อัลเบี้ยนอยู่ในสภาพที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ เขาร่อนลงบนพื้นอย่างมั่นคง แม้ว่าเขาจะยังบาดเจ็บสาหัสและยังไม่หายดี แต่เขาดีขึ้นกว่าเดิมราวสามถึงสี่ส่วนสายตาของดไวท์จับจ้องไปที่เฟนด์ราวกับว่าเขาเพิ่งได้ค้นพบโลกใบใหม่“นายหาศูนย์กลางของเวทย์เจอได้ยังไง? พ่อนายบอกว่านายออกไปได้เพราะนายพบศูนย์กลางของเวทย์!” ดไวท์ไม่สามารถระงับความประหลาดใจในน้ำเสียงของเขาได้ สำหรับเขาแล้วเฟนด์ดูมีความสามารถมากกว่าที่ตาเห็นเจดปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของตัวเองและเอ่ยออกมาว่า "นายพบวิธีปลดเวทย์ค่ายกลได้จริง ๆ ด้วย ก่อนหน้านั้นตอนที่นายบอกว่านายหามันเจอแล้วฉันก็นึกว่านายเสียสติไปแล้วซะอีก!"เจดรู้สึกกระสับกระส่ายเมื่อตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเฟนด์เสียสติไปแล้ว แต่ชัดเจนแล้วว่าเขาต่างหากที่ไม่รู้อะไรเลยเฟนด์ไม่ใส่ใจในคำพูดของเจดและหันไปหาดไวท์แทน“ฉันก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าฉันเคยเห็นและเคยศึกษาตำราโบราณที่มีข้อมูลเกี่ยวกับเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์มาก่อน? พวกเขาบังเอิญอธิบายวิธีการในการทะลวงผ่านเวทย์ค่ายกลสิบสัมบูรณ์ไว้ด้วย สิ่งที่เราต้องทำก็แค่หาศูนย์กลางของเวทย์ค่ายกลให้เจอ... "ประกายแห
ดไวท์ค่อย ๆ ตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่เขาได้ยินคำอธิบาย ในทางกลับกัน เจดกลับไม่เข้าใจอย่างชัดเจน "นั่นหมายความว่ายังไงหรอ? เวลาที่ข้างในหมุนช้าลงหรือเร็วขึ้นกันแน่? ถ้าเวลาหมุนช้าลง ศิษย์อาวุโสการ์ดเนอร์ก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่สิ เว้นแต่ว่าเขาจะเสียสติและเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง แต่ร่างกายของเขาผุพังไปจนเหลือแต่กระดูกแล้ว นั่นก็แสดงว่าเขาตายไปนานแล้ว นี่ไม่เท่ากับพิสูจน์ว่าเวลาภายในเร็วกว่าภายนอกมาก? พระอาทิตย์ตกดินที่โลกข้างนอกนี่ก็ท้าพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเวลาข้างในหมุนเร็วกว่า!"ยิ่งเจดพูดเขาก็ยิ่งสับสนเฟนด์มองไปที่เจดและพูดว่า "ไม่ต้องใส่ใจกับปัญหานี้มากนักหรอก มาทำสมาธิและปรับลมหายใจของคุณเถอะ การจะออกจากที่นี่ไม่ยากเลย แต่การออกจากป่าดงอสูรไม่ง่ายแน่ เราไม่รู้เลยว่าในตอนที่เราพูดกันอยู่นี่กำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลกภายนอก"ด้วยเหตุนี้เฟนด์จึงไม่สนใจชายทั้งสามคนและเดินตรงไปยังพื้นที่ราบ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิและเริ่มทำสมาธิทันทีแนชนั่งถัดจากเฟนด์และกระซิบออกมา "ลูกดูไม่เป็นตัวเองเลย... ลูกวางแผนที่จะทำสมาธิอยู่ที่นี่กี่วัน"เฟนด์เคยกล่าวไว้ว่าพวกเขาต้องปรับตัวให้อยู่ในสภาพท
