบนี้เฟนด์เย้ยหยัน ทักษะที่เขาบ่มเพาะอย่างทักษะทักษะทลายห้วงสุญญะ อย่างน้อยมันน่าจะเป็นทักษะระดับนภา แถมยังเป็นทักษะทางธาตุวิญญาณซึ่งก็หมายความว่ามันสามารถยับยั้งพลังวิญญาณได้ตามธรรมชาติ แล้วมันก็เกิดขึ้นกับทักษะของเดเร็กซึ่งโจมตีด้วยการใช้พลังวิญญาณ เดเร็กไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟนด์มาตั้งแต่แรก และเมื่อถูกเขายับยั้งพลังวิญญาณเอาไว้ได้ ก็ไม่แปลกเลยพี่การโจมตีของเขาจะถูกปลดเปลื้องลงหลังจากที่ดาบยาวหักเหผ่านการเคลื่อนไหวของเดเร็
สายตาสองคู่จ้องมองเฟนด์อย่างอ้อนวอน พวกเขาตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากเกินไป พี่ใหญ่ของพวกเขาซึ่งแข็งแกร่งกว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่มีโอกาสที่จะโต้กลับเฟนด์ได้เลยแม้แต่น้อย เฟนด์ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า? เขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธในขั้นต้นระดับแรกกำเนิดเท่านั้น เขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?การโจมตีเช่นนี้ของเขาทำให้ความรู้สึกต่อต้านมลายหายไป พวกเขาไม่อายที่จะต้องคุกเข่าต่อหน้าเฟนด์อย่างไรเสีย ศักดิ์ศรีจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อคน ๆ หนึ่งกำลังใกล้ถึงคราวตายแบบนี้? ดัดลีย์กระแทกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรงถึงสามครั้ง ราวกับว่าเฟนด์เป็นบรรพบุรุษของรุ่นที่สิบแปดของเขา ทันใดนั้นหน้าผากของเขาก็บวมแดง“นายท่าน โปรดเมตตาและไว้ชีวิตพวกเราด้วย เราไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าคุณจริง ๆ เราก็แค่ทำตามคำสั่งก็เท่านั้น” ดัดลีย์กล่าวทั้งน้ำตาเดเมียนกระแทกศีรษะศีรษะของตัวเองลงกับพื้นเช่นกันในขณะที่เอ่ยปากขอร้อง “ผมยังไม่อยากตาย! ขอให้คุณถือซะว่าพวกเรามันอ่อนต่อโลกเกินไปและปล่อยเราไปเถอะ แน่นอนว่าเราจะไม่บอกใครว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เราจะไม่อยู่ที่นี่ เราจะกลับไปที่สำนักวายชนม์ทันทีและไม่มาเหยียบที่นี่อีกเลย!”ทั้ง
“พวกแกอย่าได้พูดอะไรออกมานะ! ไม่อย่างนั้นฉันจะตามล่าพวกแกไปจนสุดขอบโลก!” โรบินตะโกนขึ้นทั้งดัดลีย์และเดเมียนตัวสั่นเมื่อได้ยินคำขู่ของเขา เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็มีตำแหน่งที่ด้อยกว่าอีกคนและต้องคำนับอีกฝ่ายทุกครั้งที่ได้พบ ใบหน้าของพวกเขาเริ่มถอดสี เลือดที่อยู่ในกายเผื่อหายไป ทำให้พวกเขาซีดยิ่งกว่าเดิมเฟนด์ขมวดคิ้วแล้วยกมือขวาขึ้น และแสงสีดำอมเทาก็แทงโรบินอีกครั้งทันที“อ๊า!” โรบินกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด คราวนี้เสียงกรีดร้องของเขารุนแรงกว่าเดิม วิญญาณของเขาเต็มไปด้วยรูโหว่หลังจากโดนโจมตีโดยทักษะทลายห้วงสุญญะของเฟนด์และตอนนี้วิญญาณของเขาก็ยิ่งย่ำแย่ลงยิ่งกว่าเดิมจากการโจมตีครั้งล่าสุดครั้งนี้เขารู้สึกว่าวิญญาณของเขาถูกฉีกออกจากกันโดยสิ้นเชิง และสติของเขาก็ค่อย ๆ เลือนหาย เขาไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บในระดับนี้ได้ เขาจะมีเวลามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่เกินสองถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้นเสียงกรีดร้องโหยหวนของเขาดังก้องอยู่ในแก้วหูของดัดลีย์และเดเมียน เม็ดเหงื่อเย็นชุ่มขมับและลำคอ ทั้งคู่หายใจเร็วและดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นลมได้ทุกเมื่อเฟนด์ขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ถ้านายบอกทุกสิ
“ฉันรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนดีแม้แต่น้อย! แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขากำลังสร้างเครื่องขนส่ง… เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาวางแผนที่จะก่อสงครามกับสำนักสหัสบรรณ? แต่เท่าที่ฉันรู้ สำนักสหัสบรรณกับสำนักวายชนม์ก็สูสีกัน มั่นใจได้เลยว่าเรื่องนี้อาจลงเอยด้วยการที่ทั้งสองฝ่ายต่างประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก และต่อให้จะชนะ ก็ได้ไม่คุ้มเสีย” ดไวท์พึมพำอัลเบี้ยนพยักหน้าเห็นด้วย “นายพูดถูก ต่อให้สำนักทั้งสองเปิดศึกกันจริง ๆ แต่ผลสรุปก็จะไม่มีฝ่ายใดชนะอย่างหมดจด นอกเสียจากว่า…สำนักวายชนม์จะมีแผนการอะไรแอบซ่อนเอาไว้…”โดยทั่วไปแล้ว ทางสำนักทั้งสองแห่งนี้ที่มีความแข็งแกร่งพอกันและจะไม่ทำการเปิดศึกครั้งใหญ่ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะมีความขัดแย้งกันในเรื่องที่สำคัญหรือเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อันใหญ่หลวง เหนือสิ่งอื่นใด การทำเช่นนั้นจะส่งผลให้มีแต่ความสูญเสียกันทั้งสองฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเป็นผู้ชนะ แต่ก็มีโอกาสมากที่สิ่งที่ได้จะไม่คุ้มกับความสูญเสีย ดังนั้นจึงไม่มีสงครามระหว่างสองสำนักเกิดขึ้นนอกเสียจากจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าสงครามคือสิ่งที่สำนักวายชนม์หมายมั่นเอาไว
“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก แค่ตอบคำถามมาตามจริงก็พอ”ใบหน้าของดัดลีย์เปลี่ยนเป็นสีม่วงเล็กน้อย เขาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว “ผมขอร้องคุณเถอะ โปรดไว้ชีวิตผมที ผมจะพาคุณออกไปจากที่นี่อย่างแน่นอนและตราบใดที่คุณปล่อยเราไปเราจะรูดซิปปากให้สนิท”เฟนด์พยักหน้า เพราะคนพวกนี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เฟนด์และคนอื่น ๆ น่าจะปลอดภัยตราบใดที่พวกเขาคอยจับตาดูสองพี่น้องคู่นี้ไว้เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่สามารถส่งข้อความใด ๆ ไปยังศิษย์คนอื่น ๆ ของสำนักวายชนม์ได้แต่เฟนด์รับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความหมายต่างออกไปในคำพูดของดัดลีย์ เขาหันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา “วางเวทย์ค่ายกลมากี่วันแล้ว?”หลังจากคำนวณในใจแล้ว เฟนด์ก็ตระหนักว่าเป็นเวลากว่าสิบวันแล้วตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้าไปในป่าผืนนี้ ในตอนที่เขาเข้ามาที่นี่เขาไม่ได้พบสิ่งกีดขวางใดเลย กล่าวคือ ในเวลานั้นยังไม่มีการวางเวทย์ค่ายกลขึ้น“ประมาณเก้าหรือสิบวันได้แล้ว” ดัดลีย์พูดหลังจากคำนวณในใจแล้ว“แล้วช่วงนั้นศิษย์ในสำนักสหัสบรรณได้เข้ามาที่นี่บ้างหรือเปล่า?”เฟนด์ถามดัดลีย์ส่ายหัวและตอบอย่างจริงใจว่า “เราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ เวทย์ค่ายกลที่เราวางไว
เจดเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระไม่เลิก แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่เฟนด์พูดอะไรผิด เขาจะถากถางด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เฟนด์ไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมให้คนอื่นรังแกเขา ไหนจะความจริงที่ว่าเขาต้องอดทนกับเจดมาเป็นเวลานานก็มากพอแล้วเจดมองไปที่ใบหน้าเย็นชาของเฟนด์ แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะฟังดูสงบและไม่มีความโกรธบนใบหน้า แต่เขาก็รู้ว่าถ้าเขาไม่ทำตามคำสั่งของเฟนด์ ชายหนุ่มจะทิ้งเขาไว้ที่นั่นโดยไม่ลังเลอัลเบี้ยนต้องการพูดบางอย่างเพื่อทำให้บรรยากาศสงบลง