พวกเขาต้องเดินหน้าต่อไป!เจดก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและรู้สึกถึงแรงต้านเล็กน้อยใต้ฝ่าเท้าของเขา เสียงแตกดังขึ้นอีกครั้ง และพวกเขาก็หันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน...ก่อนที่จะเห็นโครงกระดูกหลายโครงกองอยู่ในบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ เห็นได้ชัดว่าโครงกระดูกเหล่านี้อยู่ที่นั่นมาหลายปีแล้ว สังเกตได้จากฝุ่นที่เกาะอยู่บนโครงกระดูกจนหนาเตอะ แม้แต่เสื้อผ้าโครงกระดูกเหล่านี้สวมไว้ก็ย่อยสลายราวกับเศษกระดาษเมื่อเวลาผ่านไป เศษเสื้อผ้าของพวกเขาย่อยสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและกระจายไปทั่วโครงกระดูกความเย็นยะเยือกพุ่งผ่านร่างของพวกเขา และสายตาที่มีความหวังของพวกเขาสะดุดลงเฟนด์มัวแต่อยู่กับการมองไปรอบตัวและไม่ได้มองลงไปที่ใต้เท้าของตัวเอง เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นที่สายตาของเขาเลื่อนลงมาที่พื้น ซึ่งมีโครงกระดูกมากกว่าหนึ่งโครงโผล่ออกมารอบตัวพวกเขา พื้นดินแบบบริเวณที่พวกเขายืนอยู่สะอาดกว่าสถานที่รอบ ๆ เพียงเล็กน้อย และพวกเขาก็ถูกรายล้อมด้วยโครงกระดูกของมนุษย์และสัตว์อสูรมากมาย กระดูกเหล่านี้กระจัดกระจายไปทุกที่ราวกับกำลังพร่ำพรรณนาถึงการมีชีวิตอยู่ด้วยความสิ้นหวังท่ามกลางความเงียบเจดตัวสั่นอย่างอดไม่ได้และจั
เฟนด์และดไวท์มองมองไปยังเจดที่เดินเลี้ยวไปทางซ้ายหลังจากที่เขาเดินเข้าช่องว่างระหว่างภูเขาไป ทุกอย่างเงียบสงัดจนกระทั่งร่างของเจดจางหายไปจากสายตา และดไวท์ก็รู้สึกยินดีกับสิ่งนี้ไม่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้สบายใจขึ้นเท่าที่ควร เนื่องจากมีโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่บนพื้นในทางกลับกันเฟนด์มองไปยังจุดที่เจดจากไปอย่างเงียบ ๆ สีหน้าของเขาเฉยเมยดไวท์หันกลับไปมองศิษย์พี่ของเขาซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ศิษย์พี่อัลเบี้ยน ดูสิ! ศิษย์พี่เจดออกไปโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ดูเหมือนว่าเราจะออกไปจากที่นี่ได้ น่าสงสัยจริง ๆ ว่าถ้าเราออกไปได้แล้วเราจะเจอกับ…”ทันใดนั้น น้ำเสียงที่คุ้นเคยซึ่งเจือความสิ้นหวังดังมาจากข้างหลังพวกเขา “ท…ทำไมฉันถึงกลับมาที่นี่ล่ะ?!” พวกเขาหันกลับไปตามเสียงทันทีและเจดว่ากลับมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังพวกเขา ยืนอยู่ตรงช่องว่างระหว่างภูเขาสองลูกหุบเขานี้มีช่องว่างทั้งหมดสี่ช่องที่เปิดให้พวกเขาออกจากสถานที่ได้ ช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา และมีอีกหนึ่งช่องอยู่ข้างหลังพวกเขา พวกเขาเห็นเจดก้าวออกไปที่ช่องว่างข้างหน้ากับตาของพวกเขาเอง แต่จู่ ๆ เขาก็มาปรากฏต
