“ฉันไม่ได้เห็นคนไร้เดียงสาอย่างนายมาหลายปีแล้ว”เฟนด์ยังคงไม่ยี่หระ เขารู้ว่าเจดกำลังหมายถึงอะไร แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเถียงด้วย เจดยืดร่างกายของเขาก่อนที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสกับอากาศที่เฟนด์เหวี่ยงหมัดใส่เข้าไป ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิมและก็ดูคล้ายกับสภาพแวดล้อมโดยรอบมันยังดูไม่ต่างไปจากพื้นที่ปกติ“เลิกดื้อได้แล้ว” เจดพูดด้วยความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย “นายทำอะไรไม่ได้หรอก ฉันอาจไม่รู้ว่าเมื่อร้อยปีก่อนศิษย์อาวุโสการ์ดเนอร์แข็งแกร่งแค่ไหน แต่ฉันแน่ใจว่าเขาแข็งแกร่งกว่านายหลายพันเท่าทีเดียว ขนาดเขายังออกจากที่นี่ไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับนายล่ะ!”เฟนด์ได้แต่เลิกคิ้วและยังเงียบอยู่อย่างนั้นสำหรับเจดแล้ว จากปฏิกิริยาของเขาดูเหมือนว่าเฟนด์จะไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ เขาคิดว่าเฟนด์คงบ้าไปแล้ว เขาหันกลับมาและยักไหล่ให้ดไวท์ “ช่างเถอะ พูดไปก็ไม่ได้อะไรหรอก หมอนี่บ้าไปแล้ว!”เฟนด์หันหลังกลับและไม่สนใจว่าทั้งสองคนจะคิดอย่างไรกับเขา เขาหายใจเข้าลึก ๆ และร่ายผนึกอักษรรูนสีดำอมเทาอย่างต่อเนื่อง เส้นแสงเคลื่อนผ่านนิ้วของเขา และดาบวิญญาณทั้งห้าเล่มก็ลอยอยู่ข้างหน้าเขาในวินาทีต่อมา คิ้วของเขาขมวดมุ่น เขา
เฟนด์ขยี้หูด้วยความหงุดหงิด ราวกับว่าเขาต้องการปิดกั้นเสียงรบกวนต่าง ๆ “เงียบได้แล้ว มันยังไม่สำเร็จเลย!” จากนั้นเขาก็ยื่นมือขวาออกมาและมองไปที่ศูนย์กลางของเวทย์ค่ายกลที่เขาเพิ่งทำลายทิ้งไปเจดและดไวท์คิดว่าเฟนด์กำลังทำลายพื้นที่โดยรอบลง แต่เฟนด์รู้ว่าเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เขาทำเช่นนี้ได้เพราะบริเวณนี้คือจุดที่พลังเวทย์อ่อนที่สุดในบรรดาผนึกเวทย์ค่ายกลทั้งหมด ที่นี่คือศูนย์กลางของเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์!เขากลั้นหายใจและตั้งสมาธิ เขายื่นมือออกไปเพื่อคว้าความมืดที่อยู่เบื้องหลังบริเวณที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ โดยไม่สนใจเสียงโหวกเหวกที่ดังมาทางเขา“นายบ้าไปแล้วหรือไง?!” เจดโพล่งออกมาเสียงดังจนเกือบจะเรียกได้ว่าตะโกน “นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้างหลังมันมีอะไรอยู่ แล้วกล้ายื่นมือออกไปสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง! ไม่กลัวว่าจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นเหรอ?!”ฟุ่บ!หลังจากที่เฟนด์ล้วงมือออกไปห้วงแห่งความมืดมิดนั้น สายลมกรรโชกก็พัดผ่านพวกเขาไป ในวินาทีต่อมา ไอชั่วร้ายรุนแรงในห้วงดังกล่าวก็ดูคล้ายจะกระชากแขนของเฟนด์ไป นั่นทำให้เขาเซถลาไปข้างหน้า ซึ่งสร้างความสยดสยองให้กับทุกคนเป็นอย่างมากทุกคนต่างพากันตกตะล
