กลิ่นของชาที่หอมกรุ่นอบอวลไปทั่วพื้นที่ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้สนใจว่าชาจะมีกลิ่นที่ดีเพียงใด โนเอลพูดด้วยความอับจนหนทาง “สุดท้ายแล้ว เราก็ต้องทำสงครามกัน แต่สงครามปะทุขึ้นเร็วอย่างนี้ได้อย่างไร? ศิษย์น้องเฟนด์นายคิดที่จะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วยหรือไม่? หากนายฆ่าศัตรูในระหว่างการต่อสู้ได้นายจะได้รับคะแนนสะสมเป็นจำนวนไม่น้อยเลย”คนหลายคนมองไปที่เฟนด์เป็นตาเดียวเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่โนเอลพูด เฟนด์ส่ายหน้าในทันที “จริงอยู่ที่ผมสามารถจะได้รับคะแนนสะสมไม่น้อย แต่หากผมรับงานนี้และออกจากตำหนักไปฆ่าคนจากอีกฝ่าย ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของผมผมไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะปลอดภัย เราต่างก็รู้กันดีว่าสมาชิกของเผ่าปฐมหายนะเองก็ต้องการกำจัดสมาชิกจากตำหนักของเรา แต่แม้แต่สมาชิกในตำหนักนี้ก็ต้องการให้ผมตายด้วยเหมือนกัน”ผู้คนรอบตัวเขาเงียบลงทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่เฟนด์พูด พวกเขาสามารถระบุความนัยที่ซ่อนอยู่เบื้องคำพูดของเฟนด์ได้ แม้ว่าเฟนด์จะมีพรสวรรค์สูงกว่าคนอื่น ๆ แต่เขาก็ได้สร้างศัตรูมาจำนวนไม่น้อย หลายคนจะลงมือกับเฟนด์ด้วยความอิจฉาริษยา เวสลีย์และคนอื่น ๆ จะไม่ยอมให้เขาเติบโตอย่างแข็งแกร่
ผู้ช่วยแชปแมนนำป้ายหยกประจำตัวสีแดงเรืองแสงออกมา ทั้งขนาดและวัสดุที่ใช้ล้วนดีกว่าป้ายหยกประจำตัวของศิษย์ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ชื่อ 'เมย์นาร์ด เซเยอร์' เขียนอยู่บนนั้น และแม้ว่าเฟนด์จะไม่รู้จัก เมย์นาร์ด แต่เขาก็เดาได้ว่านั่นคือป้ายหยกประจำตัวของศิษย์อาวุโสเซเยอร์จากนั้น ผู้ช่วยแชปแมนก็หยิบหยิบกระดาษสีเหลืองที่มีอักษรรูนหลายตัวเขียนอยู่ และวางไว้ตรงหน้าเฟนด์ “ฉันต้องการให้นายเซ็นเอกสารโอนกรรมสิทธิ์นี้”เฟนด์ชำเลืองมองไปที่โนเอลที่ยืนอยู่ด้านข้างแต่ตรวจไม่พบสิ่งแปลกปลอมในสีหน้าของเขา ดังนั้นเขาจึงเซ็นชื่อในกระดาษซึ่งลุกเป็นไฟทันทีหลังจากที่เขายกปากกาขึ้น สิ่งนี้ทำให้เขาตะลึงเล็กน้อย“ในตำหนักของเรามีกฎว่าไม่สามารถโอนคะแนนสะสมให้กันได้หากอีกฝ่ายไม่สมัครใจ หากนายต้องการโอนคะแนนสะสม นายต้องเซ็นชื่อในกระดาษโอน หลังจากลงนามในกระดาษโอนคะแนนแล้ว จะสามารถโอนคะแนนไปยังป้ายหยกประจำตัวของนายได้” ผู้ช่วยแชปแมนอธิบายอย่างเฉยเมยหลังสิ้นคำอธิบาย ป้ายหยกประจำตัวของเฟนด์ก็เริ่มเรืองแสงเล็กน้อย เฟนด์ตรวจดูคะแนนบนป้ายหยกด้วยพลังจิต และตามที่คาดไว้ คะแนนการสนับสนุนที่เป็นศูนย์ก่อนหน้านี้ของเขาเพิ่มขึ้
