พวกเขาต้องเดินหน้าต่อไป!เจดก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและรู้สึกถึงแรงต้านเล็กน้อยใต้ฝ่าเท้าของเขา เสียงแตกดังขึ้นอีกครั้ง และพวกเขาก็หันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน...ก่อนที่จะเห็นโครงกระดูกหลายโครงกองอยู่ในบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ เห็นได้ชัดว่าโครงกระดูกเหล่านี้อยู่ที่นั่นมาหลายปีแล้ว สังเกตได้จากฝุ่นที่เกาะอยู่บนโครงกระดูกจนหนาเตอะ แม้แต่เสื้อผ้าโครงกระดูกเหล่านี้สวมไว้ก็ย่อยสลายราวกับเศษกระดาษเมื่อเวลาผ่านไป เศษเสื้อผ้าของพวกเขาย่อยสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและกระจายไปทั่วโครงกระดูกความเย็นยะเยือกพุ่งผ่านร่างของพวกเขา และสายตาที่มีความหวังของพวกเขาสะดุดลงเฟนด์มัวแต่อยู่กับการมองไปรอบตัวและไม่ได้มองลงไปที่ใต้เท้าของตัวเอง เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นที่สายตาของเขาเลื่อนลงมาที่พื้น ซึ่งมีโครงกระดูกมากกว่าหนึ่งโครงโผล่ออกมารอบตัวพวกเขา พื้นดินแบบบริเวณที่พวกเขายืนอยู่สะอาดกว่าสถานที่รอบ ๆ เพียงเล็กน้อย และพวกเขาก็ถูกรายล้อมด้วยโครงกระดูกของมนุษย์และสัตว์อสูรมากมาย กระดูกเหล่านี้กระจัดกระจายไปทุกที่ราวกับกำลังพร่ำพรรณนาถึงการมีชีวิตอยู่ด้วยความสิ้นหวังท่ามกลางความเงียบเจดตัวสั่นอย่างอดไม่ได้และจั
เฟนด์และดไวท์มองมองไปยังเจดที่เดินเลี้ยวไปทางซ้ายหลังจากที่เขาเดินเข้าช่องว่างระหว่างภูเขาไป ทุกอย่างเงียบสงัดจนกระทั่งร่างของเจดจางหายไปจากสายตา และดไวท์ก็รู้สึกยินดีกับสิ่งนี้ไม่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้สบายใจขึ้นเท่าที่ควร เนื่องจากมีโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่บนพื้นในทางกลับกันเฟนด์มองไปยังจุดที่เจดจากไปอย่างเงียบ ๆ สีหน้าของเขาเฉยเมยดไวท์หันกลับไปมองศิษย์พี่ของเขาซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังและพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ศิษย์พี่อัลเบี้ยน ดูสิ! ศิษย์พี่เจดออกไปโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ดูเหมือนว่าเราจะออกไปจากที่นี่ได้ น่าสงสัยจริง ๆ ว่าถ้าเราออกไปได้แล้วเราจะเจอกับ…”ทันใดนั้น น้ำเสียงที่คุ้นเคยซึ่งเจือความสิ้นหวังดังมาจากข้างหลังพวกเขา “ท…ทำไมฉันถึงกลับมาที่นี่ล่ะ?!” พวกเขาหันกลับไปตามเสียงทันทีและเจดว่ากลับมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังพวกเขา ยืนอยู่ตรงช่องว่างระหว่างภูเขาสองลูกหุบเขานี้มีช่องว่างทั้งหมดสี่ช่องที่เปิดให้พวกเขาออกจากสถานที่ได้ ช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา และมีอีกหนึ่งช่องอยู่ข้างหลังพวกเขา พวกเขาเห็นเจดก้าวออกไปที่ช่องว่างข้างหน้ากับตาของพวกเขาเอง แต่จู่ ๆ เขาก็มาปรากฏต
