เพราะทั้งสองสำนักถูกคั่นด้วยอาณาเขตของป่าดงสัตว์อสูรที่คั่นกลางเอาไว้ และบนภูเขาก็มีสัตว์อสูรออกมาอาละวาดอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักระดับสี่ก็ยังไม่กล้าผ่านยอดเขาดงอสูร เพราะหากทำเช่นนั้นก็รับรองได้เลยว่าพวกเขาต้องได้พบกับความตายอย่างแน่นอนพื้นที่ของป่าดงอสูรคิดเป็นขนาดสองเท่าของพื้นที่ที่สำนักสหัสบรรณปกครองอยู่ นั่นคือขนาดของภูเขาที่กว้างใหญ่มหึมาและตำแหน่งปัจจุบันที่เฟนด์อยู่ก็เป็นเพียงแค่ชายป่าของเขาลูกดังกล่าวเท่านั้น แม้ว่าที่นั่นจะมีสัตว์อสูรมากมาย แต่พวกมันก็ล้วนอ่อนแอและไร้ประโยชน์แก่นวิญญาณของสัตว์อสูรระดับแรกกำเนิดสามารถแลกเปลี่ยนเป็นคะแนนสะสมจำนวนเจ็ดสิบคะแนน แต่แก่นวิญญาณสัตว์อสูรระดับติดตัวสามารถแลกได้เพียงสิบคะแนนเท่านั้น และสัตว์อสูรที่อ่อนแอบางตัวก็ไม่มีแม้แต่แก่นวิญญาณอีกด้วย ทำให้ไม่มีประโยชน์ที่จะฆ่าพวกมันไปทั่วในปัจจุบัน บริเวณที่มีสัตว์อสูรระดับต่ำชุกชุมที่เฟนด์กำลังจะไปนั้น ไม่มีสัตว์อสูรระดับแรกกำเนิด พวกมันล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์อสูรระดับติดตัว ไม่ใช่ว่าเฟนด์ไม่กล้าที่จะเสี่ยงโจมตีสัตว์อสูรระดับแรกกำเนิด แต่เขาคิดว่าเขาควรทำความคุ้นเคยกั
เฟนด์ขมวดคิ้ว ในขณะนั้นเขาได้ทำการเก็บแผนที่ลงในมัสตาร์ด ซี๊ดแล้ว “ผมเพิ่งได้ยินเสียงดังกรอบแกรบ เหมือนกำลังมีอะไรมาจากทางพุ่มไม้”แนชไม่ได้กังวล “นั่นอาจจะเป็นสัตว์อสูรก็ได้ คงได้เวลาต้องเผชิญหน้ากับมันแล้ว”ทันทีที่เขาพูดอย่างนั้น บางสิ่งที่มีสีฟ้าก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาจากระยะไกล หลังจากที่แนชและลูกชายเห็นมัน ทั้งสองคนก็ตกตะลึงไปพร้อมกัน มันเป็นสัตว์อสูรรูปร่างคล้ายหมาป่าที่สูงพอ ๆ กับมนุษย์ร่างกายของมันถูกล้อมรอบไปด้วยแท่งน้ำแข็งสีฟ้า ดวงตาของสัตว์อสูรก็เป็นสีฟ้าอ่อนเช่นกัน และมันก็เปล่งออร่าที่เย็นยะเยือกออกมา ขนบนตัวของมันเหมือนน้ำแข็ง หลังจากที่มันสัมผัสกับหญ้าที่อยู่รอบ ๆ ต้นหญ้าเหล่านั้นก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งในทันทีเฟนด์ขมวดคิ้วและโพล่งออกมา “มันคือหมาป่าน้ำแข็งงั้นเหรอ?! แต่หมาป่าน้ำแข็งมาทำอะไรที่นี่?”ก่อนที่จะมาที่ป่าดงอสูร เฟนด์ได้ใช้เวลาเรียนรู้เกี่ยวกับประเภทของสัตว์อสูรที่ปรากฏตัวบ่อยที่สุดบนภูเขา และเมื่อมองแวบเดียว เขาก็จำหมาป่าน้ำแข็งซึ่งเป็นสัตว์อสูรที่มักพบได้บ่อยบริเวณรอบนอกของป่าดงอสูรได้ทันทีหมาป่าน้ำแข็ง เป็นสัตว์อสูรขั้นกลางของระดับแรกกำเนิด มันมีขนา
