นั่นหมายความว่าก่อนที่จะเสียชีวิตเจ้าของโครงกระดูกนี้ต้องเป็นที่ทรงพลังมาก่อนแน่ อย่างน้อยเขาก็น่าจะอยู่ในระดับปรมาจารย์แสนยิ่งใหญ่จากโลกมหาอำนาจระดับหนึ่ง ซึ่งนั่นทำให้เฟนด์สับสนเป็นอย่างมากโลกแต่ละแห่งมีการจัดระดับอย่างเข้มงวด ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่อาจมาปรากฏตัวอยู่ในโลกชั้นสามได้ เนื่องจากคนที่ทรงพลังเช่นเขาจะอาศัยอยู่ได้แค่เพียงโลกชั้นที่หนึ่งเท่านั้น เมื่อรวมกับเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์ที่อยู่เบื้องหลัง เฟนด์ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยถึงความเป็นมาเป็นไป ณ ที่แห่งนี้เมื่อครั้งอดีต"นี่มันอะไรกัน?" ผลึกเรืองแสงสีแดงอมม่วงกระจัดกระจายอยู่ข้างโครงกระดูกดังกล่าว เฟนด์ วู๊ดมองมันด้วยความตั้งใจและสังเกตเห็นว่ามือขวาของโครงกระดูกกำลังจับอะไรบางอย่างไว้แน่น ถัดจากมือขวาของโครงกระดูกนั้น ผลึกเรืองแสงสีแดงอมม่วงสองสองชิ้นกระจายอยู่บนพื้น เฟนด์ วู๊ดหยิบผลึกที่เล็กที่สุดขึ้นมาและวางไว้บนฝ่ามือของตัวเองเพื่อสังเกตมันอย่างใกล้ชิด คิ้วของเขาเลิกขึ้นขณะโพล่งออกมาด้วยเสียงที่ดังอีกระดับโดยไม่รู้ตัว "นี่มันผลึกวิญญาณสลายงั้นหรือ?!" บางทีเขาอาจจะตระหนกเกินไปถึงได้เกือบที่จะตะโกนออกมา ผลึกวิญญาณ
อัลเบี้ยนอยู่ในสภาพที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ เขาร่อนลงบนพื้นอย่างมั่นคง แม้ว่าเขาจะยังบาดเจ็บสาหัสและยังไม่หายดี แต่เขาดีขึ้นกว่าเดิมราวสามถึงสี่ส่วนสายตาของดไวท์จับจ้องไปที่เฟนด์ราวกับว่าเขาเพิ่งได้ค้นพบโลกใบใหม่“นายหาศูนย์กลางของเวทย์เจอได้ยังไง? พ่อนายบอกว่านายออกไปได้เพราะนายพบศูนย์กลางของเวทย์!” ดไวท์ไม่สามารถระงับความประหลาดใจในน้ำเสียงของเขาได้ สำหรับเขาแล้วเฟนด์ดูมีความสามารถมากกว่าที่ตาเห็นเจดปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของตัวเองและเอ่ยออกมาว่า "นายพบวิธีปลดเวทย์ค่ายกลได้จริง ๆ ด้วย ก่อนหน้านั้นตอนที่นายบอกว่านายหามันเจอแล้วฉันก็นึกว่านายเสียสติไปแล้วซะอีก!"เจดรู้สึกกระสับกระส่ายเมื่อตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเฟนด์เสียสติไปแล้ว แต่ชัดเจนแล้วว่าเขาต่างหากที่ไม่รู้อะไรเลยเฟนด์ไม่ใส่ใจในคำพูดของเจดและหันไปหาดไวท์แทน“ฉันก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าฉันเคยเห็นและเคยศึกษาตำราโบราณที่มีข้อมูลเกี่ยวกับเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์มาก่อน? พวกเขาบังเอิญอธิบายวิธีการในการทะลวงผ่านเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์ไว้ด้วย สิ่งที่เราต้องทำก็แค่หาศูนย์กลางของเวทย์ค่ายกลให้เจอ... "ประกายแห
