“ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้” แนชพูดอย่างจริงจัง ทุกคนหันมามองเขาด้วยสายตาสับสนแนชไอและอธิบายต่อไป “ที่ฉันหมายถึงก็คือ เราต้องแน่ใจว่าบริเวณโดยรอบปลอดภัยก่อนออกเดินทาง พวกคุณบอกเองไม่ใช่หรือว่าพวกเขาจะทำทุกวิธีทางที่จะฆ่าพวกคุณทุกคนเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะกลับไปรายงานเรื่องพวกเขาไม่ได้? แม้ว่าเราจะอยู่รอบนอกของป่า แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่หมายตาให้สถานที่นี้เป็นจุดสังเกตการณ์”สิ่งที่แนชฟังดูมีเหตุผล พวกเขาสบตากันและสีหน้าของพวกเขาก็ดูเคร่งขรึมขึ้น พวกเขาไม่สามารถรีรอต่อไปได้อีกแล้ว แต่พวกเขาก็จากไปเช่นนั้นไม่ได้เช่นกันเฟนด์ขมวดคิ้วและตัดสินใจ “เอาแบบนี้ดีไหม? ฉันจะออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบเพื่อหาทางหนี และเราจะออกเดินทางกันภายในสองชั่วโมง” โดยไม่รอคำตอบ เขาหันหลังเตรียมจะออกจากถ้ำแต่ถูกดไวท์ห้ามไว้“ให้ฉันไปแทนแล้วกัน ฉันได้ฝึกฝนทักษะยุทธพิเศษมาและทักษะการรับรู้ก็เฉียบคม หากมีศัตรูอยู่รอบ ๆ ฉันจะรู้ทันทีและจะได้ถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัย ยิ่งไปกว่านั้นการบ่มเพาะของนายก็อยู่ในขั้นแรกระดับแรกกำเนิดเท่านั้น อีกอย่าง ตอนนี้ฉันดีขึ้นแล้ว” เขาพูดขณะลุกขึ้นยืน เขาปัดเศษหญ้าจากก้นของตัว
เจดจับไหล่ดไวท์และถามอย่างกระวนกระวายว่า “เกิดอะไรขึ้น? คุณประสบอันตรายหรือไม่? ค้นหาทางหนีทีไล่ให้เราได้แล้วหรือยัง?”คำถามเหล่านี้ทำให้ใบหน้าของดไวท์ดูหวาดหวั่นยิ่งขึ้นไปอีก รูม่านตาของเขาสั่นเล็กน้อยและมุมปากของเขากระตุกราวกับกำลังตัดสินใจว่าจะตอบออกมาอย่างไร คนอื่น ๆ เริ่มตื่นตระหนกเมื่อเห็นเขามีกริยาเช่นนั้น เฟนด์ก็เดินเข้าไปหาเขาจ้องมองด้วยสีหน้าขมวดมุ่น ดไวท์ถอนหายใจเบา ๆ และโบกมือ “เข้าไปข้างในก่อนแล้วฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง”พวกเขาพยักหน้าและแม้ว่าพวกเขาจะกังวลกับคำตอบ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าไปในถ้ำให้ลึกกว่าเดิม“ฉันรู้แล้วว่าพวกเขาใช้ธงเวทย์ในการทำอะไร และไม่มีทางเลยที่เราจะออกไปได้ในตอนนี้” ดไวท์พูดอย่างเคร่งขรึมหลังจากมองไปที่อัลเบี้ยนที่ยังไม่ได้สติสีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป เจดคว้าแขนดไวท์อย่างหุนหันพลันแล่น เขาขึ้นเสียงและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเราถึงออกไปไม่ได้? บอกผมมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น! คุณเจอกับพวกเขาอีกแล้วหรอ?"ดไวท์พยักหน้าและหลับตาอย่างพยายามสงบสติอารมณ์ “ใช่ ฉันเจอพวกเขาอีกแล้ว สิ่งที่เขาทำไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน ฉันกำลังพยายามหาท
