เดเร็กตระหนักได้ทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาเหยียดมือออกและตบตัวเองในทันที แน่นอนว่าการตบของเขาไม่ได้รุนแรงแต่อย่างใด นั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ รอยยิ้มคืบคลานมายังใบหน้าของเขา “โธ่เอ้ย ผมนี่มันโง่จริง ๆ! คนพูดถูกแล้ว ขืนเรื่องนี้แพร่ออกไปเราก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย คนเหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร และพวกเราเพียงคนเดียวก็พอที่จะจัดการกับคนพวกนี้ได้แล้ว”ดัดลีย์และเดเมียนกระโดดเข้าร่วมวงสนทนาและพูดคำประจบสอพลอ ซึ่งนั่นสร้างความพอใจให้กับโรบินเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นสีหน้าเย็นชาของเขาก็หายวับไป “พวกนายคิดที่จะแจ้งเรื่องนี้แก่ศิษย์พี่ใหญ่ทั้งที่เราบังเอิญเจอเข้ากับพวกขี้แพ้แค่ไม่กี่คนน่ะเหรอ? ศิษย์พี่ใหญ่คงจะคิดว่าเราเป็นพวกขี้แพ้ถ้าเรารบกวนเขาด้วยเรื่องแค่นี้ พวกเขาสามคนอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิด ในขณะที่อีกคนหนึ่งอยู่ในขั้นแรก และคนไร้ประโยชน์อีกคนซึ่งอยู่ในระดับติดตัว ยิ่งไปกว่านั้น หนึ่งในคนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อน แม้ว่าจะมีเพียงเราสามคน แต่พวกเขาก็ไม่เหมาะกับเรา!”พวกเขาทั้งสี่คนอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิด โดยเฉพาะโรบินซึ่
เฟนด์ตอบโดยไม่หันกลับมามองพวกเขา “เพราะงั้นคุณคิดว่าเราควรที่จะรออยู่ข้างในเงียบ ๆ อย่างนั้นสินะ? แบบนั้นเราจะไม่ต้องเสียอะไรเลยใช่หรือเปล่า?” การแสดงออกของเฟนด์ยังคงเหมือนเดิมในขณะที่เขาพูด แต่ใครก็ตามที่ฉลาดพอที่จะได้รับรู้ถึงความโกรธของเฟนด์ เจดเป็นพวกใจร้อน เพราะทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างดีเขาก็จะชมไม่ขาดปาก แต่พอเกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นเขาก็พูดโพล่งตำหนิในทันทีเจดไม่กล้าเงยหน้ามองเฟนด์แต่ความไม่เชื่อในดวงตาที่ลดลงของเขา “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันแค่รู้สึกว่าเรารีบร้อนออกมามากเกินไป หากเราอยู่ในนั้นต่อไปอีกสักสองสามวัน ปัญหาเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น”เฟนด์ฮัมเพลงเบา ๆ และเขายังคงจ้องไปยังเบื้องหน้าด้วยดวงตาที่ดูราวกับนกอินทรีของเขา “แล้วก่อนหน้านี้ทำไมคุณไม่แย้งล่ะ? ก่อนหน้านี้คนเอาแต่เงียบ แต่พอเกิดปัญหาขึ้นก็พูดพร่ำมากกว่าคนอื่น” เฟนด์ไม่เคยอยากจะพูดอะไรมากมาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยให้คนอื่นกล่าวหาเขาตามอำเภอใจสีหน้าของเจดดูหม่นหมอง และเขาต้องการจะปฏิเสธเฟนด์ แต่ดไวท์ทนไม่ได้อีกต่อไปและพูดว่า “นายควรหุบปากไปซะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะพูดไปให้ได้อะไร”เจดโกรธจนริมฝีปา
