สุดท้ายอัลเบี้ยนก็พูดขึ้น เขาลดเสียงลงและพูดขณะที่หรี่ตา “น้องเฟนด์ ที่นายพูดแบบนั้นนี่มันหมายความว่ายังไง”เฟนด์เลิกคิ้วและไม่ได้วางแผนที่จะเสียเวลาอธิบายอะไรกับพวกเขาต่อไป เขาตอบอย่างมั่นใจว่า “ปล่อยให้ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางเป็นหน้าที่ของผม พวกคุณจดจ่ออยู่กับการกันคนอื่นให้ห่างออกไปก็พอ” เฟนด์ชี้ไปที่โรบินซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง นิ้วเรียวยาวของเขาส่องแสงภายใต้แสงที่เหลือจากดวงอาทิตย์และมันดูทรงพลังไม่ได้บอบบางอย่างที่คิดโรบินเกือบจะสงสัยแล้วว่าอีกฝ่ายมีอาการประสาทหลอนหรือเปล่า หากไม่อย่างนั้น ทำไมผู้ชายคนนี้กล้าพูดคำไร้สาระแบบนี้ออกมาได้? เขากล้าพอที่จะท้าดวลกับโรบิน ทั้งที่อยู่ในขั้นแรกของระดับแรกกำเนิดเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่บ่งบอกถึงตำแหน่งของเขาได้อย่างชัดเจน เขาเป็นศิษย์ในสำนักระดับสามแต่กลับกล้าที่จะท้าทายเขาซึ่งอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิด ยิ่งไปกว่านั้น เขาอยู่ในขั้นสมบูรณ์ของระดับแรกกำเนิดแล้วด้วยซ้ำ และกำลังจะทะลวงเข้าสู่ระดับผลึกวสันต์หลังจากนี้อีกไม่นาน!เดเร็กหัวเราะเสียงดังจนตัวงอ เขาชี้ไปที่เฟนด์แล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม นายบ้าไปแล้วหรอ? กล้าดียังไงมาท้าสู้ศิษย์พี่ของเ
เขาไม่ต้องการให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องจากสำนักของเขาต้องมาตายกันอยู่ที่นี่ แต่เมื่อเฟนด์พูดคำเหล่านั้น ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่สงบ ความมั่นใจในตัวเองที่ไม่สามารถบรรยายได้จึงก่อตัวขึ้นเต็มตื้นหัวใจของเขา และอัลเบี้ยนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเฟนด์จะมีพลังได้ถึงขนาดนั้นจริงหรือไม่หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ยอมเปิดปากพูด เสียงของเขาทุ้มต่ำเล็กน้อย แต่น้ำเสียงดูสิ้นสงสัย “เราทำได้ ว่าแต่นายล่ะทำได้หรือเปล่า”ขนของเจดลุกชันเมื่อได้ยินคำถาม เขาหันไปหาอัลเบี้ยนและพูดว่า “ศิษย์พี่อัลเบี้ยน อย่าบอกนะว่าคุณกำลังคิดเรื่องนี้อย่างเป็นจริงเป็นจัง? หากเราต้องเผชิญหน้ากับคนทั้งสี่คนที่อยู่ขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิด เราจะหนีพ้นความตายได้เหรอ? คุณไม่ได้ยินสิ่งที่โรบินพูดว่าเขาจะทรมานเราหรือไง? อย่างไรเสียเราทุกคนก็ต้องตาย แต่ผมอยากตายอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่แบบนี้!”อัลเบี้ยนหยุดความจู้จี้ด้วยการยกมือขึ้น เขาหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องทำอย่างไร แน่นอนว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำตอนนี้คือการล่าถอย แต่นายคิดว่าเราถอยได้เหรอ? ไม่ว่ายังไงเราก็อาจจะต้องจบลงด้วยการตายอยู่ดี…”โรบินและคนอ