เฟนด์สัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองในคำพูดของเจดแต่เจดก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่อาจโทษเฟนด์ได้ เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้บังคับให้พวกเขากระโดดจากผาโทมนัสตามลงมา หากพวกเขาไม่กระโดดลงมา พวกเขาก็ต้องตายอยู่ดียังไม่รวมว่าพวกเขาจะถูกทรมานจนตายอีกต่างหาก การกระโดดลงมาจากผาโทมนัสและรอความตายอยู่ที่นี่ย่อมดีกว่าการถูกชายสวมหน้ากากผู้นั้นทรมานอยู่ด้านบน อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องตายด้วยความอดสู แม้ว่าการตายที่ด้านล่างนี้จะต้องทรมานเพียงใดก็ตามเฟนด์เพิกเฉยต่อพวกเขาและมองหาพื้นที่สะอาด ๆ สำหรับทำสมาธิและพักฟื้นร่างกาย เขาร่ายผนึกเวทย์ด้วยฝ่ามือของเขาขณะที่พลังงานที่แท้จริงไหลผ่านมาถึงปลายนิ้วของเขา จากนั้น เขาก็ชี้ไปข้างหน้า และพลังที่แท้จริงของเขาก็พุ่งขึ้นไปในอากาศทันใดนั้น เฟนด์ก็ลืมตาขึ้นและสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า เขาขมวดคิ้ว ตรงหน้าเขาเป็นตำแหน่งที่พลังที่แท้จริงของเขาพุ่งเข้าใส่ แต่ที่นั่นกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรเลย นอกจากการที่เฟนด์ทำให้ตัวเองดูเป็นคนแปลก ๆ ก็เท่านั้นดไวท์และเจดแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาเลิกคิ้วและไม่รู้ว่าเฟนด์กำลังคิดที่จะทำอะไรเฟนด์ไม่สนใจคนทั้งคู่และ
เจดและคนอื่น ๆ รู้สึกได้ถึงคลื่นแห่งความผันผวนรอบ ๆ เฟนด์ ทันใดนั้นเอง แนชผู้ซึ่งหายตัวไปก่อนหน้านี้ก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตาของพวกเขา นั่นทำให้เจดและพรรคพวกของเขาตกใจไม่น้อยเมื่อเขาปรากฏตัว แนชก็จ้องมองไปยังเฟนด์ด้วยสายตาจริงจัง โดยไม่ละสายตาจากทุกคนในบริเวณนั้น การกระทำของเฟนด์อาจทำให้เขาดูเหมือนคนเสียสติไปแล้ว แต่แนชรู้ว่าลูกชายของเขาคงได้เรียนรู้วิธีปลดผนึกเวทย์โบราณมาก่อน เขาลดเสียงลงและกระซิบที่ข้างหูของเฟนด์ “ลูกมีวิธีปลดผนึกเวทย์โบราณแล้วใช่หรือเปล่า”เฟนด์หันกลับมาและมองไปที่พ่อของเขา เขาไม่มีอะไรจะซ่อนจากแนช "ใช่ผมมีวิธี ครั้งหนึ่งปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็เคยถูกขังไว้ในเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์เช่นกัน” ในที่สุด แนชก็คลายกังวลเมื่อได้ยินคำตอบที่ชัดแจ้งของลูกชาย เขาอดไม่ได้ที่จะตบเข้าที่ไหล่เฟนด์อย่างแรง “ลูกรัก เวลาจะทำอะไรลูกช่วยบอกแผนกับพ่อก่อนบ้างไม่ได้เหรอ? ตอนที่ลูกกระโดดลงมาจากหน้าผาเมื่อกี้ ทำเอาพ่อหัวใจเกือบวาย รู้หรือเปล่า?" ริมฝีปากของเฟนด์โค้งเป็นรอยยิ้มทำตัวไม่ถูกเขาไม่กลัวที่จะถูกทรมานจนตาย และเขาก็ไม่ได้กระโดดลงมาเพราะเรื่องนั้น ดูจากสถานการณ์แล้วไม่ว่าอะไรพวกเ