แม้จะอยู่ในความมืดมิดมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ในความเป็นจริงเขาอยู่ในนี้มาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ก่อนที่เฟนด์จะถูกความมืดกลืนกินมาเช่นนี้ ในตอนนั้นดวงอาทิตย์ยังลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า และหุบเหวที่เขาอยู่ก็สว่างไสวราวกับกลางวัน เขาเดาว่าตอนนั้นน่าจะเป็นเวลาเที่ยงวันแต่ในตอนที่เขาเข้ามาในมิตินี้กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินไปเสียแล้วราวกับว่าเวลาหลายชั่วโมงผ่านไปในพริบตา เฟนด์ลูบหัวไหล่ที่เจ็บและพยายามยืนขึ้นจากพื้น จากนั้นก็พินิจมองสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ มีภูเขาตระหง่านอยู่ข้างหลังเขาและมีทางหินที่ราบเรียบอยู่ข้างหน้าเขา ทิวเขาปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาเขาน่าจะกำลังอยู่ที่บริเวณสันเขา ข้างหน้าเขามีกระแสน้ำที่ไหลจากตะวันตกไปตะวันออกอีกด้วย"ที่นี่ที่ไหนกัน?"เฟนด์ก้มมองเท้าในขณะจ้องมองไปยังภูเขาที่อยู่เบื้องหลัง แต่สิ่งที่เขาเห็นในขณะนั้นคือยอดเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหมอก“นั่นใช่ผาโทมนัสหรือเปล่า?”เฟนด์ไม่มั่นใจนะ เขารู้ว่าเขาตกลงไปในผนึกเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์ หลังจากกระโดดลงมาจากผาโทมนัส และในที่สุดเขาก็สามารถหลบหนีออกมาจากทางศูนย์กลางของเวทย์ค่ายกลนี้ได้แต่ตอนนี้เขาไม
นั่นหมายความว่าก่อนที่จะเสียชีวิตเจ้าของโครงกระดูกนี้ต้องเป็นที่ทรงพลังมาก่อนแน่ อย่างน้อยเขาก็น่าจะอยู่ในระดับปรมาจารย์แสนยิ่งใหญ่จากโลกมหาอำนาจระดับหนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้เฟนด์สับสนเป็นอย่างมากโลกแต่ละแห่งมีการจัดระดับอย่างเข้มงวด ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่อาจมาปรากฏตัวอยู่ในโลกชั้นสามได้ เนื่องจากคนที่ทรงพลังเช่นเขาจะอาศัยอยู่ได้แค่เพียงโลกชั้นที่หนึ่งเท่านั้น เมื่อรวมกับเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์ที่อยู่เบื้องหลัง เฟนด์ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยถึงความเป็นมาเป็นไป ณ ที่แห่งนี้เมื่อครั้งอดีต"นี่มันอะไรกัน?" ผลึกเรืองแสงสีแดงอมม่วงกระจัดกระจายอยู่ข้างโครงกระดูกดังกล่าว เฟนด์ วู๊ดมองมันด้วยความตั้งใจและสังเกตเห็นว่ามือขวาของโครงกระดูกกำลังจับอะไรบางอย่างไว้แน่น ถัดจากมือขวาของโครงกระดูกนั้น ผลึกเรืองแสงสีแดงอมม่วงสองสองชิ้นกระจายอยู่บนพื้น เฟนด์ วู๊ดหยิบผลึกที่เล็กที่สุดขึ้นมาและวางไว้บนฝ่ามือของตัวเองเพื่อสังเกตมันอย่างใกล้ชิด คิ้วของเขาเลิกขึ้นขณะโพล่งออกมาด้วยเสียงที่ดังอีกระดับโดยไม่รู้ตัว "นี่มันผลึกวิญญาณสลายงั้นหรือ?!" บางทีเขาอาจจะตระหนกเกินไปถึงได้เกือบที่จะตะโกนออกมา ผลึกวิญญาณ
