“เราทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ในตอนนี้คือการหาทางออก แต่เราจะออกไปได้ยังไงในเมื่อมีศิษย์ของสำนักวายชนม์อยู่ข้างนอกมากมายขนาดนั้น” ดไวท์ถามอย่างหมดหนทางหลังจากดูแผนที่จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ตำแหน่งวงกลมซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาอยู่ “นอกจากถ้ำนี้แล้วแถวนี้ก็ไม่มีที่ซ่อนตัวที่อื่นอีก ที่เดียวที่เราจะไปได้คือหน้าผาตรงจุดนี้ แต่โอกาสที่เราจะตายถ้าเราตกลงไปตรงนั้น ดังนั้นเราอาจจะทำได้แค่รออยู่ตรงนี้ต่อไป”หลังจากพูดจบ ดไวท์ก็ดูสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ เมื่อเจออุปสรรคหนักหนา แต่คราวนี้เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าพวกเขาถูกต้อนจนหลังชนฝาเสียแล้ว แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังปลอดภัยดี แต่ก็ไม่รู้ว่าจะปลอดภัยอย่างนี้ไปอีกนานเพียงใดทันใดนั้น กระดานเวทย์ป้องกันขนาดเล็กของเฟนด์ก็เปล่งแสงสีแดงออกมา เขารีบวางแผนที่ลงและไปที่กระดานเพื่อทำการร่ายผนึกเวทย์ แสงเปลี่ยนเป็นสีขาวและปรากฏภาพเคลื่อนไหวใช้อยู่เหนือกระดานพวกเขาจำสถานที่ที่พวกเขากำลังมองดูได้ทันที สถานที่ดังกล่าวอยู่ห่างจากถ้ำไปประมาณหนึ่งร้อยหลา และภาพเคลื่อนไหวก็แสดงให้เห็นว่ามีคนประมาณยี่สิบคนในแนวราบกำลังมุ่
หัวใจของทุกคนกลับมาหนักอึ้งอีกครั้งเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ และมือของพวกเขาก็เริ่มสั่น หมายักษ์ตาเดียวตามหาบุคคลได้โดยติดตามความผันผวนของพลังที่แท้จริงที่เหลืออยู่ของบุคคลนั้น เมื่อใครก็ตามเรียกใช้ทักษะยุทธหรือทักษะใด ๆ ก็ตาม จะมีความผันผวนของพลังที่แท้จริงหลงเหลืออยู่ในสิ่งที่พวกเขาใช้ มนุษย์ไม่สามารถตรวจจับความผันผวนของพลังงานที่แท้จริงประเภทนี้ได้ แต่หมายักษ์ตาเดียวสามารถตรวจจับได้ แม้ว่าเสื้อผ้าของบุคคลนั้นจะมีความผันผวนของพลังงานที่แท้จริงที่อ่อนแอมากเพียงใดก็ตาม แต่ภายในดวงตาขนาดใหญ่ของหมายักษ์ตาเดียว พลังงานที่แท้จริงสามารถขยายให้ใหญ่ขึ้นได้อย่างไม่อาจวัดในขณะนี้อัลเบี้ยนตื่นขึ้นมาและใบหน้าของเขาก็กลับมามีสีสันเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสมุนไพรวิญญาณที่ดไวท์และเจดใช้รักษาเขาก่อนหน้านี้ได้ผลดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครอยู่ในอารมณ์ที่จะมาเฉลิมฉลอง"อึก!" เฟนด์กัดฟันในขณะที่ความวิตกกังวลในใจของเขาทวีความรุนแรงขึ้น เพราะเขาสังเกตเห็นว่าหมายักษ์ตาเดียวดูเหมือนจะมุ่งไปที่เป้าหมายของมันและกำลังกระดิกหางและมองตรงมายังทิศทางของพวกเขา นี่เท่ากับว่าพวกเขากำลังจะเผชิญหน้ากับโทษประหาร เขาหายใจ