เฟนด์สัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองในคำพูดของเจดแต่เจดก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่อาจโทษเฟนด์ได้ เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้บังคับให้พวกเขากระโดดจากผาโทมนัสตามลงมา หากพวกเขาไม่กระโดดลงมา พวกเขาก็ต้องตายอยู่ดียังไม่รวมว่าพวกเขาจะถูกทรมานจนตายอีกต่างหาก การกระโดดลงมาจากผาโทมนัสและรอความตายอยู่ที่นี่ย่อมดีกว่าการถูกชายสวมหน้ากากผู้นั้นทรมานอยู่ด้านบน อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องตายด้วยความอดสู แม้ว่าการตายที่ด้านล่างนี้จะต้องทรมานเพียงใดก็ตามเฟนด์เพิกเฉยต่อพวกเขาและมองหาพื้นที่สะอาด ๆ สำหรับทำสมาธิและพักฟื้นร่างกาย เขาร่ายผนึกเวทย์ด้วยฝ่ามือของเขาขณะที่พลังงานที่แท้จริงไหลผ่านมาถึงปลายนิ้วของเขา จากนั้น เขาก็ชี้ไปข้างหน้า และพลังที่แท้จริงของเขาก็พุ่งขึ้นไปในอากาศทันใดนั้น เฟนด์ก็ลืมตาขึ้นและสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า เขาขมวดคิ้ว ตรงหน้าเขาเป็นตำแหน่งที่พลังที่แท้จริงของเขาพุ่งเข้าใส่ แต่ที่นั่นกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรเลย นอกจากการที่เฟนด์ทำให้ตัวเองดูเป็นคนแปลก ๆ ก็เท่านั้นดไวท์และเจดแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาเลิกคิ้วและไม่รู้ว่าเฟนด์กำลังคิดที่จะทำอะไรเฟนด์ไม่สนใจคนทั้งคู่และ
เจดและคนอื่น ๆ รู้สึกได้ถึงคลื่นแห่งความผันผวนรอบ ๆ เฟนด์ ทันใดนั้นเอง แนชผู้ซึ่งหายตัวไปก่อนหน้านี้ก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตาของพวกเขา นั่นทำให้เจดและพรรคพวกของเขาตกใจไม่น้อยเมื่อเขาปรากฏตัว แนชก็จ้องมองไปยังเฟนด์ด้วยสายตาจริงจัง โดยไม่ละสายตาจากทุกคนในบริเวณนั้น การกระทำของเฟนด์อาจทำให้เขาดูเหมือนคนเสียสติไปแล้ว แต่แนชรู้ว่าลูกชายของเขาคงได้เรียนรู้วิธีปลดผนึกเวทย์โบราณมาก่อน เขาลดเสียงลงและกระซิบที่ข้างหูของเฟนด์ “ลูกมีวิธีปลดผนึกเวทย์โบราณแล้วใช่หรือเปล่า”เฟนด์หันกลับมาและมองไปที่พ่อของเขา เขาไม่มีอะไรจะซ่อนจากแนช "ใช่ผมมีวิธี ครั้งหนึ่งปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็เคยถูกขังไว้ในเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์เช่นกัน” ในที่สุด แนชก็คลายกังวลเมื่อได้ยินคำตอบที่ชัดแจ้งของลูกชาย เขาอดไม่ได้ที่จะตบเข้าที่ไหล่เฟนด์อย่างแรง “ลูกรัก เวลาจะทำอะไรลูกช่วยบอกแผนกับพ่อก่อนบ้างไม่ได้เหรอ? ตอนที่ลูกกระโดดลงมาจากหน้าผาเมื่อกี้ ทำเอาพ่อหัวใจเกือบวาย รู้หรือเปล่า?" ริมฝีปากของเฟนด์โค้งเป็นรอยยิ้มทำตัวไม่ถูกเขาไม่กลัวที่จะถูกทรมานจนตาย และเขาก็ไม่ได้กระโดดลงมาเพราะเรื่องนั้น ดูจากสถานการณ์แล้วไม่ว่าอะไรพวกเ