ดไวท์ค่อย ๆ ตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่เขาได้ยินคำอธิบาย ในทางกลับกัน เจดกลับไม่เข้าใจอย่างชัดเจน "นั่นหมายความว่ายังไงหรอ? เวลาที่ข้างในหมุนช้าลงหรือเร็วขึ้นกันแน่? ถ้าเวลาหมุนช้าลง ศิษย์อาวุโสการ์ดเนอร์ก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่สิ เว้นแต่ว่าเขาจะเสียสติและเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง แต่ร่างกายของเขาผุพังไปจนเหลือแต่กระดูกแล้ว นั่นก็แสดงว่าเขาตายไปนานแล้ว นี่ไม่เท่ากับพิสูจน์ว่าเวลาภายในเร็วกว่าภายนอกมาก? พระอาทิตย์ตกดินที่โลกข้างนอกนี่ก็ท้าพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเวลาข้างในหมุนเร็วกว่า!"ยิ่งเจดพูดเขาก็ยิ่งสับสนเฟนด์มองไปที่เจดและพูดว่า "ไม่ต้องใส่ใจกับปัญหานี้มากนักหรอก มาทำสมาธิและปรับลมหายใจของคุณเถอะ การจะออกจากที่นี่ไม่ยากเลย แต่การออกจากป่าดงอสูรไม่ง่ายแน่ เราไม่รู้เลยว่าในตอนที่เราพูดกันอยู่นี่กำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลกภายนอก"ด้วยเหตุนี้เฟนด์จึงไม่สนใจชายทั้งสามคนและเดินตรงไปยังพื้นที่ราบ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิและเริ่มทำสมาธิทันทีแนชนั่งถัดจากเฟนด์และกระซิบออกมา "ลูกดูไม่เป็นตัวเองเลย... ลูกวางแผนที่จะทำสมาธิอยู่ที่นี่กี่วัน"เฟนด์เคยกล่าวไว้ว่าพวกเขาต้องปรับตัวให้อยู่ในสภาพท
ผลึกวิญญาณสลาย เป็นผลึกล้ำค่าที่พิเศษมาก ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของมันคือ เราไม่สามารถค่อย ๆ ดูดซึมมันอย่างช้า ๆ ได้ ทันทีที่การดูดซับเริ่มขึ้น พลังงานทั้งหมดจะพวยพุ่งออกจากผลึกและหากไม่สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้อย่างทันท่วงทีทุกอย่างก็จะสูญเปล่า ตลอดชีวิตของคนหนึ่งคนอาจได้ครอบครองผลึกวิญญาณสลายเพียงหนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น การสูญเสียพลังงานอันล้ำค่านั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการสูญเสียสิ่งของที่สวรรค์มอบให้เสียอีกเฟนด์ละทิ้งความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากหัว ณ จุดนี้ เขาหยิบผลึกวิญญาณสลายออกมาจากมัสตาร์ด ซี๊ดและวางไว้บนฝ่ามือ แสงสุดท้ายจากดวงอาทิตย์ส่องผ่านผลึกสีม่วงแดงนี้ มันเปล่งแสงสวยงามอย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าผลึกดังกล่าวจะไม่สามารถปลดปล่อยสีสันที่เจิดจรัสออกมาได้ แต่ตัวผลึกก็งดงามจับใจ เฟนด์ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ หากผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขั้นแรกระดับแรกกำเนิดคนอื่น ๆ ได้ดูดซับผลึกวิญญาณสลายนี้ ร่างของพวกเขาจะระเบิดและตายอย่างแน่นอน แต่ศิลปยุทธและทักษะยุทธที่พวกเขาฝึกฝนกันนั้นล้วนอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป นั่นทำให้พวกเขาไม่สามารถต้านทานผลกระทบของพลังงานอันทรงพลังเช