ดวงตาของเฟนด์เย็นชาเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่อาจประมาทสัตว์อสูรตัวนี้ได้เลย การโจมตีหนึ่งครั้งของมันเทียบได้กับการโจมตีของเวสลีย์ สิ่งนี้ทำให้เฟนด์ยิ่งสับสนกันไปใหญ่ เหนือสิ่งอื่นใดพื้นที่ที่เขาอยู่นั้นเป็นเพียงพื้นที่รอบนอกของชายป่าเท่านั้น มันไม่ควรจะอันตรายถึงขนาดนี้แม้แต่เวสลีย์ก็พบการที่จะเอาชนะหมาป่าน้ำแข็งให้ได้นั้นก็ถือเป็นเรื่องยาก ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ภายนอกที่แข็งแกร่งน้อยกว่าเลยด้วยซ้ำ การที่เฟนด์บังเอิญมาเผชิญหน้ากับหมาป่าน้ำแข็งที่นี่ถือเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า? เขาหรี่ตาและเตือนตัวเองว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ หมาป่าน้ำแข็งโจมตีอย่างรวดเร็วอีกครั้งเมื่อเห็นว่าการโจมตีครั้งก่อนของมันพลาดเป้า มันพุ่งเข้าหาเฟนด์โดยใช้แรงถีบจากสองขาหลังอันทรงพลังของมันออกไป“เวร!” ความเร็วของหมาป่าน้ำแข็งนั้นเร็วมากเสียจนภาพเบื้องหน้าที่เขามองเห็นพร่ามัวเป็นสีฟ้าอ่อน หัวใจของเขาสั่นสะท้านและฝ่ามือของเขายังคงร่ายผนึกเวทออกมา เขายังคงถอยหนีในขณะที่ร่ายเวทกฎแห่งสุญญะเพื่อหลบการพุ่งเข้ากัดของหมาป่าน้ำแข็งนั่นคือความแข็งแกร่งของเฟนด์ เพราะปกติแล้วนักสู้ในขั้นแรกระดับแรกกำเนิดจะไ
เมื่อนำแสงดังกล่าวดับสนิท คู่ต่อสู้ทั้งสองไม่สามารถมองเห็นกันและกันได้อย่างชัดเจน แต่สถานะนี้คงอยู่เพียงไม่ถึงอึดใจ วินาทีต่อมา เกล็ดน้ำแข็งขนาดเท่าเล็บมือก็ลอยลงมารอบตัวพวกเขาเศษน้ำแข็งสีฟ้าเหล่านี้เป็นผลมาจากลูกศรน้ำแข็งหกเหลี่ยมที่ถูกบดขยี้ เมื่อหมาป่าน้ำแข็งเห็นชิ้นส่วนเหล่านี้บนท้องฟ้า ก่อนที่มันจะทันได้ตอบสนอง กริชสีเทาดำสี่เล่มก็พุ่งออกมาจากแสงที่ส่องประกายและเล็งตรงไปที่ลำคอของมันสิ่งนี้ทำให้หมาป่าน้ำแข็งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว หลังจากต่อสู้มานานหลายปี มันก็เกิดปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณและเริ่มถอยหนีเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม กริชทั้งสี่เล่มก็สั่นอย่างรุนแรงกลางอากาศ โดยที่กริชสามเล่มตรงกลางสั่นอย่างรุนแรงเป็นพิเศษหมาป่าน้ำแข็งได้ยินเสียง 'แกร๊ก' และกริชทั้งสามเล่มก็ระเบิดกลางอากาศพร้อมกันกับที่ชิ้นส่วนที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ พุ่งไปรอบ ๆ ราวกับเข็มโลหะ หมาป่าน้ำแข็งเห็นกับตาตัวเองเลยว่าแม้กริชทั้งสามเล่มจะระเบิดไปแล้ว แต่ก็ยังมีลำแสงสีดำสามดวงอยู่ในตำแหน่งเดิม ลำแสงเหล่านั้นยังคงพุ่งเข้าหามันไปพร้อมกับกริชอีกเล่มที่ไม่ระเบิดหมาป่าน้ำแข็งพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้น