แต่ถูกดไวท์ปรามไว้ก่อน ดไวท์ฉลาดกว่าเจดอย่างเห็นได้ชัด เขารู้ว่าถ้าเฟนด์ไม่แก้แค้นเจดตอนนี้ นานวันเข้าทุกอย่างจะยิ่งลุกลามไปมากกว่าเดิม“ทำไมนายถึงคิดว่าฉันไม่พอใจ?” เจดถามหน้าแดงด้วยความอัปยศอดสู“คิดถึงสิ่งที่คุณเคยพูดกับฉันก่อนหน้านี้สิ ก็อย่างที่ฉันบอก มันขึ้นอยู่กับคุณว่าอยากจะทำตามที่ฉันบอกหรืออยากถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวที่นี่” เฟนด์กล่าวด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาก็เรียกหาแนชราวกับว่าพร้อมที่จะออกไปแล้ว ไม่เห็นเช่นนั้นก็ทำให้เจดตื่นตระหนก "ฉันจะทำ! ฉันจะฝังศพพวกเขาเอง!”เขาเริ่มจัดการกับศพบนพื้นทันทีและทำความสะอาดสถานที่ให้กลับคืนสู่สภาพปกติโดยไม่ทิ้งร่องรอยของ
คำถามนั้นทำให้ทุกคนชะงัก แท้จริงแล้วสิ่งนั้นไม่ใช่สัตว์ตัวเล็ก ๆ แต่เป็นคนจริง ๆ ซึ่งจงใจทำเสียงกรอบแกรบเพื่อเรียกความสนใจจากพวกเขา ดูจากเสียงก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงของคนมีอายุ ถ้าเขาเป็นผู้เพียงผู้ฝึกยุทธทั่วไป เขาอาจจะไม่แข็งแกร่งอะไรนะ แต่ถ้าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธจากสำนักวายชนม์เขาย่อมต้องมีพละกำลังมากเป็นพิเศษกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าจะไม่มีใครรอดไปได้นอกจากเฟนด์ ศัตรูจะไม่ถามคำถามแบบนี้กับพวกเขา นอกเสียจากว่า...เขามีเวลาเหลือเฟือ ความคิดทุกแขนงแวบเข้ามาในหัวในขณะที่เขายังคงตื่นตัวอยู่ เขาสบตากับคนอื่น ๆ แล้วเดินไปยังอีกฝั่งของต้นไม้ เขาใช้เวลาเพียงสิบกว่าก้าวก็มองเห็นคนที่อยู่หลังต้นไม้ในที่สุดสิ่งที่ทำให้เฟนด์ประหลาดใจคืออายุของบุคคลนี้ไม่ตรงกับเสียงของเขาเลย เขาดูเหมือนชายอายุสามสิบ หน้าท้องของเขาเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงก่ำ ใบหน้าซีดกว่าปกติ และหายใจโรยริน เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส“คุณเป็นผู้อาวุโสภายในของตำหนักสองกษัตริย์ใช่รึเปล่า?” เฟนด์ถามเขาถามคำถามนั้นเพราะคนตรงหน้าเขาสวมเสื้อสีน้ำเงินเข้มที่มีดอกบีโกเนียระยิบระยับปักอยู่บนเข็มขัด และใครก็ตามที่มีดอกบีโกเนียอยู่ที่เอวย่อมเป็นผู
เฟนด์ขมวดคิ้ว เขาไม่ได้สนใจรางวัลตอบแทนอะไร แต่กลับสงสัยว่าเหตุใดผู้อาวุโสก็อดฟรีย์จึงมองเขาด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะพยายามซ่อนมัน แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นการสังเกตของเฟนด์ไปได้เฟนด์พยักหน้าอย่างสงบและแลกเปลี่ยนบทสนทนาที่สุภาพอีกสองสามประโยคโดยบอกว่าเขาไม่สนใจว่าจะอีกฝ่ายจะมีรางวัลให้เขาหรือไม่ และในฐานะศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์ เขามีหน้าที่ปกป้องผู้อาวุโสที่เคารพของสำนักผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ได้แต่พยักหน้า และสีหน้าที่ซับซ้อนของเขาก็ไม่ปรากฏออกมาอีกเลย เขาหันศีรษะไปมองยังทิศทางของเวทค่ายกล “ไม่ต้องมากพิธี เรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ ฉันได้รับบาดเจ็บจากผู้อาวุโสของสำนักวายชนม์ ถ้าไม่ใช่เพราะวิธีเอาตัวรอดของฉัน ป่านนี้ฉันคงตายด้วยน้ำมือของเขาไปนานแล้ว ตอนนี้เขาคงร้อนใจที่จะจับฉันให้ได้ และฉันเกรงว่าหากยังชักช้าไปมากกว่านี้เราจะจบไม่สวย”คนทั้งกลุ่มเริ่มตื่นตระหนกเมื่อได้ยินสิ่งนี้ แต่แล้วก็รีบสงบสติอารมณ์ เฟนด์มองไปที่ดัดลีย์ด้วยสายตาเย็นชา และเขารู้ว่าเฟนด์ต้องการอะไรโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องเอ่ยปากพูด เขาตัวสั่นและหยิบบัตรผ่านออกมาบัตรผ่านใบนี้อยู่บนศพของโรบิน และเฟนด์ก็จงใจขอให้