“เราทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ในตอนนี้คือการหาทางออก แต่เราจะออกไปได้ยังไงในเมื่อมีศิษย์ของสำนักวายชนม์อยู่ข้างนอกมากมายขนาดนั้น” ดไวท์ถามอย่างหมดหนทางหลังจากดูแผนที่จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ตำแหน่งวงกลมซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาอยู่ “นอกจากถ้ำนี้แล้วแถวนี้ก็ไม่มีที่ซ่อนตัวที่อื่นอีก ที่เดียวที่เราจะไปได้คือหน้าผาตรงจุดนี้ แต่โอกาสที่เราจะตายถ้าเราตกลงไปตรงนั้น ดังนั้นเราอาจจะทำได้แค่รออยู่ตรงนี้ต่อไป”หลังจากพูดจบ ดไวท์ก็ดูสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ เมื่อเจออุปสรรคหนักหนา แต่คราวนี้เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าพวกเขาถูกต้อนจนหลังชนฝาเสียแล้ว แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะยังปลอดภัยดี แต่ก็ไม่รู้ว่าจะปลอดภัยอย่างนี้ไปอีกนานเพียงใดทันใดนั้น กระดานเวทย์ป้องกันขนาดเล็กของเฟนด์ก็เปล่งแสงสีแดงออกมา เขารีบวางแผนที่ลงและไปที่กระดานเพื่อทำการร่ายผนึกเวทย์ แสงเปลี่ยนเป็นสีขาวและปรากฏภาพเคลื่อนไหวใช้อยู่เหนือกระดานพวกเขาจำสถานที่ที่พวกเขากำลังมองดูได้ทันที สถานที่ดังกล่าวอยู่ห่างจากถ้ำไปประมาณหนึ่งร้อยหลา และภาพเคลื่อนไหวก็แสดงให้เห็นว่ามีคนประมาณยี่สิบคนในแนวราบกำลังมุ่
หัวใจของทุกคนกลับมาหนักอึ้งอีกครั้งเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ และมือของพวกเขาก็เริ่มสั่น หมายักษ์ตาเดียวตามหาบุคคลได้โดยติดตามความผันผวนของพลังที่แท้จริงที่เหลืออยู่ของบุคคลนั้น เมื่อใครก็ตามเรียกใช้ทักษะยุทธหรือทักษะใด ๆ ก็ตาม จะมีความผันผวนของพลังที่แท้จริงหลงเหลืออยู่ในสิ่งที่พวกเขาใช้ มนุษย์ไม่สามารถตรวจจับความผันผวนของพลังงานที่แท้จริงประเภทนี้ได้ แต่หมายักษ์ตาเดียวสามารถตรวจจับได้ แม้ว่าเสื้อผ้าของบุคคลนั้นจะมีความผันผวนของพลังงานที่แท้จริงที่อ่อนแอมากเพียงใดก็ตาม แต่ภายในดวงตาขนาดใหญ่ของหมายักษ์ตาเดียว พลังงานที่แท้จริงสามารถขยายให้ใหญ่ขึ้นได้อย่างไม่อาจวัดในขณะนี้อัลเบี้ยนตื่นขึ้นมาและใบหน้าของเขาก็กลับมามีสีสันเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสมุนไพรวิญญาณที่ดไวท์และเจดใช้รักษาเขาก่อนหน้านี้ได้ผลดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครอยู่ในอารมณ์ที่จะมาเฉลิมฉลอง"อึก!" เฟนด์กัดฟันในขณะที่ความวิตกกังวลในใจของเขาทวีความรุนแรงขึ้น เพราะเขาสังเกตเห็นว่าหมายักษ์ตาเดียวดูเหมือนจะมุ่งไปที่เป้าหมายของมันและกำลังกระดิกหางและมองตรงมายังทิศทางของพวกเขา นี่เท่ากับว่าพวกเขากำลังจะเผชิญหน้ากับโทษประหาร เขาหายใจ