ดไวท์ขมวดคิ้วและส่ายหน้าเบา ๆ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้เจดไม่ให้เจดถามคำถาม เจดยักไหล่และเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้ ในเวลานี้เฟนด์ไม่อาจสนใจสิ่งที่คนรอบข้างพูดถึงได้ เขาจดจ่ออยู่กับพลังงานที่เขาเพิ่งดูดซับ พลังวิญญาณอันทรงพลังพัดผ่านเส้นลมปราณของเขา และความเจ็บปวดอันรุนแรงก็แผ่กระจายไปทั่วร่างกายแม้ว่าผลึกวิญญาณสลายจะเป็นสมบัติล้ำค่า แต่มันก็ประกอบไปด้วยพลังงานจำนวนมหาศาล พลังงานเหล่านั้นแข็งแกร่งมากจนรู้สึกราวกับเส้นลมปราณของเขาถูกบดขยี้อย่างต่อเนื่อง เส้นลมปราณของเฟนด์นั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ก็ค่อย ๆ อ่อนแอลงหลังจากต้องทานทนต่อการบดขยี้อย่างต่อเนื่องและไม่สามารถรับมันได้ไหวอีกต่อไป เขาถอนหายใจออกและร่ายผนึกด้วยมือของเขาอย่างต่อเนื่อง เขาอยากที่จะสร้างดาบวิญญาณเล่มที่หกด้วยพลังเหล่านี้เขาไม่สนใจสิ่งที่ทุกคนที่อยู่รอบตัวคิด เส้นแสงสีเข้มปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขาทีละเส้น เส้นแสงเหล่านี้รวมตัวเป็นอักษรรูนสีดำกลางอากาศ มันบิดและหมุนราวกับว่ากำลังจะก่อตัวเป็นภาพวาดด้วยการสนับสนุนของพลังวิญญาณที่ทรงพลังเช่นนี้ การสร้างดาบวิญญาณจึงง่ายกว่ามาก ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่สามารถสร้างดาบวิญญาณได้เร
ในความเป็นจริง ดไวท์ไม่รู้ว่าข้อจำกัดในเรื่องระดับการบ่มเพาะไม่มีผลกระทบต่อเฟนด์ เพราะเฟนด์ได้ดูดซับความทรงจำของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่มาแล้ว ไม่เพียงแต่เขาจะรู้ในสิ่งที่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่รู้เท่านั้น แต่เขายังได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายจากปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย ด้วยสิ่งเหล่านี้ที่ช่วยเหลือเขา เฟนด์จึงไร้ข้อจำกัดในการบ่มเพาะทักษะยุทธเมื่อเวลาผ่านไป อัลเบี้ยน ดไวท์และคนอื่น ๆ เห็นเพียงเหงื่อร้อน ๆ ที่ไหลลงมาหน้าผากของเฟนด์ราวกับห่าฝน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อเห็นสิ่งนี้ เช่นเดียวกับการที่เวลาหนึ่งวันและหนึ่งคืนผ่านไปขณะที่ในที่สุดเฟนด์ก็ประสบความสำเร็จในการสร้างดาบวิญญาณเล่มที่สิบ ในที่สุดเฟนด์ก็เข้าสู่ระดับเชี่ยวชาญไม่ว่าผู้ฝึกยุทธจะฝึกทักษะยุทธใด ทักษะยุทธเหล่านั้นจะแบ่งออกเป็นสามระดับ คือระดับเบื้องต้น ระดับเชี่ยวชาญ และระดับสมบูรณ์ ความสำเร็จของเฟนด์ในการสร้างดาบวิญญาณได้จำนวนสิบเล่มก็หมายความว่าเขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับเชี่ยวชาญอย่างสมบูรณ์หากเฟนด์ต้องการบรรลุถึงระดับสมบูรณ์ เขาต้องสร้างดาบวิญญาณให้ได้จำนวนห้าสิบเล่ม เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาต้องปักหลักเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้