โรบินยิ้มจนมุมปากแตะใบหู เขาขยิบตาให้กับคนที่อยู่ข้างหลัง และพี่น้องทั้งสามก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับเจดและคนอื่น ๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายหลบหนีโรบินบริหารกระดูกคอและสะบัดข้อมือ แต่ละข้อต่อเกิดเสียงเลื่อนลั่น "ก็ได้! ในเมื่อนายอยากจะสู้กับฉันมาก อย่างนั้นฉันจะแสดงให้นายเห็นว่าพลังที่แท้จริงเป็นยังไง!”หลังจากพูดแค่นั้นแล้ว เขาก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังพูดอะไรไร้สาระเกินไป เขาหันไปหาสามพี่น้องที่อยู่ข้างหลังและเอ่ยบอกพวกเขาว่า “พวกนายต้องทำให้แน่ใจว่าสามคนนั้นจะหนีไปไหนไม่ได้ ฉันจะจัดการกับหมอนี่เอง ฉันคงไม่ได้จริงจังอะไรนะ แต่เด็กคนนี้ต้องได้รับบทเรียน!”ทันใดนั้น แสงสีทองจึงส่องวาบขึ้นในมือของโรบิน และไม้พลองยาวห้าฟุตก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขาจากอากาศอันเบาบาง ไม้พลองยาวห้าฟุตเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า และมีอักษรรูนโบราณที่ลึกลับสลักอยู่ทั่วการเลือกอาวุธของเขาทำให้เฟนด์ประหลาดใจ เพราะเขาไม่ได้ดูเหมือนผู้ที่บ่มเพาะพละกำลังเลย โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ฝึกฝนด้วยไม้พลองเช่นนี้จะชนะการต่อสู้ได้ด้วยพละกำลังของตัวเอง และทักษะการบ่มเพาะและทักษะยุทธของพวกเขาก็จะเน้
เฟนด์ขมวดคิ้ว เขาเพิ่มระยะห่างระหว่างโรบินกับตัวเขาอย่างรวดเร็ว คู่ต่อสู้ของเขาเป็นนักสู้ระยะประชิดในขณะที่เฟนด์ช่ำชองในการต่อสู้ระยะไกล ดังนั้นเขาจะปลอดภัยตราบเท่าที่เขาไม่เข้าใกล้โรบินมากเกินไปเขาร่ายผนึกด้วยมืออย่างรวดเร็วอีกครั้งและกริชสีดำอมเทาสิบเล่มที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศก็ปัดป้องไม้เท้ายาวของโรบินเอาไว้ได้ แสงสีทองและแสงสีดำอมเทาปะทะกันอีกครั้ง ครั้งนี้เฟนด์ใช้กริชสีดำอมเทาหกเล่ม ทำให้เขาอยู่ในระดับเดียวกับโรบินโรบินหอบหายใจหนักและหน้าแดงก่ำ เขารู้สึกโกรธยิ่งกว่าเก่า มือของเขาสั่นเทาขณะกัดฟันมองไปที่เฟนด์ เขาเหวี่ยงไม้เท้าออกไปเพื่อโจมตีอีกครั้ง แต่การโจมตีในทุกครั้งของเขาถูกกริชสีดำอมเทาต้านทานเอาไว้ได้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีเขาตกใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใดก็ตามที่การโจมตีของเขาถูกกริชสีดำอมเทาขัดขวาง และไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว คนอื่น ๆ ต่างก็มองด้วยดวงตาที่เบิกกว้างราวกับว่าเห็นผีเช่นกันมุมปากของเจดเริ่มกระตุก “หยิกผมที ศิษย์พี่ดไวท์ นี่ผมฝันไปหรือเปล่า? เฟนด์ฝีมือสูสีกับโรบินได้ยังไง? พวกเขาปะทะกันมาระยะหนึ่งแล้ว นี่มันเรื่องจริงเหรอ? ผมไม่ได้ฝันไปใช่หรือเปล่า?” รูม่านตาข
