เขาหยิบโอสถสองเม็ดออกมาจากมัสตาร์ด ซี๊ด โอสถสองเม็ดลอยอยู่เหนือฝ่ามือของเขา เม็ดหนึ่งมีสีแดงอ่อน ๆ และเขารู้สึกได้ถึงพละกำลังที่เพิ่มขึ้นหลังจากได้ดมกลิ่นของมัน ในขณะที่โอสถอีกเม็ดเปล่งแสงสีดำออกมา เพียงแค่วางยานี้ไว้ใต้ปลายจมูก เขาก็รู้สึกสดชื่นและฟื้นคืนพลังโอสถทั้งสองชนิดนี้คือโอสถซานหยวนและโอสถทะลวงวิญญาณ หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เฟนด์ก็ใส่โอสถทั้งสองนี้เข้าไปในปาก ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกถึงพลังงานที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายที่ด้านนอกประตูเรียงเนตร โนเอลนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ เขาส่ายหน้าและฮัมเพลงเบา ๆ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในหอเจตสิกจะผัดเปลี่ยนเวรกันทุก ๆ ห้าวัน วันนี้โนเอลกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ปกติแล้ว ยิ่งศิษย์มีแรงจูงใจมากเท่าใด เขาก็จะใช้เวลาในการฝึกฝนมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าสภาพแวดล้อมของเขาจะไม่เอื้ออำนวยให้เขาทำเช่นนั้นก็ตามอย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าโนเอลไม่มีแรงจูงใจ เขาแค่อยากจะเพลิดเพลินไปกับเวลาว่างและไม่มีความปรารถนาที่จะบ่มเพาะตัวเอง เขาสั่นศีรษะอย่างแรงและตกอยู่ในภวังค์ขณะได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากประตูเรียงเนตรทันใดนั้น เขาก็หยุดสั่น วางเท้าลง และนั่งย
คุณสมบัติทางยาของโอสถเม็ดนั้นไม่รุนแรง เมื่อเทียบกับโอสถที่เขาได้รับสองเม็ดก่อนหน้านี้ ความแตกต่างของคุณสมบัติทางยานั้นแทบจะต่างกันราวฟ้ากับเหว คุณสมบัติทางยาของโอสถซานหยวนและโอสถทะลวงวิญญาณนั้นเหมือนกับน้ำมันปรุงอาหารที่มีไฟลุกโชน และโอสถฟื้นฟูพลังงานเม็ดนี้ก็เหมือนกับน้ำแร่ที่ไหลรินคุณสมบัติทางยาอ่อน ๆ ค่อย ๆ แทรกซึมผ่านเส้นลมปราณของเฟนด์มันซ่อมแซมบาดแผลของเขาและค่อย ๆ ทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น สิบห้านาทีต่อมา เขาจึงค่อย ๆ ฟื้นตัวจากร่างกายที่อ่อนแอ“ขอบคุณมาก ศิษย์พี่โนเอล” เฟนด์กล่าวหลังจากยกชาขึ้นจิบแม้ว่าตามกฎแล้ว เฟนด์จำเป็นต้องเรียกโนเอลว่าศิษย์น้อง แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น และเรียกโนเอลในฐานะศิษย์พี่แทน เขารู้สึกว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นการให้เกียรติเขามากกว่าหลังจากได้ยินเฟนด์พูดกับเขาเช่นนั้นโนเอลก็หัวเราะเบา ๆ และไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาตบไหล่เฟนด์และพูดอย่างเคร่งขรึม “พอนายเข้าไปฝึกฝนในประตูเรียงเนตรทีไรก็ดูเหมือนจะชอบทรมานตัวเองจนตายทุกที ครั้งนี้ถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของนายแล้ว ฉันได้ตรวจสอบสัญญาณชีพของนายแล้วและพบว่าเส้นลมปราณขอ