“พวกเขาอยู่ห่างจากเราประมาณหนึ่งร้อยหลา อีกไม่นานก็คงมาถึงที่นี่ เราต้องไปเดี๋ยวนี้ แต่เราจะออกไปอย่างหุนหันพันแล่นไม่ได้ ไม่อย่างนั้น เราไม่รอดแน่ มีทางเดียวที่เราจะทำได้ ทำตามฉันล่ะ!" เฟนด์กล่าวอย่างเย็นชาและมุ่งมั่นเขารีบดึงแนชไปและมุ่งหน้าไปยังทางเข้าถ้ำ ทั้งดไวท์และเจดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพียงวินาทีเดียวเท่านั้น พวกเขาก็ไม่คิดอะไรอีกต่อไป และแม้ว่าเฟนด์จะไม่ได้อธิบายการกระทำของตัวเอง แต่เขาก็ยังเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา พวกเขาสบตากันอย่างรวดเร็วและพยุงอัลเบี้ยนขึ้นอย่างรวดเร็วและตามเฟนด์ออกไปทางเข้าถ้ำหันไปทางทิศใต้และหากพวกเขาต้องการหลบหนี พวกเขาก็ควรมุ่งหน้าไปทางเหนือหรือตะวันออก แต่ไม่เลย เฟนด์กลับเลือกที่จะไปทางใต้แทน ยิ่งไปกว่านั้น เส้นทางที่พวกเขาไปนั้นก็นับว่าห่างไกลมาก เมื่อพิจารณาจากวัชพืชหนาทึบรอบ ๆ แม้แต่สัตว์อสูรและสัตว์ประหลาดก็ไม่ได้ย่างกรายมายังพื้นที่แห่งนี้บ่อยนัก เส้นทางของพวกเขาห่างไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีหมอกหนาทึบปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขาถึงตอนนั้น ใบหน้าของทั้งดไวท์และเจดก็หม่นลง แต่เฟนด์ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ในที่สุดเจดก็ทนไม่ได้อีกต่อไปและถา
ใบหน้าของดไวท์เปลี่ยนไปอย่างดูไม่ได้ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาเอาแต่จ้องไปที่เฟนด์เฟนด์ถอนหายใจและหันกลับไปมองพื้นที่รอบ ๆ ที่ปกคลุมไปด้วยหมอก ตามที่แผนที่กล่าว อีกสิบหลาก็จะถึงผาโทมนัส ไม่มีใครล่วงรู้ว่าหน้าผานี้ลึกแค่ไหน และที่มาของชื่อนี้ก็มาจากการที่ไม่มีใครเคยรอดชีวิตหลังจากที่พวกเขากระโดดลงไปจากผาแห่งนี้ ซึ่งนั่นทำให้คนอันเป็นที่รักของพวกเขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง“ก่อนที่จะเข้ามายังป่าดงอสูร ฉันได้ทำการสำรวจพื้นที่อันตรายทั้งหมดแล้ว ดังนั้นฉันจึงคุ้นเคยกับผาโทมนัสเป็นอย่างดี สิ่งหนึ่งที่ทั้งตำราและศิษย์คนอื่น ๆ เห็นพ้องต้องกันอย่างหนึ่งก็คือคุณจะไม่ตายจากผาโทมนัส” เฟนด์อธิบายอย่างช้า ๆดไวท์ริมฝีปากกระตุก เขาอดไม่ได้ที่จะแย้งขึ้นว่า “เราไม่อยากได้ยินประโยคนั้นจากนายเสียหน่อย ทุกคนต่างรู้ดีว่าผู้ฝึกยุทธสามารถใช้พลังที่แท้จริงของพวกเขาในการพยุงร่างกายของตัวเองในขณะที่ตกหน้าผาได้และสิ่งนี้จะรับประกันความปลอดภัยของเขาได้ด้วย แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนตายในผาโทมนัสเป็นเพราะผนึกเวทย์โบราณต่างหาก!”เฟนด์พยักหน้า เขาก็เข้าใจในเรื่องนั้นดีเช่นกัน “ผมคิดว่าผนึกเวทย์โบราณก็เป็นเวทย์ค่ายกลชนิด
พวกเขาจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่?เสียงของดไวท์ลอยเข้ามาในหูของเฟนด์ในตอนที่เขากำลังรุ่นคิดเรื่องนั้น “นายจะแน่ใจได้ยังไงว่าผนึกเวทย์โบราณที่อยู่ด้านล่างผาโทมนัสเป็นเวทย์ที่ไม่ใช่เวทย์ปลิดชีพ? แค่เห็นหมอกรอบตัวแบบนี้แล้วจะทำให้เข้าใจอะไรได้ยังไง?”เฟนด์ลืมตาขึ้นและมองไปรอบ ๆ ตัวจนทั่ว “อันที่จริงผมก็มั่นใจในเรื่องนี้แค่เจ็ดถึงแปดส่วนเท่านั้น”“ถ้าอย่างนั้นความมั่นใจเจ็ดถึงแปดส่วนของนายได้มาจากไหน?” ดไวท์มีคำถามที่พร้อมจะถามมากมายเพื่อไขข้อข้องใจของตัวเอง และนั่นทำให้เฟนด์รำคาญอยู่หน่อย ๆความจริงแล้วเฟนด์แน่ใจถึงสิบส่วนเลยด้วยซ้ำว่าผนึกเวทย์โบราณที่อยู่ใต้หน้าผานั้นเป็นเวทย์ค่ายกลไม่ใช่เวทย์ปลิดชีพเพราะเขาเคยเห็นเวทย์ค่ายกลประเภทนี้มาก่อน แม้ว่าจะไม่ใช่ด้วยตาของเขาเองก็ตาม แต่ในความทรงจำที่ผู้อาวุโสเหล่านั้นทิ้งเอาไว้ มีเวทย์ค่ายกลแบบนี้อยู่ด้วย เวทย์ชนิดนี้มีลักษณะพิเศษคือเมื่อเวลาผ่านไป พลังงานภายในของมันจะค่อย ๆ รั่วไหลออกมาและกลายเป็นหมอกสีขาวปกคลุมพื้นที่โดยรอบ หมอกที่กระจายไปทั่วเหล่านี้มีหน้าที่ลดทอนสัมผัสการรับรู้และทำให้ผู้คนจิตใจไขว้เขว และหมอกสีขาวโดยทั่วไปเองก็มีคุณสมบัติเ
ดไวท์ชำเลืองมองเจด “ต่อให้เรานั่งรออยู่ที่นี่อย่างเงียบ ๆ แล้วจะทำให้พวกเขาหาเราไม่เจออย่างนั้นเหรอ?” ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้เจดพยายามทุกวิถีทางเท่าที่ทำได้และกังวลไปทุกสิ่ง เขากลัวว่าการที่มีคนคุยกันจะทำให้พวกเขาทุกคนเดือดร้อน คำพูดของดไวท์ทำให้เจดชะงักไปในทันที เจดอายมากจนใบหน้าและลำคอขึ้นสีแดงก่ำแต่เขาก็เถียงดไวท์ไม่ได้ก็อย่างที่ดไวท์พูด ต่อให้เรานั่งรออยู่ที่นี่อย่างเงียบ ๆ และนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออกไปเรื่อย ๆ แล้วจะทำให้พวกเขาหาเราไม่เจออย่างนั้นเหรอ? ในความเป็นจริง สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาก็ได้แต่ฝากความหวังไว้กับพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้แล้วและหากพวกเขายังไม่สามารถหลบหนีการไล่ล่าได้ สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาถูกลิขิตให้ต้องจบชีวิตลงในวันนี้ดไวท์หันกลับมามองเฟนด์ซึ่งสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา “ฉันไม่เคยคิดเลยว่านายจะใจเย็นได้ขนาดนี้ ทั้งที่นายอยู่ในขั้นแรกระดับแรกกำเนิดเท่านั้นเองนี่ นายไม่กลัวว่าเราจะลากนายให้ติดร่างแหไปด้วยกันเหรอ?” นี่คือสิ่งที่ดไวท์อยากจะถามหลังจากที่พวกเขาออกมาจากถ้ำ หมายักษ์ตาเดียวมีพลังในการล่าที่แข็งแกร่ง แต่ไม่ว่าพวกมันจะแข