แนชขมวดคิ้วและมองไปที่เฟนด์ เขาเดินไปที่ศพของหมาป่าน้ำแข็ง ขณะที่เฟนด์พยักหน้าและวางมือไว้ใต้จมูกของหมาป่า “สิ้นลมแล้ว และดูเหมือนจะตายอย่างทรมานด้วย”เฟนด์พยักหน้าอีกครั้ง เขาเช็ดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผากของตัวเอง และเดินไปอย่างช้า ๆ “ดูเหมือนว่าผมยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ที่แท้จริงอยู่ คงไม่ควรต้องหักโหมขนาดนี้ เพราะหมาป่าน้ำแข็งประเมินผมต่ำเกินไป มันคงจะตายไปเร็วกว่านี้ถ้าผมใช้พลังเต็มที่ตั้งแต่แรก”แนชพยักหน้า เขาไม่ได้เห็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้น แต่ถึงกระนั้น เมื่อดูจากเหงื่อเย็นบนหน้าผากและการแสดงออกของเฟนด์ เขาก็พอเข้าใจว่าการต่อสู้จะต้องดุเดือดเพียงใดในเวลานี้ ชิ้นส่วนที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ของผลึกน้ำแข็งหกเหลี่ยมยังคงลอยละล่องลงมาจากด้านบน ซึ่งทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงสองสามองศา แต่เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ ความหนาวเย็นดังกล่าวจึงไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อพวกเขาแนชขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไปจัดการกับหมาป่าน้ำแข็งแล้วรีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ ถึงยังไงพ่อก็ไม่คิดว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก”เฟนด์พยักหน้าและไปจัดการสิ่งที่ควรทำในทันที เขาหยิบกล่องขนาดใหญ่ออกมาจากมัสตาร์ด ซี๊ด
“การเดินทางเที่ยวนี้ผมหวังเอาไว้ว่าตัวเองจะได้รับอย่างน้อยสองร้อยคะแนน ไม่อย่างนั้นก็จะถือว่าเสียเที่ยว”จู่ ๆ แนชก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เฟนด์มาที่นี่ จึงไม่แปลกใจหากจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น “บางทีลูกควรพาคนท้องที่มาที่นี่ด้วย ลูกไม่ควรมาที่นี่เพียงลำพังเลย” เขาพูดอย่างไม่พอใจเฟนด์เก็บแผนที่และพูดว่า "เอาไว้คราวหน้าคงจะทำแบบนั้น ไม่ว่ายังไง พวกเราอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวันและกำจัดสัตว์อสูรให้ได้มากที่สุดดีกว่า หากถึงจุดที่ยากเกินจะรับมือไหวเราก็ถอยกลับมาอยู่แถวนี้เหมือนเดิม”เฟนด์เป็นพวกตัดสินใจอะไรอย่างแน่วแน่ ดังนั้น แนชจึงเลิกพยายามเกลี้ยกล่อมเขาเวลาผ่านไปสี่วัน ห่างจากถ้ำที่พวกเขาพักอยู่หนึ่งไมล์ เฟนด์กำลังจ้องมองซากศพของสิงโตขาวเนตรโลหิตอย่างครุ่นคิด และเช่นเคย แนชยืนกำลังอยู่ข้าง ๆ เขาสิงโตขาวเนตรโลหิตไม่ได้แข็งแกร่งอะไร มันอยู่ในขั้นแรกระดับแรกกำเนิดเท่านั้น แต่บริเวณที่จะพบพวกมันได้นั้นห่างไกลยิ่งกว่าตำแหน่งของหมาป่าน้ำแข็งที่เฟนด์ฆ่าไปก่อนหน้าเสียอีก มันไกลเสียจนพวกเขาเกือบจะออกจากเขตป่าดงอสูรเสียด้วยซ้ำเฟนด์ขมวดคิ้วและเอ่ยปากขึ้น “นี