เฟนด์พยักหน้าและพูดว่า “ใช่ แค่สิบสี่วัน ผมมีแผนที่จะใช้คะแนนสะสมสิบคะแนนที่เหลือกับอย่างอื่น”เฟนด์คุ้นเคยกับความมืดที่เหนียวเหนอะหนะ และเช่นเคย เขาไม่ได้ขอให้โนเอลเลื่อนระดับความยากระดับห้า เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถบ่มเพาะตัวเองภายใต้ความยากระดับห้าได้อยู่แล้ว แต่ความจริงก็คือความจริง ระดับห้านั้นถือว่ายากสำหรับเขาแต่หลังจากการบ่มเพาะครั้งก่อน เฟนด์ได้เข้าใจเรื่องหนึ่ง การถูกกระตุ้นที่แรงขึ้นไม่ได้แปรผันตามความเร็วของความก้าวหน้าในการบ่มเพาะตน เขาควรรักษาสมดุลโดยทำให้แน่ใจว่าคลื่นกระแทกวิญญาณจะไม่แรงหรืออ่อนเกินไป และในความยากระดับสี่ก็นับว่าเป็นระดับที่เหมาะสม หลังจากอัญเชิญประตูเรียงเนตรแล้ว เฟนด์ก็รู้สึกได้ถึงการกระตุ้นที่คุ้นเคยทันทีที่คลื่นกระแทกวิญญาณซัดเข้าใส่เขา เมื่อนั้นการฝึกของเขาจึงเริ่มต้นขึ้นครั้งนี้ เขาตั้งใจจะควบรวมดาบวิญญาณเล่มที่สี่ให้ได้ เวลาล่วงเลยไปและยิ่งเขาฝึกฝนมากเท่าไหร่ การฝึกก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น หลังจากผ่านไปสี่วัน เขาเพิ่งจะสามารถควบแน่นดาบวิญญาณเล่มที่สี่ได้เพียงสองในสามส่วนเท่านั้นภายใต้สถานการณ์ปกติ สองในสามส่วนก็หมายความว่าความสำเร็จอยู่ไม่ไกล
วันเวลาผ่านไปผ่านไปและสิ่งเดียวที่จะไม่เปลี่ยนแปลงก็คือความมืดอันดำสนิท ไม่ยากที่จะจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสงครามระหว่างตำหนักสองกษัตริย์และเผ่าปฐมหายนะเริ่มขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้วางแผนที่จะเข้าร่วมแนวหน้า แต่ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องเข้าร่วมเพื่อคะแนนสะสม เขาจะต้องเผชิญกับการทดสอบแบบไหนในเวลานั้น เขาก็ไม่แน่ใจในตัวเองนัก สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการปรับปรุงระดับการบ่มเพาะของเขาอย่างต่อเนื่องเท่านั้นมีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เขาจึงจะสามารถปกป้องตัวเองในสงครามได้ แม้ว่าเขาจะต้องพบกับสถานการณ์ที่อันตราย แต่ด้วยพลังที่เพียงพอ เขาก็จะอยู่รอดได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเฟนด์จึงอดทนฝึกฝนต่อไปแม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้าทั้งกายและใจก็ตามหลังจากรวบรวมดาบวิญญาณเล่มที่สี่สำเร็จในวันที่หก เขาก็เริ่มควบแน่นดาบวิญญาณเล่มที่ห้าทันที เขาวางแผนที่จะใช้เวลาที่เหลือในการควบแน่นดาบวิญญาณเล่มที่ห้าให้เสร็จสมบูรณ์ เขายังคงได้เวทย์อัญเชิญ และคลื่นกระแทกวิญญาณโดยรอบยังคงถาโถมใส่เขาราวคลื่นยักษ์วันเวลาผ่านไปและกับล่วงเข้าถึงวันที่สิบสอง ดาบวิญญาณเล่มที่ห้าถูกควบรวมไปได้แล้วกว่าสองในสามส่วน แต่ปัญหาเด