เฟนด์ส่ายหน้าเขาเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน ไม่มีทางที่พวกเขาจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเว้นแต่ข่าวเรื่องการติดอยู่ในป่าของพวกเขาจะไปถึงหูคนของตำหนักสองกษัตริย์ พวกเขาไม่รู้ว่าศิษย์ของสำนักวายชนม์จะทำอะไรต่อไป พวกเขาจะสอดแนมพื้นที่โดยรอบนี้อย่างเข้มงวดหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้น เฟนด์และคนอื่น ๆ คงถูกกำจัดอย่างง่ายดายแน่นอนเมื่อเห็นสีหน้าของทุกคน ดไวท์ก็เริ่มครุ่นคิดว่าเขาควรจะพูดต่อไปหรือไม่ และท้ายที่สุดก็ตัดสินใจพูดเพราะมีบางคำที่ไม่พูดไม่ได้เขาหายใจเข้าลึก ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า “ระหว่างทาง ฉันเห็นศพจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นร่างของศิษย์ภายใต้การดูแลของสำนักสหัสบรรณ และมีบางส่วนที่เป็นผู้บ่มเพาะทั่วไป เมื่อพิจารณาจากบาดแผลตามร่างกายแล้ว พวกเขาต้องตายด้วยอาวุธ ไม่ใช่ตายจากสัตว์อสูร”ข่าวนี้ทำให้สถานการณ์ซึ่งเลวร้ายอยู่แล้ว แย่ลงไปกันใหญ่ เป็นการยืนยันการคาดเดาของเฟนด์ที่ว่าไม่ว่าใครที่ถูกศิษย์สำนักวายชนม์พบเข้าจะถูกฆ่าทั้งหมด ทั้งตำหนักสองกษัตริย์และเผ่าปฐมหายนะต่างก็อยู่ในการดูแลของสำนักสหัสบรรณซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากสำนักทั้งสองเป็นเพียงสำนักระดับสาม ในขณะที่สำนั
“เราทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ในตอนนี้คือการหาทางออก แต่เราจะออกไปได้ยังไงในเมื่อมีศิษย์ของสำนักวายชนม์อยู่ข้างนอกมากมายขนาดนั้น” ดไวท์ถามอย่างหมดหนทางหลังจากดูแผนที่จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ตำแหน่งวงกลมซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาอยู่ “นอกจากถ้ำนี้แล้วแถวนี้ก็ไม่มีที่ซ่อนตัวที่อื่นอีก ที่เดียวที่เราจะไปได้คือหน้าผาตรงจุดนี้ แต่โอกาสที่เราจะตายถ้าเราตกลงไปตรงนั้น ดังนั้นเราอาจจะทำได้แค่รออยู่ตรงนี้ต่อไป”หลังจากพูดจบ ดไวท์ก็ดูสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ เมื่อเจออุปสรรคหนักหนา แต่คราวนี้เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าพวกเขาถูกต้อนจนหลังชนฝาเสียแล้ว แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังปลอดภัยดี แต่ก็ไม่รู้ว่าจะปลอดภัยอย่างนี้ไปอีกนานเพียงใดทันใดนั้น กระดานเวทย์ป้องกันขนาดเล็กของเฟนด์ก็เปล่งแสงสีแดงออกมา เขารีบวางแผนที่ลงและไปที่กระดานเพื่อทำการร่ายผนึกเวทย์ แสงเปลี่ยนเป็นสีขาวและปรากฏภาพเคลื่อนไหวใช้อยู่เหนือกระดานพวกเขาจำสถานที่ที่พวกเขากำลังมองดูได้ทันที สถานที่ดังกล่าวอยู่ห่างจากถ้ำไปประมาณหนึ่งร้อยหลา และภาพเคลื่อนไหวก็แสดงให้เห็นว่ามีคนประมาณยี่สิบคนในแนวราบกำลังมุ่