“พวกเขาอยู่ห่างจากเราประมาณหนึ่งร้อยหลา อีกไม่นานก็คงมาถึงที่นี่ เราต้องไปเดี๋ยวนี้ แต่เราจะออกไปอย่างหุนหันพันแล่นไม่ได้ ไม่อย่างนั้น เราไม่รอดแน่ มีทางเดียวที่เราจะทำได้ ทำตามฉันล่ะ!" เฟนด์กล่าวอย่างเย็นชาและมุ่งมั่นเขารีบดึงแนชไปและมุ่งหน้าไปยังทางเข้าถ้ำ ทั้งดไวท์และเจดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพียงวินาทีเดียวเท่านั้น พวกเขาก็ไม่คิดอะไรอีกต่อไป และแม้ว่าเฟนด์จะไม่ได้อธิบายการกระทำของตัวเอง แต่เขาก็ยังเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา พวกเขาสบตากันอย่างรวดเร็วและพยุงอัลเบี้ยนขึ้นอย่างรวดเร็วและตามเฟนด์ออกไปทางเข้าถ้ำหันไปทางทิศใต้และหากพวกเขาต้องการหลบหนี พวกเขาก็ควรมุ่งหน้าไปทางเหนือหรือตะวันออก แต่ไม่เลย เฟนด์กลับเลือกที่จะไปทางใต้แทน ยิ่งไปกว่านั้น เส้นทางที่พวกเขาไปนั้นก็นับว่าห่างไกลมาก เมื่อพิจารณาจากวัชพืชหนาทึบรอบ ๆ แม้แต่สัตว์อสูรและสัตว์ประหลาดก็ไม่ได้ย่างกรายมายังพื้นที่แห่งนี้บ่อยนัก เส้นทางของพวกเขาห่างไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีหมอกหนาทึบปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขาถึงตอนนั้น ใบหน้าของทั้งดไวท์และเจดก็หม่นลง แต่เฟนด์ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ในที่สุดเจดก็ทนไม่ได้อีกต่อไปและถา
ใบหน้าของดไวท์เปลี่ยนไปอย่างดูไม่ได้ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาเอาแต่จ้องไปที่เฟนด์เฟนด์ถอนหายใจและหันกลับไปมองพื้นที่รอบ ๆ ที่ปกคลุมไปด้วยหมอก ตามที่แผนที่กล่าว อีกสิบหลาก็จะถึงผาโทมนัส ไม่มีใครล่วงรู้ว่าหน้าผานี้ลึกแค่ไหน และที่มาของชื่อนี้ก็มาจากการที่ไม่มีใครเคยรอดชีวิตหลังจากที่พวกเขากระโดดลงไปจากผาแห่งนี้ ซึ่งนั่นทำให้คนอันเป็นที่รักของพวกเขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง“ก่อนที่จะเข้ามายังป่าดงอสูร ฉันได้ทำการสำรวจพื้นที่อันตรายทั้งหมดแล้ว ดังนั้นฉันจึงคุ้นเคยกับผาโทมนัสเป็นอย่างดี สิ่งหนึ่งที่ทั้งตำราและศิษย์คนอื่น ๆ เห็นพ้องต้องกันอย่างหนึ่งก็คือคุณจะไม่ตายจากผาโทมนัส” เฟนด์อธิบายอย่างช้า ๆดไวท์ริมฝีปากกระตุก เขาอดไม่ได้ที่จะแย้งขึ้นว่า “เราไม่อยากได้ยินประโยคนั้นจากนายเสียหน่อย ทุกคนต่างรู้ดีว่าผู้ฝึกยุทธสามารถใช้พลังที่แท้จริงของพวกเขาในการพยุงร่างกายของตัวเองในขณะที่ตกหน้าผาได้และสิ่งนี้จะรับประกันความปลอดภัยของเขาได้ด้วย แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนตายในผาโทมนัสเป็นเพราะผนึกเวทย์โบราณต่างหาก!”เฟนด์พยักหน้า เขาก็เข้าใจในเรื่องนั้นดีเช่นกัน “ผมคิดว่าผนึกเวทย์โบราณก็เป็นเวทย์ค่ายกลชนิด
พวกเขาจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่?เสียงของดไวท์ลอยเข้ามาในหูของเฟนด์ในตอนที่เขากำลังรุ่นคิดเรื่องนั้น “นายจะแน่ใจได้ยังไงว่าผนึกเวทย์โบราณที่อยู่ด้านล่างผาโทมนัสเป็นเวทย์ที่ไม่ใช่เวทย์ปลิดชีพ? แค่เห็นหมอกรอบตัวแบบนี้แล้วจะทำให้เข้าใจอะไรได้ยังไง?”เฟนด์ลืมตาขึ้นและมองไปรอบ ๆ ตัวจนทั่ว “อันที่จริงผมก็มั่นใจในเรื่องนี้แค่เจ็ดถึงแปดส่วนเท่านั้น”“ถ้าอย่างนั้นความมั่นใจเจ็ดถึงแปดส่วนของนายได้มาจากไหน?” ดไวท์มีคำถามที่พร้อมจะถามมากมายเพื่อไขข้อข้องใจของตัวเอง และนั่นทำให้เฟนด์รำคาญอยู่หน่อย ๆความจริงแล้วเฟนด์แน่ใจถึงสิบส่วนเลยด้วยซ้ำว่าผนึกเวทย์โบราณที่อยู่ใต้หน้าผานั้นเป็นเวทย์ค่ายกลไม่ใช่เวทย์ปลิดชีพเพราะเขาเคยเห็นเวทย์ค่ายกลประเภทนี้มาก่อน แม้ว่าจะไม่ใช่ด้วยตาของเขาเองก็ตาม แต่ในความทรงจำที่ผู้อาวุโสเหล่านั้นทิ้งเอาไว้ มีเวทย์ค่ายกลแบบนี้อยู่ด้วย เวทย์ชนิดนี้มีลักษณะพิเศษคือเมื่อเวลาผ่านไป พลังงานภายในของมันจะค่อย ๆ รั่วไหลออกมาและกลายเป็นหมอกสีขาวปกคลุมพื้นที่โดยรอบ หมอกที่กระจายไปทั่วเหล่านี้มีหน้าที่ลดทอนสัมผัสการรับรู้และทำให้ผู้คนจิตใจไขว้เขว และหมอกสีขาวโดยทั่วไปเองก็มีคุณสมบัติเ
ดไวท์ชำเลืองมองเจด “ต่อให้เรานั่งรออยู่ที่นี่อย่างเงียบ ๆ แล้วจะทำให้พวกเขาหาเราไม่เจออย่างนั้นเหรอ?” ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้เจดพยายามทุกวิถีทางเท่าที่ทำได้และกังวลไปทุกสิ่ง เขากลัวว่าการที่มีคนคุยกันจะทำให้พวกเขาทุกคนเดือดร้อน คำพูดของดไวท์ทำให้เจดชะงักไปในทันที เจดอายมากจนใบหน้าและลำคอขึ้นสีแดงก่ำแต่เขาก็เถียงดไวท์ไม่ได้ก็อย่างที่ดไวท์พูด ต่อให้เรานั่งรออยู่ที่นี่อย่างเงียบ ๆ และนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออกไปเรื่อย ๆ แล้วจะทำให้พวกเขาหาเราไม่เจออย่างนั้นเหรอ? ในความเป็นจริง สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาก็ได้แต่ฝากความหวังไว้กับพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้แล้วและหากพวกเขายังไม่สามารถหลบหนีการไล่ล่าได้ สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาถูกลิขิตให้ต้องจบชีวิตลงในวันนี้ดไวท์หันกลับมามองเฟนด์ซึ่งสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา “ฉันไม่เคยคิดเลยว่านายจะใจเย็นได้ขนาดนี้ ทั้งที่นายอยู่ในขั้นแรกระดับแรกกำเนิดเท่านั้นเองนี่ นายไม่กลัวว่าเราจะลากนายให้ติดร่างแหไปด้วยกันเหรอ?” นี่คือสิ่งที่ดไวท์อยากจะถามหลังจากที่พวกเขาออกมาจากถ้ำ หมายักษ์ตาเดียวมีพลังในการล่าที่แข็งแกร่ง แต่ไม่ว่าพวกมันจะแข