โนเอลพยักหน้า ทำให้เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออก นับตั้งแต่มาถึงทวีปเฮสเทีย เขาได้ยินเกี่ยวกับความบาดหมางกันระหว่างตำหนักสองกษัตริย์และเผ่าปฐมหายนะอยู่เสมอ ทั้งสองฝ่ายต่างมีความแค้นต่อกันมาช้านาน และด้วยเรื่องแหล่งทรัพยากรที่เป็นความลับที่ทำหน้าที่เหมือนชนวนของเหตุในครั้งนี้ ทั้งสองสำนักจึงตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กันและพร้อมจะก่อสงครามตลอดเวลาด้วยเหตุนี้ตำหนักสองกษัตริย์จึงทำการคัดเลือกศิษย์ใหม่มากมายเป็นพิเศษและลดข้อกำหนดในการเข้าร่วมตำหนักลงด้วย แต่หลังจากนั้นพวกเขากลับตัดสินใจที่จะยุติสงครามไปง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ? สีหน้าอ้ำอึ้งของเฟนด์ถูกเขียนไว้อย่างชัดเจนบนใบหน้าของเขา โนเอลและอลันมองหน้ากันและเข้าใจไปโดยปริยายว่าเฟนด์กำลังคิดอะไรอยู่“มันไร้สาระโดยสิ้นเชิงเลยใช่ไหมล่ะ? เราก็พูดไม่ออกเหมือนกัน พวกเขาสั่งให้ยุติสงครามในเช้าวันที่ห้า ซึ่งก็คือประมาณวันที่สามหรือสี่ที่นายอยู่ในประตูเรียงเนตรนั่นแหละ บรรดาศิษย์ ผู้ดูแล และคนอื่น ๆ ที่เข้าร่วมในสงครามถูกเรียกตัวกลับทั้งหมด โชคดีที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย และมีผู้เสียชีวิตเพียง ห้าถึงหกคนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนก็อยู่ในช่วงเริ่มต้นของส
โนเอลและอลันมองไปที่เฟนด์ราวกับว่าเขาล้อเล่น แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สิ่งนี้เกิดขึ้น ดังนั้นโนเอลจึงรีบบอกให้เขารู้“สำนักสหัสบรรณเป็นสำนักระดับสี่อันดับที่สอง และยังเป็นหนึ่งในสองสำนักที่ทรงพลังที่สุดของรัฐเวสต์ เซอร์ซีอีกด้วย แม้ว่าตำหนักสองกษัตริย์ของเราก็แข็งแกร่งไม่แพ้ใคร แต่เมื่อเทียบกับสำนักสหัสบรรณแล้วก็ยังพบว่าด้อยกว่า “อันที่จริงแล้ว ทั้งตำหนักสองกษัตริย์และเผ่าปฐมหายนะต่างก็อยู่ในความคุ้มครองของสำนักสหัสบรรณ ต้องมีเหตุผลที่สำนักสหัสบรรณเข้ามาหยุดยั้งความขัดแย้งระหว่างสำนักทั้งสองแทบจะในทันทีเช่นนี้แน่ ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยังได้ยินมาว่าเป็นเจ้าสำนักสหัสบรรณเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองอีกต่างหาก“ตั้งแต่เจ้าตำหนักก้าวออกมา ตำหนักสองกษัตริย์ของเราและเผ่าปฐมหายนะซึ่งเป็นสำนักในระดับสามทั้งคู่จึงไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเขา ถึงอย่างนั้นสำนักสหัสบรรณก็ไม่เคยเข้ามายุ่งกับเรื่องแบบนี้มาก่อน และแม้ว่านักสู้ฝีมือดีหลายคนจะเสียชีวิตในสงครามระหว่างสองสำนักพวกเขาก็มักจะเมินเฉย”หลังจากอธิบายแล้วโนเอลก็เหม่อมองไกลออกไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด เฟนด์พยักหน้าและพูดด้วยความไม่แน่ใจ “เพราะงั้นคุณก