เฟนด์ถอนหายใจเบา ๆ และตอบสั้น ๆ เพียงว่า “รูปแบบเกล็ดปลา”แม้การตอบสนองของเฟนด์จะธรรมดา แต่แนชก็เข้าใจในทันทีว่าเฟนด์หมายถึงอะไร เฟนด์กำลังสังเกตว่าพลังที่แท้จริงที่กระจายกระจายตัวออกขณะค้นหาศูนย์กลางของเวทย์ค่ายกลนั้นมีลักษณะอย่างไร ในพื้นที่มีพลังเวทย์หนาแน่น พลังงานที่แท้จริงจะกระจายออกไปในลักษณะของคลื่นน้ำที่กระเบื้อง แต่พลังที่แท้จริงจะกระจายออกในรูปแบบเกล็ดปลาในบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของเวทย์ค่ายกล ลักษณะการกระจายของพลังของทั้งสองบริเวณนั้นแตกต่างกันมาก และพวกเขาจะสามารถระบุศูนย์กลางของเวทย์ค่ายกลได้หากสังเกตมันอย่างถ้วนถี่แนชอดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ “ต้องขอบคุณที่เรามีปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ติดอยู่ในเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์ล่ะนะ”เฟนด์ก็พยักหน้า ก่อนจะคร่ำครวญออกมาเช่นเดียวกัน “แต่เวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในผนึกเวทย์โบราณ และยังเป็นปริศนาว่าผนึกเวทย์ประเภทนี้ปรากฏขึ้นในโลกชั้นสามได้อย่างไร ผมได้แต่สงสัยว่าอะไรทำให้ใครบางคนเลือกที่จะวางผนึกเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์ไว้ที่นี่”ขณะที่เขาพูด เฟนด์ก็เหวี่ยงหมัดขึ้นไปในอากาศอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสายตาที่กำลังมอง
ในตอนแรก ดไวท์เอ่ยปากถามเฟนด์เพราะคิดว่าเฟนด์อาจจะมีวิธีที่สามารถปลดผนึกเวทย์ค่ายกลได้ แต่ความหวังทั้งหมดของเขาทางทลายไปแล้ว การที่เฟนด์ได้ศึกษาตำราโบราณมามากมายจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อบุคคลที่น่าเกรงขามทุกอย่างศิษย์อาวุโสการ์ดเนอร์ก็ยังออกจากที่นี่ทั้งที่ยังมีลมหายใจไม่ได้ ศิษย์อาวุโสการ์ดเนอร์จะศึกษาตำรามาน้อยกว่าและมีองค์ความรู้น้อยกว่าเฟนด์ได้ยังไงแม้ว่าเจดจะเป็นคนง่าย ๆ แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าดไวท์ถามคำถามนี้เพราะศิษย์พี่ของเขาคิดว่าเฟนด์กำลังค้นหาวิธีปลดผนึกเวทย์ค่ายกลอยู่เจดยิ้มอย่างขมขื่นท่าทีดูเฉยเมย “คุณยังหวังอะไรในตัวเขาได้อีกหรอ? คุณคาดหวังในตัวเขาสูงเกินไป คุณก็รู้ไม่ใช่หรอว่าเขาเพิ่งจะอยู่ในขั้นแรกระดับแรกกำเนิดเท่านั้น เขาจะหาวิธีปลดผลึกเวทย์นี้ลงได้ยังไงในเมื่อความสามารถในการต่อสู้ของเขาต่ำกว่าเราตั้งขนาดนั้น? เรานั่งรอความตายของเราอย่างสงบเถอะ”ดไวท์สูดหายใจเข้าเต็มปอด “อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไปเลย แม้ว่าสิ่งที่นายพูดจะฟังดูมีเหตุผล แต่ฉันก็ยังเชื่อว่าเราควรลองให้ครบทุกวิธีทางก่อน”ถึงอย่างนั้นเจดก็รู้สึกว่าคำพูดให้กำลังใจของดไวท์ก็เป็นเพียงเรื่องหน้าตลกเท่านั้น “เมื่
เจดเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อความระคายใจฉายชัดในดวงตาของเขา ทันทีที่ความงงงวยในตอนแรกหายไป เขาก็เย้ยหยันโดยไม่รู้ตัว เขาหันหน้าไปมองดไวท์ที่อยู่เคียงข้างเขา เขาเห็นว่าดไวท์เองก็ตกตะลึงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเนื่องจากเป็นคนมีมารยาทเจดเหยียดแขนออกและชี้ไปข้างหลังเขา ซึ่งมีกระดูกวางกระจัดกระจายอยู่บนพื้น พิสูจน์ให้อีกฝ่ายเห็นภาพที่น่าตกใจ “และนายรู้ไหมว่าตอนนี้เราค้นพบอะไร?”เฟนด์ส่ายหน้า เขามุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การค้นหาศูนย์กลางของเวทย์และไม่ได้สนใจสิ่งที่ทั้งสองคนค้นพบเจดกอดอกแล้วส่ายหน้าเบาๆ “เราพบศิษย์อาวุโสภายในจากสำนักสหัสบรรณของเราที่หายตัวไปเมื่อร้อยปีที่แล้ว ในตอนนั้นเขาแข็งแกร่งพอที่จะทำการประลองเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าสำนักได้เลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาลงเอยที่นี่”เฟนด์พยักหน้าและขมวดคิ้วทันที เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เจดถึงเปลี่ยนหัวข้อไปพูดถึงศิษย์อาวุโสภายในของเขาเจดสังเกตเห็นความไร้เดียงสาของเฟนด์ จึงเย้ยหยันออกมาเบา ๆ ในขณะที่ความสิ้นหวังถูกฉาบบนใบหน้าของเขา น้ำเสียงของเขาในขณะที่พูดยังเจือความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย “ฉันก็แค่อยากจะบอ
“ฉันไม่ได้เห็นคนไร้เดียงสาอย่างนายมาหลายปีแล้ว”เฟนด์ยังคงไม่ยี่หระ เขารู้ว่าเจดกำลังหมายถึงอะไร แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเถียงด้วย เจดยืดร่างกายของเขาก่อนที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสกับอากาศที่เฟนด์เหวี่ยงหมัดใส่เข้าไป ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิมและก็ดูคล้ายกับสภาพแวดล้อมโดยรอบมันยังดูไม่ต่างไปจากพื้นที่ปกติ“เลิกดื้อได้แล้ว” เจดพูดด้วยความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย “นายทำอะไรไม่ได้หรอก ฉันอาจไม่รู้ว่าเมื่อร้อยปีก่อนศิษย์อาวุโสการ์ดเนอร์แข็งแกร่งแค่ไหน แต่ฉันแน่ใจว่าเขาแข็งแกร่งกว่านายหลายพันเท่าทีเดียว ขนาดเขายังออกจากที่นี่ไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับนายล่ะ!”เฟนด์ได้แต่เลิกคิ้วและยังเงียบอยู่อย่างนั้นสำหรับเจดแล้ว จากปฏิกิริยาของเขาดูเหมือนว่าเฟนด์จะไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ เขาคิดว่าเฟนด์คงบ้าไปแล้ว เขาหันกลับมาและยักไหล่ให้ดไวท์ “ช่างเถอะ พูดไปก็ไม่ได้อะไรหรอก หมอนี่บ้าไปแล้ว!”เฟนด์หันหลังกลับและไม่สนใจว่าทั้งสองคนจะคิดอย่างไรกับเขา เขาหายใจเข้าลึก ๆ และร่ายผนึกอักษรรูนสีดำอมเทาอย่างต่อเนื่อง เส้นแสงเคลื่อนผ่านนิ้วของเขา และดาบวิญญาณทั้งห้าเล่มก็ลอยอยู่ข้างหน้าเขาในวินาทีต่อมา คิ้วของเขาขมวดมุ่น เขา
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