ชายสวมหน้ากากเย้ยหยันขณะที่เขาหยิบชิ้นเนื้อออกมาแล้วโยนขึ้นไปบนฟ้า หมายักษ์ตาเดียวพุ่งไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้นขณะที่มันอ้าปากกลืนชิ้นเนื้อนั้นเข้าไป ส่งเสียงกร้วม ๆ ออกมา! “ฉันนึกว่าพวกนายจะฉลาดพอที่จะหลบหนีไปยังที่ ๆ พิเศษสักที่ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกนายจะยังอยู่ที่นี่? พวกนายคิดว่าหมอกรอบ ๆ บริเวณนี้สามารถป้องกันไม่ให้หมายักษ์ตาเดียวตรวจจับการมีอยู่ของพวกนายได้อย่างนั้นหรือ? นี่มันเรื่องตลกหลอกเด็กชัด ๆ พวกนายดูถูกความสามารถของหมายักษ์ตาเดียวเกินไปจริง ๆ”ชายสวมหน้ากากยื่นมือออกไปและลูบไล้กะโหลกขนาดใหญ่ของหมายักษ์ตาเดียว ชายคางแหลมจากสำนักวายชนม์หัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขามองไปที่เฟนด์และคนอื่น ๆ เขามีรอยยิ้มในหน้าขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “นายคิดว่าหมายักษ์ตาเดียวที่ศิษย์พี่ใหญ่ของฉันเลี้ยงเอาไว้เป็นหมายักษ์ตาเดียวทั่ว ๆ ไปงั้นเหรอ? วันนี้เราจะบอกข้อมูลเชิงลึกแก่พวกนายเอง หมายักษ์ตาเดียวตัวนี้ได้รับการดูแลด้วยเคล็ดวิธีลับของสำนักเราเป็นอย่างดี และมีการใช้ผลึกวิญญาณจำนวนหนึ่งในการดูแลมันด้วย แม้ว่ามันจะไม่แข็งแรงในสังเวียนการต่อสู้ แต่ประสาทสัมผัสของมันก็แข็งแกร่งกว่าหมายักษ์ตาเดี
ทันใดนั้นเอง เฟนด์เอื้อมมือไปจับข้อศอกของแนช เขาหันไปพูดกับเจดและคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า “ตามผมมา ตอนนี้เราเหลือแค่ทางเลือกสุดท้ายแล้ว ไม่ต้องกังวล ต่อให้สิ้นหวังแค่ไหนผมก็จะหาทางออกให้ได้!”เฟนด์หันกลับมาและเริ่มวิ่งไปทางด้านหลังของพวกเขาพร้อมกับแนช เจดและดไวท์ตกตะลึง พวกเขารู้ว่าเฟนด์วางแผนที่จะทำอะไร พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกระโดดหน้าผาแล้วหรือ? ทั้ง ๆ ที่ชายผู้นี้ก็รู้ว่าเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์นั้นมีมาแต่โบราณ และแม้แต่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพวกมันไปได้ หากกระโดดหน้าผาลงไปแล้วพวกเขาจะรอดอย่างนั้นหรือ?อาจเป็นเพราะมีเฟนด์ที่พุ่งตัวนำออกไปเป็นคนแรกหรืออาจจะเป็นเพราะคำพูดของชายสวมหน้ากากที่พูดว่าจะทรมานพวกเขา แต่ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้ชั่งน้ำหนัก ดไวท์สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนเอื้อมมือไปจับแขนของเจดและอัลเบี้ยน พวกเขาตามหลังเฟนด์ไปและรีบพุ่งไปยังผาโทมนัสทันที ชายสวมหน้ากากขมวดคิ้วเมื่อเห็นภาพนั้น เขายกมือขึ้นและปรามศิษย์ของสำนักวายชนม์ที่อยู่ข้างหลังซึ่งพยายามพุ่งตัวไปห้ามไม่ให้กลุ่มชายห้าคนกระโดดลงจากหน้าผา “ให้พวกเขากระโดดไปเถอะ อีกไม่นานพวกเขาก็ต้องตายและ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