แผนที่ดังกล่าวมีราคาไม่แพงและมีประโยชน์ ด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถค้นหารายละเอียดเรื่องที่อยู่ของสัตว์อสูรและระดับความยากของพวกมันได้ สัตว์อสูรเป็นพวกหวงถิ่นอย่างมาก และสัตว์ที่อ่อนแอกว่าจะไม่รุกรานถิ่นของสัตว์อสูรที่ทรงพลังกว่านักสู้ที่ต้องการเอาชีวิตรอดจากการเดินทางผ่านป่าดงอสูรจะมีแผนที่แบบนี้อยู่กับตัว ด้วยแผนที่นี้ พวกเขาจะสามารถพาตัวเองให้อยู่ในบริเวณที่สัตว์อสูรระดับต่ำอยู่ได้ ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ตราบใดที่พวกเขาไม่โชคร้ายเกินไปหรือบังเอิญไปเข้าไปในรังของสัตว์อสูรระดับสูงเข้า พวกเขาจะออกมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บด้วยความระมัดระวัง เฟนด์จึงไม่ได้ไปที่หอสัตตะฤกษ์ด้วยตัวเอง แต่ขอให้บรู๊คไปที่นั่นแทน เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเขามีแผนที่อยู่ในมือ กันไว้ดีกว่าแก้ ในขณะที่เขายังคงอยู่ในอาณาเขตของตำหนักสองกษัตริย์ คงไม่มีใครกล้าทำอะไรที่โจ่งแจ้งกับเขาจนเกินไปนัก แต่หากเขาอยู่ข้างนอกสถานการณ์คงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเฟนด์ไม่กลัวศิษย์คนอื่น ๆ แต่เขารู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ตรงไหน ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะรอดชีวิตหากศัตรูของเขาส่งกลุ่มนักสู้ที่มีทักษะมาไล่ล่าเขาสองวันต่อมา ในชายป่
เพราะทั้งสองสำนักถูกคั่นด้วยอาณาเขตของป่าดงสัตว์อสูรที่คั่นกลางเอาไว้ และบนภูเขาก็มีสัตว์อสูรออกมาอาละวาดอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักระดับสี่ก็ยังไม่กล้าผ่านยอดเขาดงอสูร เพราะหากทำเช่นนั้นก็รับรองได้เลยว่าพวกเขาต้องได้พบกับความตายอย่างแน่นอนพื้นที่ของป่าดงอสูรคิดเป็นขนาดสองเท่าของพื้นที่ที่สำนักสหัสบรรณปกครองอยู่ นั่นคือขนาดของภูเขาที่กว้างใหญ่มหึมาและตำแหน่งปัจจุบันที่เฟนด์อยู่ก็เป็นเพียงแค่ชายป่าของเขาลูกดังกล่าวเท่านั้น แม้ว่าที่นั่นจะมีสัตว์อสูรมากมาย แต่พวกมันก็ล้วนอ่อนแอและไร้ประโยชน์แก่นวิญญาณของสัตว์อสูรระดับแรกกำเนิดสามารถแลกเปลี่ยนเป็นคะแนนสะสมจำนวนเจ็ดสิบคะแนน แต่แก่นวิญญาณสัตว์อสูรระดับติดตัวสามารถแลกได้เพียงสิบคะแนนเท่านั้น และสัตว์อสูรที่อ่อนแอบางตัวก็ไม่มีแม้แต่แก่นวิญญาณอีกด้วย ทำให้ไม่มีประโยชน์ที่จะฆ่าพวกมันไปทั่วในปัจจุบัน บริเวณที่มีสัตว์อสูรระดับต่ำชุกชุมที่เฟนด์กำลังจะไปนั้น ไม่มีสัตว์อสูรระดับแรกกำเนิด พวกมันล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์อสูรระดับติดตัว ไม่ใช่ว่าเฟนด์ไม่กล้าที่จะเสี่ยงโจมตีสัตว์อสูรระดับแรกกำเนิด แต่เขาคิดว่าเขาควรทำความคุ้นเคยกั