เขาหยิบโอสถสองเม็ดออกมาจากมัสตาร์ด ซี๊ด โอสถสองเม็ดลอยอยู่เหนือฝ่ามือของเขา เม็ดหนึ่งมีสีแดงอ่อน ๆ และเขารู้สึกได้ถึงพละกำลังที่เพิ่มขึ้นหลังจากได้ดมกลิ่นของมัน ในขณะที่โอสถอีกเม็ดเปล่งแสงสีดำออกมา เพียงแค่วางยานี้ไว้ใต้ปลายจมูก เขาก็รู้สึกสดชื่นและฟื้นคืนพลังโอสถทั้งสองชนิดนี้คือโอสถซานหยวนและโอสถทะลวงวิญญาณ หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เฟนด์ก็ใส่โอสถทั้งสองนี้เข้าไปในปาก ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกถึงพลังงานที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายที่ด้านนอกประตูเรียงเนตร โนเอลนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ เขาส่ายหน้าและฮัมเพลงเบา ๆ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในหอเจตสิกจะผัดเปลี่ยนเวรกันทุก ๆ ห้าวัน วันนี้โนเอลกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ปกติแล้ว ยิ่งศิษย์มีแรงจูงใจมากเท่าใด เขาก็จะใช้เวลาในการฝึกฝนมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าสภาพแวดล้อมของเขาจะไม่เอื้ออำนวยให้เขาทำเช่นนั้นก็ตามอย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าโนเอลไม่มีแรงจูงใจ เขาแค่อยากจะเพลิดเพลินไปกับเวลาว่างและไม่มีความปรารถนาที่จะบ่มเพาะตัวเอง เขาสั่นศีรษะอย่างแรงและตกอยู่ในภวังค์ขณะได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากประตูเรียงเนตรทันใดนั้น เขาก็หยุดสั่น วางเท้าลง และนั่งย
คุณสมบัติทางยาของโอสถเม็ดนั้นไม่รุนแรง เมื่อเทียบกับโอสถที่เขาได้รับสองเม็ดก่อนหน้านี้ ความแตกต่างของคุณสมบัติทางยานั้นแทบจะต่างกันราวฟ้ากับเหว คุณสมบัติทางยาของโอสถซานหยวนและโอสถทะลวงวิญญาณนั้นเหมือนกับน้ำมันปรุงอาหารที่มีไฟลุกโชน และโอสถฟื้นฟูพลังงานเม็ดนี้ก็เหมือนกับน้ำแร่ที่ไหลรินคุณสมบัติทางยาอ่อน ๆ ค่อย ๆ แทรกซึมผ่านเส้นลมปราณของเฟนด์มันซ่อมแซมบาดแผลของเขาและค่อย ๆ ทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น สิบห้านาทีต่อมา เขาจึงค่อย ๆ ฟื้นตัวจากร่างกายที่อ่อนแอ“ขอบคุณมาก ศิษย์พี่โนเอล” เฟนด์กล่าวหลังจากยกชาขึ้นจิบแม้ว่าตามกฎแล้ว เฟนด์จำเป็นต้องเรียกโนเอลว่าศิษย์น้อง แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น และเรียกโนเอลในฐานะศิษย์พี่แทน เขารู้สึกว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นการให้เกียรติเขามากกว่าหลังจากได้ยินเฟนด์พูดกับเขาเช่นนั้นโนเอลก็หัวเราะเบา ๆ และไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาตบไหล่เฟนด์และพูดอย่างเคร่งขรึม “พอนายเข้าไปฝึกฝนในประตูเรียงเนตรทีไรก็ดูเหมือนจะชอบทรมานตัวเองจนตายทุกที ครั้งนี้ถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของนายแล้ว ฉันได้ตรวจสอบสัญญาณชีพของนายแล้วและพบว่าเส้นลมปราณขอ