หัวใจของทุกคนกลับมาหนักอึ้งอีกครั้งเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ และมือของพวกเขาก็เริ่มสั่น หมายักษ์ตาเดียวตามหาบุคคลได้โดยติดตามความผันผวนของพลังที่แท้จริงที่เหลืออยู่ของบุคคลนั้น เมื่อใครก็ตามเรียกใช้ทักษะยุทธหรือทักษะใด ๆ ก็ตาม จะมีความผันผวนของพลังที่แท้จริงหลงเหลืออยู่ในสิ่งที่พวกเขาใช้ มนุษย์ไม่สามารถตรวจจับความผันผวนของพลังงานที่แท้จริงประเภทนี้ได้ แต่หมายักษ์ตาเดียวสามารถตรวจจับได้ แม้ว่าเสื้อผ้าของบุคคลนั้นจะมีความผันผวนของพลังงานที่แท้จริงที่อ่อนแอมากเพียงใดก็ตาม แต่ภายในดวงตาขนาดใหญ่ของหมายักษ์ตาเดียว พลังงานที่แท้จริงสามารถขยายให้ใหญ่ขึ้นได้อย่างไม่อาจวัดในขณะนี้อัลเบี้ยนตื่นขึ้นมาและใบหน้าของเขาก็กลับมามีสีสันเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสมุนไพรวิญญาณที่ดไวท์และเจดใช้รักษาเขาก่อนหน้านี้ได้ผลดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครอยู่ในอารมณ์ที่จะมาเฉลิมฉลอง"อึก!" เฟนด์กัดฟันในขณะที่ความวิตกกังวลในใจของเขาทวีความรุนแรงขึ้น เพราะเขาสังเกตเห็นว่าหมายักษ์ตาเดียวดูเหมือนจะมุ่งไปที่เป้าหมายของมันและกำลังกระดิกหางและมองตรงมายังทิศทางของพวกเขา นี่เท่ากับว่าพวกเขากำลังจะเผชิญหน้ากับโทษประหาร เขาหายใจ
“พวกเขาอยู่ห่างจากเราประมาณหนึ่งร้อยหลา อีกไม่นานก็คงมาถึงที่นี่ เราต้องไปเดี๋ยวนี้ แต่เราจะออกไปอย่างหุนหันพันแล่นไม่ได้ ไม่อย่างนั้น เราไม่รอดแน่ มีทางเดียวที่เราจะทำได้ ทำตามฉันล่ะ!" เฟนด์กล่าวอย่างเย็นชาและมุ่งมั่นเขารีบดึงแนชไปและมุ่งหน้าไปยังทางเข้าถ้ำ ทั้งดไวท์และเจดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพียงวินาทีเดียวเท่านั้น พวกเขาก็ไม่คิดอะไรอีกต่อไป และแม้ว่าเฟนด์จะไม่ได้อธิบายการกระทำของตัวเอง แต่เขาก็ยังเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา พวกเขาสบตากันอย่างรวดเร็วและพยุงอัลเบี้ยนขึ้นอย่างรวดเร็วและตามเฟนด์ออกไปทางเข้าถ้ำหันไปทางทิศใต้และหากพวกเขาต้องการหลบหนี พวกเขาก็ควรมุ่งหน้าไปทางเหนือหรือตะวันออก แต่ไม่เลย เฟนด์กลับเลือกที่จะไปทางใต้แทน ยิ่งไปกว่านั้น เส้นทางที่พวกเขาไปนั้นก็นับว่าห่างไกลมาก เมื่อพิจารณาจากวัชพืชหนาทึบรอบ ๆ แม้แต่สัตว์อสูรและสัตว์ประหลาดก็ไม่ได้ย่างกรายมายังพื้นที่แห่งนี้บ่อยนัก เส้นทางของพวกเขาห่างไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีหมอกหนาทึบปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขาถึงตอนนั้น ใบหน้าของทั้งดไวท์และเจดก็หม่นลง แต่เฟนด์ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ในที่สุดเจดก็ทนไม่ได้อีกต่อไปและถา