ผลึกวิญญาณสลาย เป็นผลึกล้ำค่าที่พิเศษมาก ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของมันคือ เราไม่สามารถค่อย ๆ ดูดซึมมันอย่างช้า ๆ ได้ ทันทีที่การดูดซับเริ่มขึ้น พลังงานทั้งหมดจะพวยพุ่งออกจากผลึกและหากไม่สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้อย่างทันท่วงทีทุกอย่างก็จะสูญเปล่า ตลอดชีวิตของคนหนึ่งคนอาจได้ครอบครองผลึกวิญญาณสลายเพียงหนึ่งหรือสองชิ้นเท่านั้น การสูญเสียพลังงานอันล้ำค่านั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการสูญเสียสิ่งของที่สวรรค์มอบให้เสียอีกเฟนด์ละทิ้งความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากหัว ณ จุดนี้ เขาหยิบผลึกวิญญาณสลายออกมาจากมัสตาร์ด ซี๊ดและวางไว้บนฝ่ามือ แสงสุดท้ายจากดวงอาทิตย์ส่องผ่านผลึกสีม่วงแดงนี้ มันเปล่งแสงสวยงามอย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าผลึกดังกล่าวจะไม่สามารถปลดปล่อยสีสันที่เจิดจรัสออกมาได้ แต่ตัวผลึกก็งดงามจับใจ เฟนด์ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ หากผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขั้นแรกระดับแรกกำเนิดคนอื่น ๆ ได้ดูดซับผลึกวิญญาณสลายนี้ ร่างของพวกเขาจะระเบิดและตายอย่างแน่นอน แต่ศิลปยุทธและทักษะยุทธที่พวกเขาฝึกฝนกันนั้นล้วนอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป นั่นทำให้พวกเขาไม่สามารถต้านทานผลกระทบของพลังงานอันทรงพลังเช
ดไวท์ขมวดคิ้วและส่ายหน้าเบา ๆ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้เจดไม่ให้เจดถามคำถาม เจดยักไหล่และเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้ ในเวลานี้เฟนด์ไม่อาจสนใจสิ่งที่คนรอบข้างพูดถึงได้ เขาจดจ่ออยู่กับพลังงานที่เขาเพิ่งดูดซับ พลังวิญญาณอันทรงพลังพัดผ่านเส้นลมปราณของเขา และความเจ็บปวดอันรุนแรงก็แผ่กระจายไปทั่วร่างกายแม้ว่าผลึกวิญญาณสลายจะเป็นสมบัติล้ำค่า แต่มันก็ประกอบไปด้วยพลังงานจำนวนมหาศาล พลังงานเหล่านั้นแข็งแกร่งมากจนรู้สึกราวกับเส้นลมปราณของเขาถูกบดขยี้อย่างต่อเนื่อง เส้นลมปราณของเฟนด์นั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ก็ค่อย ๆ อ่อนแอลงหลังจากต้องทานทนต่อการบดขยี้อย่างต่อเนื่องและไม่สามารถรับมันได้ไหวอีกต่อไป เขาถอนหายใจออกและร่ายผนึกด้วยมือของเขาอย่างต่อเนื่อง เขาอยากที่จะสร้างดาบวิญญาณเล่มที่หกด้วยพลังเหล่านี้เขาไม่สนใจสิ่งที่ทุกคนที่อยู่รอบตัวคิด เส้นแสงสีเข้มปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขาทีละเส้น เส้นแสงเหล่านี้รวมตัวเป็นอักษรรูนสีดำกลางอากาศ มันบิดและหมุนราวกับว่ากำลังจะก่อตัวเป็นภาพวาดด้วยการสนับสนุนของพลังวิญญาณที่ทรงพลังเช่นนี้ การสร้างดาบวิญญาณจึงง่ายกว่ามาก ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่สามารถสร้างดาบวิญญาณได้เร