อัลเบี้ยนอยู่ในสภาพที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ เขาร่อนลงบนพื้นอย่างมั่นคง แม้ว่าเขาจะยังบาดเจ็บสาหัสและยังไม่หายดี แต่เขาดีขึ้นกว่าเดิมราวสามถึงสี่ส่วนสายตาของดไวท์จับจ้องไปที่เฟนด์ราวกับว่าเขาเพิ่งได้ค้นพบโลกใบใหม่“นายหาศูนย์กลางของเวทย์เจอได้ยังไง? พ่อนายบอกว่านายออกไปได้เพราะนายพบศูนย์กลางของเวทย์!” ดไวท์ไม่สามารถระงับความประหลาดใจในน้ำเสียงของเขาได้ สำหรับเขาแล้วเฟนด์ดูมีความสามารถมากกว่าที่ตาเห็นเจดปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของตัวเองและเอ่ยออกมาว่า "นายพบวิธีปลดเวทย์ค่ายกลได้จริง ๆ ด้วย ก่อนหน้านั้นตอนที่นายบอกว่านายหามันเจอแล้วฉันก็นึกว่านายเสียสติไปแล้วซะอีก!"เจดรู้สึกกระสับกระส่ายเมื่อตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเฟนด์เสียสติไปแล้ว แต่ชัดเจนแล้วว่าเขาต่างหากที่ไม่รู้อะไรเลยเฟนด์ไม่ใส่ใจในคำพูดของเจดและหันไปหาดไวท์แทน“ฉันก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าฉันเคยเห็นและเคยศึกษาตำราโบราณที่มีข้อมูลเกี่ยวกับเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์มาก่อน? พวกเขาบังเอิญอธิบายวิธีการในการทะลวงผ่านเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์ไว้ด้วย สิ่งที่เราต้องทำก็แค่หาศูนย์กลางของเวทย์ค่ายกลให้เจอ... "ประกายแห
ดไวท์ค่อย ๆ ตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่เขาได้ยินคำอธิบาย ในทางกลับกัน เจดกลับไม่เข้าใจอย่างชัดเจน "นั่นหมายความว่ายังไงหรอ? เวลาที่ข้างในหมุนช้าลงหรือเร็วขึ้นกันแน่? ถ้าเวลาหมุนช้าลง ศิษย์อาวุโสการ์ดเนอร์ก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่สิ เว้นแต่ว่าเขาจะเสียสติและเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง แต่ร่างกายของเขาผุพังไปจนเหลือแต่กระดูกแล้ว นั่นก็แสดงว่าเขาตายไปนานแล้ว นี่ไม่เท่ากับพิสูจน์ว่าเวลาภายในเร็วกว่าภายนอกมาก? พระอาทิตย์ตกดินที่โลกข้างนอกนี่ก็ท้าพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเวลาข้างในหมุนเร็วกว่า!"ยิ่งเจดพูดเขาก็ยิ่งสับสนเฟนด์มองไปที่เจดและพูดว่า "ไม่ต้องใส่ใจกับปัญหานี้มากนักหรอก มาทำสมาธิและปรับลมหายใจของคุณเถอะ การจะออกจากที่นี่ไม่ยากเลย แต่การออกจากป่าดงอสูรไม่ง่ายแน่ เราไม่รู้เลยว่าในตอนที่เราพูดกันอยู่นี่กำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลกภายนอก"ด้วยเหตุนี้เฟนด์จึงไม่สนใจชายทั้งสามคนและเดินตรงไปยังพื้นที่ราบ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิและเริ่มทำสมาธิทันทีแนชนั่งถัดจากเฟนด์และกระซิบออกมา "ลูกดูไม่เป็นตัวเองเลย... ลูกวางแผนที่จะทำสมาธิอยู่ที่นี่กี่วัน"เฟนด์เคยกล่าวไว้ว่าพวกเขาต้องปรับตัวให้อยู่ในสภาพท