ชายสวมหน้ากากเย้ยหยันขณะที่เขาหยิบชิ้นเนื้อออกมาแล้วโยนขึ้นไปบนฟ้า หมายักษ์ตาเดียวพุ่งไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้นขณะที่มันอ้าปากกลืนชิ้นเนื้อนั้นเข้าไป ส่งเสียงกร้วม ๆ ออกมา! “ฉันนึกว่าพวกนายจะฉลาดพอที่จะหลบหนีไปยังที่ ๆ พิเศษสักที่ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกนายจะยังอยู่ที่นี่? พวกนายคิดว่าหมอกรอบ ๆ บริเวณนี้สามารถป้องกันไม่ให้หมายักษ์ตาเดียวตรวจจับการมีอยู่ของพวกนายได้อย่างนั้นหรือ? นี่มันเรื่องตลกหลอกเด็กชัด ๆ พวกนายดูถูกความสามารถของหมายักษ์ตาเดียวเกินไปจริง ๆ”ชายสวมหน้ากากยื่นมือออกไปและลูบไล้กะโหลกขนาดใหญ่ของหมายักษ์ตาเดียว ชายคางแหลมจากสำนักวายชนม์หัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขามองไปที่เฟนด์และคนอื่น ๆ เขามีรอยยิ้มในหน้าขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “นายคิดว่าหมายักษ์ตาเดียวที่ศิษย์พี่ใหญ่ของฉันเลี้ยงเอาไว้เป็นหมายักษ์ตาเดียวทั่ว ๆ ไปงั้นเหรอ? วันนี้เราจะบอกข้อมูลเชิงลึกแก่พวกนายเอง หมายักษ์ตาเดียวตัวนี้ได้รับการดูแลด้วยเคล็ดวิธีลับของสำนักเราเป็นอย่างดี และมีการใช้ผลึกวิญญาณจำนวนหนึ่งในการดูแลมันด้วย แม้ว่ามันจะไม่แข็งแรงในสังเวียนการต่อสู้ แต่ประสาทสัมผัสของมันก็แข็งแกร่งกว่าหมายักษ์ตาเดี
ทันใดนั้นเอง เฟนด์เอื้อมมือไปจับข้อศอกของแนช เขาหันไปพูดกับเจดและคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า “ตามผมมา ตอนนี้เราเหลือแค่ทางเลือกสุดท้ายแล้ว ไม่ต้องกังวล ต่อให้สิ้นหวังแค่ไหนผมก็จะหาทางออกให้ได้!”เฟนด์หันกลับมาและเริ่มวิ่งไปทางด้านหลังของพวกเขาพร้อมกับแนช เจดและดไวท์ตกตะลึง พวกเขารู้ว่าเฟนด์วางแผนที่จะทำอะไร พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกระโดดหน้าผาแล้วหรือ? ทั้ง ๆ ที่ชายผู้นี้ก็รู้ว่าเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์นั้นมีมาแต่โบราณ และแม้แต่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพวกมันไปได้ หากกระโดดหน้าผาลงไปแล้วพวกเขาจะรอดอย่างนั้นหรือ?อาจเป็นเพราะมีเฟนด์ที่พุ่งตัวนำออกไปเป็นคนแรกหรืออาจจะเป็นเพราะคำพูดของชายสวมหน้ากากที่พูดว่าจะทรมานพวกเขา แต่ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้ชั่งน้ำหนัก ดไวท์สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนเอื้อมมือไปจับแขนของเจดและอัลเบี้ยน พวกเขาตามหลังเฟนด์ไปและรีบพุ่งไปยังผาโทมนัสทันที ชายสวมหน้ากากขมวดคิ้วเมื่อเห็นภาพนั้น เขายกมือขึ้นและปรามศิษย์ของสำนักวายชนม์ที่อยู่ข้างหลังซึ่งพยายามพุ่งตัวไปห้ามไม่ให้กลุ่มชายห้าคนกระโดดลงจากหน้าผา “ให้พวกเขากระโดดไปเถอะ อีกไม่นานพวกเขาก็ต้องตายและ