โนเอลพยักหน้า ทำให้เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออก นับตั้งแต่มาถึงทวีปเฮสเทีย เขาได้ยินเกี่ยวกับความบาดหมางกันระหว่างตำหนักสองกษัตริย์และเผ่าปฐมหายนะอยู่เสมอ ทั้งสองฝ่ายต่างมีความแค้นต่อกันมาช้านาน และด้วยเรื่องแหล่งทรัพยากรที่เป็นความลับที่ทำหน้าที่เหมือนชนวนของเหตุในครั้งนี้ ทั้งสองสำนักจึงตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กันและพร้อมจะก่อสงครามตลอดเวลาด้วยเหตุนี้ตำหนักสองกษัตริย์จึงทำการคัดเลือกศิษย์ใหม่มากมายเป็นพิเศษและลดข้อกำหนดในการเข้าร่วมตำหนักลงด้วย แต่หลังจากนั้นพวกเขากลับตัดสินใจที่จะยุติสงครามไปง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ? สีหน้าอ้ำอึ้งของเฟนด์ถูกเขียนไว้อย่างชัดเจนบนใบหน้าของเขา โนเอลและอลันมองหน้ากันและเข้าใจไปโดยปริยายว่าเฟนด์กำลังคิดอะไรอยู่“มันไร้สาระโดยสิ้นเชิงเลยใช่ไหมล่ะ? เราก็พูดไม่ออกเหมือนกัน พวกเขาสั่งให้ยุติสงครามในเช้าวันที่ห้า ซึ่งก็คือประมาณวันที่สามหรือสี่ที่นายอยู่ในประตูเรียงเนตรนั่นแหละ บรรดาศิษย์ ผู้ดูแล และคนอื่น ๆ ที่เข้าร่วมในสงครามถูกเรียกตัวกลับทั้งหมด โชคดีที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย และมีผู้เสียชีวิตเพียง ห้าถึงหกคนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนก็อยู่ในช่วงเริ่มต้นของส
โนเอลและอลันมองไปที่เฟนด์ราวกับว่าเขาล้อเล่น แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สิ่งนี้เกิดขึ้น ดังนั้นโนเอลจึงรีบบอกให้เขารู้“สำนักสหัสบรรณเป็นสำนักระดับสี่อันดับที่สอง และยังเป็นหนึ่งในสองสำนักที่ทรงพลังที่สุดของรัฐเวสต์ เซอร์ซีอีกด้วย แม้ว่าตำหนักสองกษัตริย์ของเราก็แข็งแกร่งไม่แพ้ใคร แต่เมื่อเทียบกับสำนักสหัสบรรณแล้วก็ยังพบว่าด้อยกว่า “อันที่จริงแล้ว ทั้งตำหนักสองกษัตริย์และเผ่าปฐมหายนะต่างก็อยู่ในความคุ้มครองของสำนักสหัสบรรณ ต้องมีเหตุผลที่สำนักสหัสบรรณเข้ามาหยุดยั้งความขัดแย้งระหว่างสำนักทั้งสองแทบจะในทันทีเช่นนี้แน่ ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยังได้ยินมาว่าเป็นเจ้าสำนักสหัสบรรณเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองอีกต่างหาก“ตั้งแต่เจ้าตำหนักก้าวออกมา ตำหนักสองกษัตริย์ของเราและเผ่าปฐมหายนะซึ่งเป็นสำนักในระดับสามทั้งคู่จึงไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเขา ถึงอย่างนั้นสำนักสหัสบรรณก็ไม่เคยเข้ามายุ่งกับเรื่องแบบนี้มาก่อน และแม้ว่านักสู้ฝีมือดีหลายคนจะเสียชีวิตในสงครามระหว่างสองสำนักพวกเขาก็มักจะเมินเฉย”หลังจากอธิบายแล้วโนเอลก็เหม่อมองไกลออกไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด เฟนด์พยักหน้าและพูดด้วยความไม่แน่ใจ “เพราะงั้นคุณก
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