ใบหน้าของดไวท์เปลี่ยนไปอย่างดูไม่ได้ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาเอาแต่จ้องไปที่เฟนด์เฟนด์ถอนหายใจและหันกลับไปมองพื้นที่รอบ ๆ ที่ปกคลุมไปด้วยหมอก ตามที่แผนที่กล่าว อีกสิบหลาก็จะถึงผาโทมนัส ไม่มีใครล่วงรู้ว่าหน้าผานี้ลึกแค่ไหน และที่มาของชื่อนี้ก็มาจากการที่ไม่มีใครเคยรอดชีวิตหลังจากที่พวกเขากระโดดลงไปจากผาแห่งนี้ ซึ่งนั่นทำให้คนอันเป็นที่รักของพวกเขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง“ก่อนที่จะเข้ามายังป่าดงอสูร ฉันได้ทำการสำรวจพื้นที่อันตรายทั้งหมดแล้ว ดังนั้นฉันจึงคุ้นเคยกับผาโทมนัสเป็นอย่างดี สิ่งหนึ่งที่ทั้งตำราและศิษย์คนอื่น ๆ เห็นพ้องต้องกันอย่างหนึ่งก็คือคุณจะไม่ตายจากผาโทมนัส” เฟนด์อธิบายอย่างช้า ๆดไวท์ริมฝีปากกระตุก เขาอดไม่ได้ที่จะแย้งขึ้นว่า “เราไม่อยากได้ยินประโยคนั้นจากนายเสียหน่อย ทุกคนต่างรู้ดีว่าผู้ฝึกยุทธสามารถใช้พลังที่แท้จริงของพวกเขาในการพยุงร่างกายของตัวเองในขณะที่ตกหน้าผาได้และสิ่งนี้จะรับประกันความปลอดภัยของเขาได้ด้วย แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนตายในผาโทมนัสเป็นเพราะผนึกเวทย์โบราณต่างหาก!”เฟนด์พยักหน้า เขาก็เข้าใจในเรื่องนั้นดีเช่นกัน “ผมคิดว่าผนึกเวทย์โบราณก็เป็นเวทย์ค่ายกลชนิด
พวกเขาจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่?เสียงของดไวท์ลอยเข้ามาในหูของเฟนด์ในตอนที่เขากำลังรุ่นคิดเรื่องนั้น “นายจะแน่ใจได้ยังไงว่าผนึกเวทย์โบราณที่อยู่ด้านล่างผาโทมนัสเป็นเวทย์ที่ไม่ใช่เวทย์ปลิดชีพ? แค่เห็นหมอกรอบตัวแบบนี้แล้วจะทำให้เข้าใจอะไรได้ยังไง?”เฟนด์ลืมตาขึ้นและมองไปรอบ ๆ ตัวจนทั่ว “อันที่จริงผมก็มั่นใจในเรื่องนี้แค่เจ็ดถึงแปดส่วนเท่านั้น”“ถ้าอย่างนั้นความมั่นใจเจ็ดถึงแปดส่วนของนายได้มาจากไหน?” ดไวท์มีคำถามที่พร้อมจะถามมากมายเพื่อไขข้อข้องใจของตัวเอง และนั่นทำให้เฟนด์รำคาญอยู่หน่อย ๆความจริงแล้วเฟนด์แน่ใจถึงสิบส่วนเลยด้วยซ้ำว่าผนึกเวทย์โบราณที่อยู่ใต้หน้าผานั้นเป็นเวทย์ค่ายกลไม่ใช่เวทย์ปลิดชีพเพราะเขาเคยเห็นเวทย์ค่ายกลประเภทนี้มาก่อน แม้ว่าจะไม่ใช่ด้วยตาของเขาเองก็ตาม แต่ในความทรงจำที่ผู้อาวุโสเหล่านั้นทิ้งเอาไว้ มีเวทย์ค่ายกลแบบนี้อยู่ด้วย เวทย์ชนิดนี้มีลักษณะพิเศษคือเมื่อเวลาผ่านไป พลังงานภายในของมันจะค่อย ๆ รั่วไหลออกมาและกลายเป็นหมอกสีขาวปกคลุมพื้นที่โดยรอบ หมอกที่กระจายไปทั่วเหล่านี้มีหน้าที่ลดทอนสัมผัสการรับรู้และทำให้ผู้คนจิตใจไขว้เขว และหมอกสีขาวโดยทั่วไปเองก็มีคุณสมบัติเ