เฟนด์หันหลังกลับและเดินไปหาอัลเบี้ยนโดยไม่ลังเลใด ๆ เขาเหยียดมือออกและวางบนข้อมือของอัลเบี้ยนเฟนด์ไม่รู้อะไรมากนัก แต่เขาสามารถตัดสินอาการบาดเจ็บของ อัลเบี้ยนผ่านเส้นลมปราณของเขาได้ อัลเบี้ยนฟื้นตัวแล้วสี่ถึงห้าส่วน แต่เขาต้องใช้เวลาสองสามเดือนหากต้องการรักษาอาการบาดเจ็บให้หายสนิทเฟนด์ไม่อยากเสียเวลาสองสามเดือนในสถานที่นี้ เฟนด์เหลือบมองผ่านเจดและจ้องตรงไปที่ดไวท์ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเจด “บาดแผลของศิษย์พี่อัลเบี้ยนของคุณคงที่แล้ว และแล้วเขาฟื้นตัวได้ถึงสี่ถึงห้าส่วน อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากเวลาแล้ว เขาต้องการสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบด้วย หากเขาปรารถนาที่จะหายจากอาการบาดเจ็บได้ราวเจ็ดถึงแปดส่วน ต่อให้เราจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกหนึ่งหรือสองเดือนก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และศิษย์พี่ของคุณจะฟื้นตัวได้เพียงห้าถึงหกส่วนเท่านั้น สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้คือคิดหาวิธีออกไปจากที่นี่และรักษาศิษย์พี่ของคุณหลังจากนั้น”ดไวท์ถอนหายใจเบาๆ และเมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่เฟนด์พูดนั้นสมเหตุสมผล ศิษย์พี่อัลเบี้ยนต้องการความช่วยเหลือจากโอสถและสมุนไพรวิญญาณอื่น ๆ เพื่อให้มีอัตราการฟื้นฟูเจ็ดถึงแปดส่ว
ชายคางแหลมปรากฏตัวต่อหน้าเฟนด์โดยมีศิษย์ของสำนักวายชนม์สามคนอยู่ข้างหลังเขา โชคดีที่ไม่มีใครเห็นชายสวมหน้ากาก ชายที่มีคางแหลมเคยเป็นคนที่ติดตามชายสวมหน้ากากก่อนหน้านี้ เขานึกย้อนไปถึงคำพูดของชายสวมหน้ากาก ในขณะที่พูดจาถากถางศัตรูใครจะคาดคิดว่าจะได้เจอกับพวกเขาหลังออกจากหุบเขามาได้เพียงเวลาไม่นาน?“ศิษย์พี่โรบิน มัลลินส์ คนพวกนี้คือคนที่ศิษย์พี่ใหญ่กำลังตามล่าอยู่หรือเปล่า?”เฟนด์เลิกคิ้วขึ้น ชายคนนี้ชื่อโรบิน มัลลินส์ หากอยู่ในสถานการณ์ปกติจะไม่มีใครเรียกสมาชิกในตระกูลของตนด้วยชื่อเต็ม เว้นแต่จะชื่อนี้จะเป็นชื่อที่โหล ชื่อของพวกเขาอาจสับสนได้ง่ายกับพี่น้องตระกูลอื่นหากไม่เรียกเขาด้วยชื่อเต็ม โรบินมีคางแหลมและดูราวกับเจ้าหน้าที่ขี้ฉ้อ ที่พูดจาประจบประแจงคนอื่นเก่ง โรบินหรี่ตาลงขณะที่เขาวิเคราะห์เฟนด์และคนอื่น ๆ ราวกับพยายามค้นหาความลับบางอย่างจากพวกเขาโรบินหัวเราะอย่างเย็นชา ยักไหล่ขณะที่เขาพูดว่า “เราปล่อยให้คนพวกนี้หนีไปไม่ได้ ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครสามารถรอดออกมาจากผาโทมนัสได้ แต่คนพวกนี้กลับขึ้นมาได้จริง ๆ พวกเขาคงรู้อะไรบางอย่างที่สำคัญมาก”ทันใดนั้นโรบินก็หันกลับมาแ