สุดท้ายอัลเบี้ยนก็พูดขึ้น เขาลดเสียงลงและพูดขณะที่หรี่ตา “น้องเฟนด์ ที่นายพูดแบบนั้นนี่มันหมายความว่ายังไง”เฟนด์เลิกคิ้วและไม่ได้วางแผนที่จะเสียเวลาอธิบายอะไรกับพวกเขาต่อไป เขาตอบอย่างมั่นใจว่า “ปล่อยให้ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางเป็นหน้าที่ของผม พวกคุณจดจ่ออยู่กับการกันคนอื่นให้ห่างออกไปก็พอ” เฟนด์ชี้ไปที่โรบินซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง นิ้วเรียวยาวของเขาส่องแสงภายใต้แสงที่เหลือจากดวงอาทิตย์และมันดูทรงพลังไม่ได้บอบบางอย่างที่คิดโรบินเกือบจะสงสัยแล้วว่าอีกฝ่ายมีอาการประสาทหลอนหรือเปล่า หากไม่อย่างนั้น ทำไมผู้ชายคนนี้กล้าพูดคำไร้สาระแบบนี้ออกมาได้? เขากล้าพอที่จะท้าดวลกับโรบิน ทั้งที่อยู่ในขั้นแรกของระดับแรกกำเนิดเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่บ่งบอกถึงตำแหน่งของเขาได้อย่างชัดเจน เขาเป็นศิษย์ในสำนักระดับสามแต่กลับกล้าที่จะท้าทายเขาซึ่งอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิด ยิ่งไปกว่านั้น เขาอยู่ในขั้นสมบูรณ์ของระดับแรกกำเนิดแล้วด้วยซ้ำ และกำลังจะทะลวงเข้าสู่ระดับผลึกวสันต์หลังจากนี้อีกไม่นาน!เดเร็กหัวเราะเสียงดังจนตัวงอ เขาชี้ไปที่เฟนด์แล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม นายบ้าไปแล้วหรอ? กล้าดียังไงมาท้าสู้ศิษย์พี่ของเ
เขาไม่ต้องการให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องจากสำนักของเขาต้องมาตายกันอยู่ที่นี่ แต่เมื่อเฟนด์พูดคำเหล่านั้น ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่สงบ ความมั่นใจในตัวเองที่ไม่สามารถบรรยายได้จึงก่อตัวขึ้นเต็มตื้นหัวใจของเขา และอัลเบี้ยนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเฟนด์จะมีพลังได้ถึงขนาดนั้นจริงหรือไม่หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ยอมเปิดปากพูด เสียงของเขาทุ้มต่ำเล็กน้อย แต่น้ำเสียงดูสิ้นสงสัย “เราทำได้ ว่าแต่นายล่ะทำได้หรือเปล่า”ขนของเจดลุกชันเมื่อได้ยินคำถาม เขาหันไปหาอัลเบี้ยนและพูดว่า “ศิษย์พี่อัลเบี้ยน อย่าบอกนะว่าคุณกำลังคิดเรื่องนี้อย่างเป็นจริงเป็นจัง? หากเราต้องเผชิญหน้ากับคนทั้งสี่คนที่อยู่ขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิด เราจะหนีพ้นความตายได้เหรอ? คุณไม่ได้ยินสิ่งที่โรบินพูดว่าเขาจะทรมานเราหรือไง? อย่างไรเสียเราทุกคนก็ต้องตาย แต่ผมอยากตายอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่แบบนี้!”อัลเบี้ยนหยุดความจู้จี้ด้วยการยกมือขึ้น เขาหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องทำอย่างไร แน่นอนว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำตอนนี้คือการล่าถอย แต่นายคิดว่าเราถอยได้เหรอ? ไม่ว่ายังไงเราก็อาจจะต้องจบลงด้วยการตายอยู่ดี…”โรบินและคนอ