ในความเป็นจริง ดไวท์ไม่รู้ว่าข้อจำกัดในเรื่องระดับการบ่มเพาะไม่มีผลกระทบต่อเฟนด์ เพราะเฟนด์ได้ดูดซับความทรงจำของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่มาแล้ว ไม่เพียงแต่เขาจะรู้ในสิ่งที่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่รู้เท่านั้น แต่เขายังได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายจากปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย ด้วยสิ่งเหล่านี้ที่ช่วยเหลือเขา เฟนด์จึงไร้ข้อจำกัดในการบ่มเพาะทักษะยุทธเมื่อเวลาผ่านไป อัลเบี้ยน ดไวท์และคนอื่น ๆ เห็นเพียงเหงื่อร้อน ๆ ที่ไหลลงมาหน้าผากของเฟนด์ราวกับห่าฝน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อเห็นสิ่งนี้ เช่นเดียวกับการที่เวลาหนึ่งวันและหนึ่งคืนผ่านไปขณะที่ในที่สุดเฟนด์ก็ประสบความสำเร็จในการสร้างดาบวิญญาณเล่มที่สิบ ในที่สุดเฟนด์ก็เข้าสู่ระดับเชี่ยวชาญไม่ว่าผู้ฝึกยุทธจะฝึกทักษะยุทธใด ทักษะยุทธเหล่านั้นจะแบ่งออกเป็นสามระดับ คือระดับเบื้องต้น ระดับเชี่ยวชาญ และระดับสมบูรณ์ ความสำเร็จของเฟนด์ในการสร้างดาบวิญญาณได้จำนวนสิบเล่มก็หมายความว่าเขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับเชี่ยวชาญอย่างสมบูรณ์หากเฟนด์ต้องการบรรลุถึงระดับสมบูรณ์ เขาต้องสร้างดาบวิญญาณให้ได้จำนวนห้าสิบเล่ม เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาต้องปักหลักเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้
เฟนด์หันหลังกลับและเดินไปหาอัลเบี้ยนโดยไม่ลังเลใด ๆ เขาเหยียดมือออกและวางบนข้อมือของอัลเบี้ยนเฟนด์ไม่รู้อะไรมากนัก แต่เขาสามารถตัดสินอาการบาดเจ็บของ อัลเบี้ยนผ่านเส้นลมปราณของเขาได้ อัลเบี้ยนฟื้นตัวแล้วสี่ถึงห้าส่วน แต่เขาต้องใช้เวลาสองสามเดือนหากต้องการรักษาอาการบาดเจ็บให้หายสนิทเฟนด์ไม่อยากเสียเวลาสองสามเดือนในสถานที่นี้ เฟนด์เหลือบมองผ่านเจดและจ้องตรงไปที่ดไวท์ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเจด “บาดแผลของศิษย์พี่อัลเบี้ยนของคุณคงที่แล้ว และแล้วเขาฟื้นตัวได้ถึงสี่ถึงห้าส่วน อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากเวลาแล้ว เขาต้องการสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบด้วย หากเขาปรารถนาที่จะหายจากอาการบาดเจ็บได้ราวเจ็ดถึงแปดส่วน ต่อให้เราจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกหนึ่งหรือสองเดือนก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และศิษย์พี่ของคุณจะฟื้นตัวได้เพียงห้าถึงหกส่วนเท่านั้น สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้คือคิดหาวิธีออกไปจากที่นี่และรักษาศิษย์พี่ของคุณหลังจากนั้น”ดไวท์ถอนหายใจเบาๆ และเมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่เฟนด์พูดนั้นสมเหตุสมผล ศิษย์พี่อัลเบี้ยนต้องการความช่วยเหลือจากโอสถและสมุนไพรวิญญาณอื่น ๆ เพื่อให้มีอัตราการฟื้นฟูเจ็ดถึงแปดส่ว