เฟนด์จับจ้องออกไปก่อนจะมองเห็นร่างสองสามร่างที่พุ่งเข้าหาพวกเขา คนเหล่านั้นมีทั้งหมดสามคนโดยมีคนสองคนกำลังประคองคนที่ดูเหมือนจะบาดเจ็บที่อยู่ตรงกลาง ความเร็วของพวกเขาไม่เร็วหรือช้าเกินไป ราวกับว่าพวกเขากำลังถูกใครบางคนไล่ล่ามาเฟนด์จัดการเก็บศพของสัตว์อสูรลงในมัสตาร์ด ซี๊ดอย่างรวดเร็ว การเก็บเกี่ยวแก่นวิญญาณและส่วนอื่น ๆ อาจต้องทำทีหลัง เขาดึงพ่อให้ไปอยู่ด้านหลัง อันที่จริง เขาควรจะออกจากสถานที่นั้นอย่างรวดเร็วและระมัดระวัง แต่เขากลับอยากรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ภายในไม่กี่วินาที ทั้งสามคนก็มาถึงจุดที่เฟนด์และแนชยืนอยู่ คนทางขวาดึงดาบออกมาจากแหวนยึดอย่างรวดเร็วและชี้ไปที่กลางหน้าผากของเฟนด์ทันทีที่พวกเขาเห็นชายหนุ่ม ดวงตาของชายคนนั้นคมดั่งมีดและมองมาที่เฟนด์อย่างระแวดระวัง ชายทั้งสามแต่งตัวคล้ายกัน ราวกับเป็นศิษย์ของสำนักใดสำนักหนึ่งเฟนด์กวาดสายตาไปทั่วคนทั้งสามและแอบภาวนาให้พวกเขาไม่ใช่ศิษย์ของเผ่าปฐมหายนะ เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาย่อมหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้ เหตุผลที่เขาไม่หนีออกไปหลังจากที่เห็นคนทั้งสามในตอนนี้ก็คือ หนึ่ง เขาอยากรู้อยากเห็น และสอง พวกเขาสา
เจดหรี่ตาลงและวิเคราะห์เฟนด์อีกครั้ง ช่างเป็นความบังเอิญอย่างแท้จริงที่พวกเขาบังเอิญมาเจอกัน และนอกจากนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตำหนักสองกษัตริย์เลยแม้แต่น้อย แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็ยังยอมรับข้อเสนอของเฟนด์พวกเขาจุดไฟในถ้ำเพื่อให้ความอบอุ่นแก่อัลเบี้ยน ตามปกติผู้ฝึกยุทธจะไม่ได้รับผลกระทบจากความร้อนหรือความหนาวเย็น แต่เพราะอัลเบี้ยนได้รับบาดเจ็บสาหัสและอุณหภูมิโดยรอบก็ลดลงอย่างอธิบายไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องก่อกองไฟทั้งสามแนะนำตัวเองสั้น ๆ เมื่อเดินทางมาถึงถ้ำ พวกเขาทั้งหมดเป็นศิษย์ภายนอกของสำนักสหัสบรรณเฟนด์รู้สึกงงงวยกับสิ่งนี้ ในตำหนักสองกษัตริย์ศิษย์ที่อยู่ในขั้นสูงของระดับแรกกำเนิดจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นศิษย์ภายในแล้ว แต่ในสำนักสหัสบรรณพวกเขาจะยังคงเป็นแค่ศิษย์ภายนอก คงจะเป็นเพราะสำนักแห่งนี้เป็นสำนักระดับสี่อัลเบี้ยนอยู่ในสภาพหมดสติเพราะอาการบาดเจ็บ เจดและดไวท์ดูแลบาดแผลของเขาอย่างเรียบง่ายและเช็ดคราบเลือดที่คั่งค้างอยู่บนใบหน้าของเขาออก พวกเขาหยิบสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดออกจากแหวนยุทธเพื่อใช้มันรักษาอัลเบี้ยน เจดกระวนกระวายเล็กน้อย “ไอ้พวกสารเลวเอ