เขากำไม้เท้าแน่นขึ้นและเริ่มถ่ายเทพลังที่แท้จริงของตัวเองลงไป อักษรรูนเพื่อนจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้าน เริ่มเปล่งประกายสดใส จากนั้นเขาก็ได้ผนึกมือด้วยมือขวาเสียงคำรามที่ไม่ได้มาจากมนุษย์ดังออกมาจากปากของเขาในขณะที่เขาปล่อยลูกบอลที่มีแสงสีทอง คล้ายกับแสงหิ่งห้อยออกมา ก่อนที่มันจะควบแน่นอยู่ด้านหลังของเขา ในชั่วพริบตาแสงสีทองดังกล่าวก็ก่อตัวเป็นรูปลักษณ์ของกอริลลาที่มีเขี้ยวแหลมคม ดวงตาที่ส่องสว่างเหมือนหลอดไฟส่งให้ทุกคนรู้สึกวิงเวียน กอริลลาที่สร้างขึ้นจากแสงสีทองจ้องมองเฟนด์อย่างฉุนเฉียวราวกับอยากจะกลืนกินเขาไปทั้งตัวในท้ายที่สุด โรบินถูกบังคับให้ใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเขา “ทักษะนี้สามารถใช้ได้หลังจากที่ฉันได้ฝึกฝนทักษะไม้เท้าภูโลกาจนถึงระดับสมบูรณ์แบบแล้วเท่านั้น มีคนตายจากทักษะนี้มาหลายคนแล้ว และในไม่ช้า นายก็จะกลายเป็นหนึ่งในนั้นด้วย!”ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวอย่างโหดเหี้ยมในขณะที่พุ่งเข้าหาเฟนด์ กอริลล่าซึ่งก่อร่างขึ้นจากแสงที่อยู่ข้างหลังเขาก็คำรามออกมาในขณะที่มันพุ่งเข้าหาเฟนด์เช่นกัน ในระหว่างทางกอริลล่าตัวนั้นค่อย ๆ รวมเข้ากับไม้เท้าในมือของโรบิน และไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือ
ดไวท์และคนอื่น ๆ ล่าถอยไปในทันทีและในขณะเดียวกันก็ใช้พลังงานที่แท้จริงของตัวเองในการป้องกันคลื่นกระแทกเหล่านั้น เจดย่นคิ้วและใบหน้าของเขาก็ซีดลงเมื่อเขาได้ยินเสียงกระทบจากเกราะวิญญาณของเขา เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคลื่นกระแทกจากทักษะดังกล่าวจะสามารถทำลายวิญญาณของเขาได้ โชคดีที่คลื่นกระแทกดังกล่าวอยู่เพียงชั่วครู่และสลายไปเสียงกรีดร้องทำลายความเงียบลง ร่างหนึ่งกำลังร่นถอยจากศูนย์กลางของพลังที่กระทบกัน ตามด้วยกริชสีดำอมเทา กริชสีดำอมเทาเคลื่อนที่เร็วมาก มันเร็วจนดูคล้ายจะสามารถพุ่งตัวไปยังจุดที่โรบินอยู่ได้ในพริบตาใบหน้าของโรบินไม่เหลือสีเลยแม้แต่น้อย เขาพยายามใช้ไม้เท้าสกัดกั้นมันเอาไว้ แต่กริชสีดำอมเทาก็สามารถหลบการป้องกันได้อย่างง่ายดายและปักลงไปที่หน้าท้องของโรบินในทันที ความเจ็บปวดที่ตามมาให้ความรู้สึกราวกับถูกพิษกัดกินเนื้อหนังของเขา“เป็นไปได้ยังไง?!” โรบินตะโกนขึ้น เขาทั้งตระหนกและโมโห เขาไม่คิดเลยว่าชาตินี้พลังที่แข็งแกร่งทรงพลังที่สุดของเขาจะพ่ายแพ้ให้กับกริชของศัตรู กริชเล่มที่มีความยาวน้อยกว่าฝ่ามือของเขาทั้งที่ไม้เท้าของเขายาวตั้งห้าฟุต! เขาไม่รู้ว่าทำไมทักษะหมดหน้าตักของ