ชายคางแหลมปรากฏตัวต่อหน้าเฟนด์โดยมีศิษย์ของสำนักวายชนม์สามคนอยู่ข้างหลังเขา โชคดีที่ไม่มีใครเห็นชายสวมหน้ากาก ชายที่มีคางแหลมเคยเป็นคนที่ติดตามชายสวมหน้ากากก่อนหน้านี้ เขานึกย้อนไปถึงคำพูดของชายสวมหน้ากาก ในขณะที่พูดจาถากถางศัตรูใครจะคาดคิดว่าจะได้เจอกับพวกเขาหลังออกจากหุบเขามาได้เพียงเวลาไม่นาน?“ศิษย์พี่โรบิน มัลลินส์ คนพวกนี้คือคนที่ศิษย์พี่ใหญ่กำลังตามล่าอยู่หรือเปล่า?”เฟนด์เลิกคิ้วขึ้น ชายคนนี้ชื่อโรบิน มัลลินส์ หากอยู่ในสถานการณ์ปกติจะไม่มีใครเรียกสมาชิกในตระกูลของตนด้วยชื่อเต็ม เว้นแต่จะชื่อนี้จะเป็นชื่อที่โหล ชื่อของพวกเขาอาจสับสนได้ง่ายกับพี่น้องตระกูลอื่นหากไม่เรียกเขาด้วยชื่อเต็ม โรบินมีคางแหลมและดูราวกับเจ้าหน้าที่ขี้ฉ้อ ที่พูดจาประจบประแจงคนอื่นเก่ง โรบินหรี่ตาลงขณะที่เขาวิเคราะห์เฟนด์และคนอื่น ๆ ราวกับพยายามค้นหาความลับบางอย่างจากพวกเขาโรบินหัวเราะอย่างเย็นชา ยักไหล่ขณะที่เขาพูดว่า “เราปล่อยให้คนพวกนี้หนีไปไม่ได้ ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครสามารถรอดออกมาจากผาโทมนัสได้ แต่คนพวกนี้กลับขึ้นมาได้จริง ๆ พวกเขาคงรู้อะไรบางอย่างที่สำคัญมาก”ทันใดนั้นโรบินก็หันกลับมาแ
เดเร็กตระหนักได้ทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาเหยียดมือออกและตบตัวเองในทันที แน่นอนว่าการตบของเขาไม่ได้รุนแรงแต่อย่างใด นั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ รอยยิ้มคืบคลานมายังใบหน้าของเขา “โธ่เอ้ย ผมนี่มันโง่จริง ๆ! คนพูดถูกแล้ว ขืนเรื่องนี้แพร่ออกไปเราก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย คนเหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร และพวกเราเพียงคนเดียวก็พอที่จะจัดการกับคนพวกนี้ได้แล้ว”ดัดลีย์และเดเมียนกระโดดเข้าร่วมวงสนทนาและพูดคำประจบสอพลอ ซึ่งนั่นสร้างความพอใจให้กับโรบินเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นสีหน้าเย็นชาของเขาก็หายวับไป “พวกนายคิดที่จะแจ้งเรื่องนี้แก่ศิษย์พี่ใหญ่ทั้งที่เราบังเอิญเจอเข้ากับพวกขี้แพ้แค่ไม่กี่คนน่ะเหรอ? ศิษย์พี่ใหญ่คงจะคิดว่าเราเป็นพวกขี้แพ้ถ้าเรารบกวนเขาด้วยเรื่องแค่นี้ พวกเขาสามคนอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิด ในขณะที่อีกคนหนึ่งอยู่ในขั้นแรก และคนไร้ประโยชน์อีกคนซึ่งอยู่ในระดับติดตัว ยิ่งไปกว่านั้น หนึ่งในคนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อน แม้ว่าจะมีเพียงเราสามคน แต่พวกเขาก็ไม่เหมาะกับเรา!”พวกเขาทั้งสี่คนอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิด โดยเฉพาะโรบินซึ่
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