เฟนด์ขมวดคิ้ว ในขณะนั้นเขาได้ทำการเก็บแผนที่ลงในมัสตาร์ด ซี๊ดแล้ว “ผมเพิ่งได้ยินเสียงดังกรอบแกรบ เหมือนกำลังมีอะไรมาจากทางพุ่มไม้”แนชไม่ได้กังวล “นั่นอาจจะเป็นสัตว์อสูรก็ได้ คงได้เวลาต้องเผชิญหน้ากับมันแล้ว”ทันทีที่เขาพูดอย่างนั้น บางสิ่งที่มีสีฟ้าก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาจากระยะไกล หลังจากที่แนชและลูกชายเห็นมัน ทั้งสองคนก็ตกตะลึงไปพร้อมกัน มันเป็นสัตว์อสูรรูปร่างคล้ายหมาป่าที่สูงพอ ๆ กับมนุษย์ร่างกายของมันถูกล้อมรอบไปด้วยแท่งน้ำแข็งสีฟ้า ดวงตาของสัตว์อสูรก็เป็นสีฟ้าอ่อนเช่นกัน และมันก็เปล่งออร่าที่เย็นยะเยือกออกมา ขนบนตัวของมันเหมือนน้ำแข็ง หลังจากที่มันสัมผัสกับหญ้าที่อยู่รอบ ๆ ต้นหญ้าเหล่านั้นก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งในทันทีเฟนด์ขมวดคิ้วและโพล่งออกมา “มันคือหมาป่าน้ำแข็งงั้นเหรอ?! แต่หมาป่าน้ำแข็งมาทำอะไรที่นี่?”ก่อนที่จะมาที่ป่าดงอสูร เฟนด์ได้ใช้เวลาเรียนรู้เกี่ยวกับประเภทของสัตว์อสูรที่ปรากฏตัวบ่อยที่สุดบนภูเขา และเมื่อมองแวบเดียว เขาก็จำหมาป่าน้ำแข็งซึ่งเป็นสัตว์อสูรที่มักพบได้บ่อยบริเวณรอบนอกของป่าดงอสูรได้ทันทีหมาป่าน้ำแข็ง เป็นสัตว์อสูรขั้นกลางของระดับแรกกำเนิด มันมีขนา
ดวงตาของเฟนด์เย็นชาเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่อาจประมาทสัตว์อสูรตัวนี้ได้เลย การโจมตีหนึ่งครั้งของมันเทียบได้กับการโจมตีของเวสลีย์ สิ่งนี้ทำให้เฟนด์ยิ่งสับสนกันไปใหญ่ เหนือสิ่งอื่นใดพื้นที่ที่เขาอยู่นั้นเป็นเพียงพื้นที่รอบนอกของชายป่าเท่านั้น มันไม่ควรจะอันตรายถึงขนาดนี้แม้แต่เวสลีย์ก็พบการที่จะเอาชนะหมาป่าน้ำแข็งให้ได้นั้นก็ถือเป็นเรื่องยาก ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ภายนอกที่แข็งแกร่งน้อยกว่าเลยด้วยซ้ำ การที่เฟนด์บังเอิญมาเผชิญหน้ากับหมาป่าน้ำแข็งที่นี่ถือเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า? เขาหรี่ตาและเตือนตัวเองว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ หมาป่าน้ำแข็งโจมตีอย่างรวดเร็วอีกครั้งเมื่อเห็นว่าการโจมตีครั้งก่อนของมันพลาดเป้า มันพุ่งเข้าหาเฟนด์โดยใช้แรงถีบจากสองขาหลังอันทรงพลังของมันออกไป“เวร!” ความเร็วของหมาป่าน้ำแข็งนั้นเร็วมากเสียจนภาพเบื้องหน้าที่เขามองเห็นพร่ามัวเป็นสีฟ้าอ่อน หัวใจของเขาสั่นสะท้านและฝ่ามือของเขายังคงร่ายผนึกเวทออกมา เขายังคงถอยหนีในขณะที่ร่ายเวทกฎแห่งสุญญะเพื่อหลบการพุ่งเข้ากัดของหมาป่าน้ำแข็งนั่นคือความแข็งแกร่งของเฟนด์ เพราะปกติแล้วนักสู้ในขั้นแรกระดับแรกกำเนิดจะไ