โรบินยิ้มจนมุมปากแตะใบหู เขาขยิบตาให้กับคนที่อยู่ข้างหลัง และพี่น้องทั้งสามก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับเจดและคนอื่น ๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายหลบหนีโรบินบริหารกระดูกคอและสะบัดข้อมือ แต่ละข้อต่อเกิดเสียงเลื่อนลั่น "ก็ได้! ในเมื่อนายอยากจะสู้กับฉันมาก อย่างนั้นฉันจะแสดงให้นายเห็นว่าพลังที่แท้จริงเป็นยังไง!”หลังจากพูดแค่นั้นแล้ว เขาก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังพูดอะไรไร้สาระเกินไป เขาหันไปหาสามพี่น้องที่อยู่ข้างหลังและเอ่ยบอกพวกเขาว่า “พวกนายต้องทำให้แน่ใจว่าสามคนนั้นจะหนีไปไหนไม่ได้ ฉันจะจัดการกับหมอนี่เอง ฉันคงไม่ได้จริงจังอะไรนะ แต่เด็กคนนี้ต้องได้รับบทเรียน!”ทันใดนั้น แสงสีทองจึงส่องวาบขึ้นในมือของโรบิน และไม้พลองยาวห้าฟุตก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขาจากอากาศอันเบาบาง ไม้พลองยาวห้าฟุตเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า และมีอักษรรูนโบราณที่ลึกลับสลักอยู่ทั่วการเลือกอาวุธของเขาทำให้เฟนด์ประหลาดใจ เพราะเขาไม่ได้ดูเหมือนผู้ที่บ่มเพาะพละกำลังเลย โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ฝึกฝนด้วยไม้พลองเช่นนี้จะชนะการต่อสู้ได้ด้วยพละกำลังของตัวเอง และทักษะการบ่มเพาะและทักษะยุทธของพวกเขาก็จะเน้
เฟนด์ขมวดคิ้ว เขาเพิ่มระยะห่างระหว่างโรบินกับตัวเขาอย่างรวดเร็ว คู่ต่อสู้ของเขาเป็นนักสู้ระยะประชิดในขณะที่เฟนด์ช่ำชองในการต่อสู้ระยะไกล ดังนั้นเขาจะปลอดภัยตราบเท่าที่เขาไม่เข้าใกล้โรบินมากเกินไปเขาร่ายผนึกด้วยมืออย่างรวดเร็วอีกครั้งและกริชสีดำอมเทาสิบเล่มที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศก็ปัดป้องไม้เท้ายาวของโรบินเอาไว้ได้ แสงสีทองและแสงสีดำอมเทาปะทะกันอีกครั้ง ครั้งนี้เฟนด์ใช้กริชสีดำอมเทาหกเล่ม ทำให้เขาอยู่ในระดับเดียวกับโรบินโรบินหอบหายใจหนักและหน้าแดงก่ำ เขารู้สึกโกรธยิ่งกว่าเก่า มือของเขาสั่นเทาขณะกัดฟันมองไปที่เฟนด์ เขาเหวี่ยงไม้เท้าออกไปเพื่อโจมตีอีกครั้ง แต่การโจมตีในทุกครั้งของเขาถูกกริชสีดำอมเทาต้านทานเอาไว้ได้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีเขาตกใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใดก็ตามที่การโจมตีของเขาถูกกริชสีดำอมเทาขัดขวาง และไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว คนอื่น ๆ ต่างก็มองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างราวกับว่าเห็นผีเช่นกันมุมปากของเจดเริ่มกระตุก “หยิกผมที ศิษย์พี่ดไวท์ นี่ผมฝันไปหรือเปล่า? เฟนด์ฝีมือสูสีกับโรบินได้ยังไง? พวกเขาปะทะกันมาระยะหนึ่งแล้ว นี่มันเรื่องจริงเหรอ? ผมไม่ได้ฝันไปใช่หรือเปล่า?” รูม่านตาข