อัลเบี้ยนเกือบกัดลิ้นตัวเองเมื่อความคิดแวบเข้ามาในหัวของเขา 'ไม่มีทาง! เด็กหนุ่มที่อยู่ในขั้นต้นของระดับแรกกำเนิดจะสามารถใช้ทักษะระดับนภาได้อย่างไร?!'แม้แต่เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักที่มีพรสวรรค์มหาศาลที่เขารู้จักก็ยังไม่อาจบ่มเพาะทักษะระดับนภาได้เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถทะลวงผ่านระดับพลังยุทธของพวกเขาได้ สิ่งที่เฟนด์ทำนั้นดูคล้ายกับการเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยตอนอายุสามขวบอย่างไรอย่างนั้น!เฟนด์ฝึกฝนทักษะนี้ได้เพราะความทรงจำและประสบการณ์ที่ปรมาจารย์ในอดีตทิ้งไว้ สิ่งที่เขาได้รับจากปรมาจารย์นั้นดีกว่าการได้รับการฝึกฝนจากศิษย์อาวุโสเป็นพันเท่า“เขาทำแบบนี้ได้ยังไง? ใครก็ได้บอกฉันทีว่าเขาทำได้ยังไง?” อัลเบี้ยนพึมพำกับตัวเอง ยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเชื่อได้น้อยลงเท่านั้น และสิ่งนี้ทำให้เขาปวดหัวดไวท์ไม่อาจหาคำมาอธิบายให้กับตัวเองได้เลย เขาคิดว่าเฟนด์เป็นคนพิเศษ แต่เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์แล้ว คำว่าพิเศษนั้นดูจะน้อยเกินไป สำหรับเรื่องในวันนี้เฟนด์เป็นต้องเป็นปีศาจแน่! มีเพียงปีศาจเท่านั้นที่สามารถบ่มเพาะทักษะระดับปฐพีได้ทั้งที่เพิ่งอยู่ในขั้นต้นของระดับ
ใบหน้าของเดเร็กซีดลงเมื่อเห็นกริชกลับคืนมาอยู่ในมือของเฟนด์ เขาถอยหลังหนึ่งก้าวและดาบในมือสั่นไหว ความสั่นไหวดังกล่าวไม่ใช่เกิดจากพลังงานที่แท้จริงที่ถ่ายเทเข้าไปในดาบนั้น แต่จากความหวาดกลัว น้องชายสองคนของเขาซึ่งมีพละกำลังน้อยกว่าเขายิ่งหวาดกลัวไปกันใหญ่ พวกเขาซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเขาและปฏิบัติต่อเขาไม่ต่างจากเกราะกำบังความอวดดีก่อนหน้านี้ของพวกเขาถูกแทนที่ด้วยความหวั่นวิตกและความหวาดระแวง พวกเขามองไปที่เฟนด์ราวกับชายหนุ่มเป็นปีศาจที่หลุดมาจากนรกขุมที่ลึกที่สุดและสามารถฉีกหัวของพวกเขาได้ในพริบตาเดเร็กกลืนน้ำลาย ดาบในมือของเขาสั่นอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม จนทำให้ส่วนปลายเกิดเสียงจากการสั่นขึ้นเบา ๆ “ฉันขอเตือนนายไว้เลยนะ จริงอยู่ที่เราไม่ได้แข็งแกร่งเท่านาย แต่นายจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเราแน่หากเราสามคนร่วมมือกัน!”ริมฝีปากของเฟนด์โค้งขึ้น ด้วยการสะบัดข้อมือของเขา กริชสีดำก็ลอยขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง แสงสีดำของมันเปลี่ยนเป็นหมอกสีเทาอ่อนที่หมุนวนซึ่งคล้ายกับก๊าซพิษที่ปล่อยออกมาจากหนองน้ำ เขาจ้องมองเดเร็กอย่างเย็นชาและพูดว่า “สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดก็คือการที่ถูกคนอื่นข่มขู่ เพราะงั้นนายถึงท
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