ผลึกวิญญาณสลาย เป็นผลึกล้ำค่าที่พิเศษมาก ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของมันคือ เราไม่สามารถค่อย ๆ ดูดซึมมันอย่างช้า ๆ ได้ ทันทีที่การดูดซับเริ่มขึ้น พลังงานทั้งหมดจะพวยพุ่งออกจากผลึกและหากไม่สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้อย่างทันท่วงทีทุกอย่างก็จะสูญเปล่า ตลอดชีวิตของคนหนึ่งคนอาจได้ครอบครองผลึกวิญญาณสลายเพียงหนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น การสูญเสียพลังงานอันล้ำค่านั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการสูญเสียสิ่งของที่สวรรค์มอบให้เสียอีกเฟนด์ละทิ้งความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากหัว ณ จุดนี้ เขาหยิบผลึกวิญญาณสลายออกมาจากมัสตาร์ด ซี๊ดและวางไว้บนฝ่ามือ แสงสุดท้ายจากดวงอาทิตย์ส่องผ่านผลึกสีม่วงแดงนี้ มันเปล่งแสงสวยงามอย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าผลึกดังกล่าวจะไม่สามารถปลดปล่อยสีสันที่เจิดจรัสออกมาได้ แต่ตัวผลึกก็งดงามจับใจ เฟนด์ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ หากผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขั้นแรกระดับแรกกำเนิดคนอื่น ๆ ได้ดูดซับผลึกวิญญาณสลายนี้ ร่างของพวกเขาจะระเบิดและตายอย่างแน่นอน แต่ศิลปยุทธและทักษะยุทธที่พวกเขาฝึกฝนกันนั้นล้วนอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป นั่นทำให้พวกเขาไม่สามารถต้านทานผลกระทบของพลังงานอันทรงพลังเช
ดไวท์ขมวดคิ้วและส่ายหน้าเบา ๆ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้เจดไม่ให้เจดถามคำถาม เจดยักไหล่และเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้ ในเวลานี้เฟนด์ไม่อาจสนใจสิ่งที่คนรอบข้างพูดถึงได้ เขาจดจ่ออยู่กับพลังงานที่เขาเพิ่งดูดซับ พลังวิญญาณอันทรงพลังพัดผ่านเส้นลมปราณของเขา และความเจ็บปวดอันรุนแรงก็แผ่กระจายไปทั่วร่างกายแม้ว่าผลึกวิญญาณสลายจะเป็นสมบัติล้ำค่า แต่มันก็ประกอบไปด้วยพลังงานจำนวนมหาศาล พลังงานเหล่านั้นแข็งแกร่งมากจนรู้สึกราวกับเส้นลมปราณของเขาถูกบดขยี้อย่างต่อเนื่อง เส้นลมปราณของเฟนด์นั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ก็ค่อย ๆ อ่อนแอลงหลังจากต้องทานทนต่อการบดขยี้อย่างต่อเนื่องและไม่สามารถรับมันได้ไหวอีกต่อไป เขาถอนหายใจออกและร่ายผนึกด้วยมือของเขาอย่างต่อเนื่อง เขาอยากที่จะสร้างดาบวิญญาณเล่มที่หกด้วยพลังเหล่านี้เขาไม่สนใจสิ่งที่ทุกคนที่อยู่รอบตัวคิด เส้นแสงสีเข้มปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขาทีละเส้น เส้นแสงเหล่านี้รวมตัวเป็นอักษรรูนสีดำกลางอากาศ มันบิดและหมุนราวกับว่ากำลังจะก่อตัวเป็นภาพวาดด้วยการสนับสนุนของพลังวิญญาณที่ทรงพลังเช่นนี้ การสร้างดาบวิญญาณจึงง่ายกว่ามาก ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่สามารถสร้างดาบวิญญาณได้เร