เฟนด์ถอนหายใจเบา ๆ และตอบสั้น ๆ เพียงว่า “รูปแบบเกล็ดปลา”แม้การตอบสนองของเฟนด์จะธรรมดา แต่แนชก็เข้าใจในทันทีว่าเฟนด์หมายถึงอะไร เฟนด์กำลังสังเกตว่าพลังที่แท้จริงที่กระจายกระจายตัวออกขณะค้นหาศูนย์กลางของเวทย์ค่ายกลนั้นมีลักษณะอย่างไร ในพื้นที่มีพลังเวทย์หนาแน่น พลังงานที่แท้จริงจะกระจายออกไปในลักษณะของคลื่นน้ำที่กระเบื้อง แต่พลังที่แท้จริงจะกระจายออกในรูปแบบเกล็ดปลาในบริเวณที่เป็นศูนย์กลางของเวทย์ค่ายกล ลักษณะการกระจายของพลังของทั้งสองบริเวณนั้นแตกต่างกันมาก และพวกเขาจะสามารถระบุศูนย์กลางของเวทย์ค่ายกลได้หากสังเกตมันอย่างถ้วนถี่แนชอดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ “ต้องขอบคุณที่เรามีปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ติดอยู่ในเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์ล่ะนะ”เฟนด์ก็พยักหน้า ก่อนจะคร่ำครวญออกมาเช่นเดียวกัน “แต่เวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในผนึกเวทย์โบราณ และยังเป็นปริศนาว่าผนึกเวทย์ประเภทนี้ปรากฏขึ้นในโลกชั้นสามได้อย่างไร ผมได้แต่สงสัยว่าอะไรทำให้ใครบางคนเลือกที่จะวางผนึกเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์ไว้ที่นี่”ขณะที่เขาพูด เฟนด์ก็เหวี่ยงหมัดขึ้นไปในอากาศอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสายตาที่กำลังมอง
ในตอนแรก ดไวท์เอ่ยปากถามเฟนด์เพราะคิดว่าเฟนด์อาจจะมีวิธีที่สามารถปลดผนึกเวทย์ค่ายกลได้ แต่ความหวังทั้งหมดของเขาทางทลายไปแล้ว การที่เฟนด์ได้ศึกษาตำราโบราณมามากมายจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อบุคคลที่น่าเกรงขามทุกอย่างศิษย์อาวุโสการ์ดเนอร์ก็ยังออกจากที่นี่ทั้งที่ยังมีลมหายใจไม่ได้ ศิษย์อาวุโสการ์ดเนอร์จะศึกษาตำรามาน้อยกว่าและมีองค์ความรู้น้อยกว่าเฟนด์ได้ยังไงแม้ว่าเจดจะเป็นคนง่าย ๆ แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าดไวท์ถามคำถามนี้เพราะศิษย์พี่ของเขาคิดว่าเฟนด์กำลังค้นหาวิธีปลดผนึกเวทย์ค่ายกลอยู่เจดยิ้มอย่างขมขื่นท่าทีดูเฉยเมย “คุณยังหวังอะไรในตัวเขาได้อีกหรอ? คุณคาดหวังในตัวเขาสูงเกินไป คุณก็รู้ไม่ใช่หรอว่าเขาเพิ่งจะอยู่ในขั้นแรกระดับแรกกำเนิดเท่านั้น เขาจะหาวิธีปลดผลึกเวทย์นี้ลงได้ยังไงในเมื่อความสามารถในการต่อสู้ของเขาต่ำกว่าเราตั้งขนาดนั้น? เรานั่งรอความตายของเราอย่างสงบเถอะ”ดไวท์สูดหายใจเข้าเต็มปอด “อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไปเลย แม้ว่าสิ่งที่นายพูดจะฟังดูมีเหตุผล แต่ฉันก็ยังเชื่อว่าเราควรลองให้ครบทุกวิธีทางก่อน”ถึงอย่างนั้นเจดก็รู้สึกว่าคำพูดให้กำลังใจของดไวท์ก็เป็นเพียงเรื่องหน้าตลกเท่านั้น “เมื่
เจดเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อความระคายใจฉายชัดในดวงตาของเขา ทันทีที่ความงงงวยในตอนแรกหายไป เขาก็เย้ยหยันโดยไม่รู้ตัว เขาหันหน้าไปมองดไวท์ที่อยู่เคียงข้างเขา เขาเห็นว่าดไวท์เองก็ตกตะลึงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเนื่องจากเป็นคนมีมารยาทเจดเหยียดแขนออกและชี้ไปข้างหลังเขา ซึ่งมีกระดูกวางกระจัดกระจายอยู่บนพื้น พิสูจน์ให้อีกฝ่ายเห็นภาพที่น่าตกใจ “และนายรู้ไหมว่าตอนนี้เราค้นพบอะไร?”เฟนด์ส่ายหน้า เขามุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การค้นหาศูนย์กลางของเวทย์และไม่ได้สนใจสิ่งที่ทั้งสองคนค้นพบเจดกอดอกแล้วส่ายหน้าเบาๆ “เราพบศิษย์อาวุโสภายในจากสำนักสหัสบรรณของเราที่หายตัวไปเมื่อร้อยปีที่แล้ว ในตอนนั้นเขาแข็งแกร่งพอที่จะทำการประลองเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าสำนักได้เลยด้วยซ้ำ แต่เขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาลงเอยที่นี่”เฟนด์พยักหน้าและขมวดคิ้วทันที เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เจดถึงเปลี่ยนหัวข้อไปพูดถึงศิษย์อาวุโสภายในของเขาเจดสังเกตเห็นความไร้เดียงสาของเฟนด์ จึงเย้ยหยันออกมาเบา ๆ ในขณะที่ความสิ้นหวังถูกฉาบบนใบหน้าของเขา น้ำเสียงของเขาในขณะที่พูดยังเจือความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย “ฉันก็แค่อยากจะบอ
“ฉันไม่ได้เห็นคนไร้เดียงสาอย่างนายมาหลายปีแล้ว”เฟนด์ยังคงไม่ยี่หระ เขารู้ว่าเจดกำลังหมายถึงอะไร แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเถียงด้วย เจดยืดร่างกายของเขาก่อนที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสกับอากาศที่เฟนด์เหวี่ยงหมัดใส่เข้าไป ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิมและก็ดูคล้ายกับสภาพแวดล้อมโดยรอบมันยังดูไม่ต่างไปจากพื้นที่ปกติ“เลิกดื้อได้แล้ว” เจดพูดด้วยความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย “นายทำอะไรไม่ได้หรอก ฉันอาจไม่รู้ว่าเมื่อร้อยปีก่อนศิษย์อาวุโสการ์ดเนอร์แข็งแกร่งแค่ไหน แต่ฉันแน่ใจว่าเขาแข็งแกร่งกว่านายหลายพันเท่าทีเดียว ขนาดเขายังออกจากที่นี่ไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับนายล่ะ!”เฟนด์ได้แต่เลิกคิ้วและยังเงียบอยู่อย่างนั้นสำหรับเจดแล้ว จากปฏิกิริยาของเขาดูเหมือนว่าเฟนด์จะไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ เขาคิดว่าเฟนด์คงบ้าไปแล้ว เขาหันกลับมาและยักไหล่ให้ดไวท์ “ช่างเถอะ พูดไปก็ไม่ได้อะไรหรอก หมอนี่บ้าไปแล้ว!”เฟนด์หันหลังกลับและไม่สนใจว่าทั้งสองคนจะคิดอย่างไรกับเขา เขาหายใจเข้าลึก ๆ และร่ายผนึกอักษรรูนสีดำอมเทาอย่างต่อเนื่อง เส้นแสงเคลื่อนผ่านนิ้วของเขา และดาบวิญญาณทั้งห้าเล่มก็ลอยอยู่ข้างหน้าเขาในวินาทีต่อมา คิ้วของเขาขมวดมุ่น เขา