เขากำไม้เท้าแน่นขึ้นและเริ่มถ่ายเทพลังที่แท้จริงของตัวเองลงไป อักษรรูนเพื่อนจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้าน เริ่มเปล่งประกายสดใส จากนั้นเขาก็ได้ผนึกมือด้วยมือขวาเสียงคำรามที่ไม่ได้มาจากมนุษย์ดังออกมาจากปากของเขาในขณะที่เขาปล่อยลูกบอลที่มีแสงสีทอง คล้ายกับแสงหิ่งห้อยออกมา ก่อนที่มันจะควบแน่นอยู่ด้านหลังของเขา ในชั่วพริบตาแสงสีทองดังกล่าวก็ก่อตัวเป็นรูปลักษณ์ของกอริลลาที่มีเขี้ยวแหลมคม ดวงตาที่ส่องสว่างเหมือนหลอดไฟส่งให้ทุกคนรู้สึกวิงเวียน กอริลลาที่สร้างขึ้นจากแสงสีทองจ้องมองเฟนด์อย่างฉุนเฉียวราวกับอยากจะกลืนกินเขาไปทั้งตัวในท้ายที่สุด โรบินถูกบังคับให้ใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเขา “ทักษะนี้สามารถใช้ได้หลังจากที่ฉันได้ฝึกฝนทักษะไม้เท้าภูโลกาจนถึงระดับสมบูรณ์แบบแล้วเท่านั้น มีคนตายจากทักษะนี้มาหลายคนแล้ว และในไม่ช้า นายก็จะกลายเป็นหนึ่งในนั้นด้วย!”ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวอย่างโหดเหี้ยมในขณะที่พุ่งเข้าหาเฟนด์ กอริลล่าซึ่งก่อร่างขึ้นจากแสงที่อยู่ข้างหลังเขาก็คำรามออกมาในขณะที่มันพุ่งเข้าหาเฟนด์เช่นกัน ในระหว่างทางกอริลล่าตัวนั้นค่อย ๆ รวมเข้ากับไม้เท้าในมือของโรบิน และไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือ
ดไวท์และคนอื่น ๆ ล่าถอยไปในทันทีและในขณะเดียวกันก็ใช้พลังงานที่แท้จริงของตัวเองในการป้องกันคลื่นกระแทกเหล่านั้น เจดย่นคิ้วและใบหน้าของเขาก็ซีดลงเมื่อเขาได้ยินเสียงกระทบจากเกราะวิญญาณของเขา เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคลื่นกระแทกจากทักษะดังกล่าวจะสามารถทำลายวิญญาณของเขาได้ โชคดีที่คลื่นกระแทกดังกล่าวอยู่เพียงชั่วครู่และสลายไปเสียงกรีดร้องทำลายความเงียบลง ร่างหนึ่งกำลังร่นถอยจากศูนย์กลางของพลังที่กระทบกัน ตามด้วยกริชสีดำอมเทา กริชสีดำอมเทาเคลื่อนที่เร็วมาก มันเร็วจนดูคล้ายจะสามารถพุ่งตัวไปยังจุดที่โรบินอยู่ได้ในพริบตาใบหน้าของโรบินไม่เหลือสีเลยแม้แต่น้อย เขาพยายามใช้ไม้เท้าสกัดกั้นมันเอาไว้ แต่กริชสีดำอมเทาก็สามารถหลบการป้องกันได้อย่างง่ายดายและปักลงไปที่หน้าท้องของโรบินในทันที ความเจ็บปวดที่ตามมาให้ความรู้สึกราวกับถูกพิษกัดกินเนื้อหนังของเขา“เป็นไปได้ยังไง?!” โรบินตะโกนขึ้น เขาทั้งตระหนกและโมโห เขาไม่คิดเลยว่าชาตินี้พลังที่แข็งแกร่งทรงพลังที่สุดของเขาจะพ่ายแพ้ให้กับกริชของศัตรู กริชเล่มที่มีความยาวน้อยกว่าฝ่ามือของเขาทั้งที่ไม้เท้าของเขายาวตั้งห้าฟุต! เขาไม่รู้ว่าทำไมทักษะหมดหน้าตักของ