กลิ่นของชาที่หอมกรุ่นอบอวลไปทั่วพื้นที่ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้สนใจว่าชาจะมีกลิ่นที่ดีเพียงใด โนเอลพูดด้วยความอับจนหนทาง “สุดท้ายแล้ว เราก็ต้องทำสงครามกัน แต่สงครามปะทุขึ้นเร็วอย่างนี้ได้อย่างไร? ศิษย์น้องเฟนด์นายคิดที่จะเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ด้วยหรือไม่? หากนายฆ่าศัตรูในระหว่างการต่อสู้ได้นายจะได้รับคะแนนสะสมเป็นจำนวนไม่น้อยเลย”คนหลายคนมองไปที่เฟนด์เป็นตาเดียวเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่โนเอลพูด เฟนด์ส่ายหน้าในทันที “จริงอยู่ที่ผมสามารถจะได้รับคะแนนสะสมไม่น้อย แต่หากผมรับงานนี้และออกจากตำหนักไปฆ่าคนจากอีกฝ่าย ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของผมผมไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะปลอดภัย เราต่างก็รู้กันดีว่าสมาชิกของเผ่าปฐมหายนะเองก็ต้องการกำจัดสมาชิกจากตำหนักของเรา แต่แม้แต่สมาชิกในตำหนักนี้ก็ต้องการให้ผมตายด้วยเหมือนกัน”ผู้คนรอบตัวเขาเงียบลงทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่เฟนด์พูด พวกเขาสามารถระบุความนัยที่ซ่อนอยู่เบื้องคำพูดของเฟนด์ได้ แม้ว่าเฟนด์จะมีพรสวรรค์สูงกว่าคนอื่น ๆ แต่เขาก็ได้สร้างศัตรูมาจำนวนไม่น้อย หลายคนจะลงมือกับเฟนด์ด้วยความอิจฉาริษยา เวสลีย์และคนอื่น ๆ จะไม่ยอมให้เขาเติบโตอย่างแข็งแกร่
ผู้ช่วยแชปแมนนำป้ายหยกประจำตัวสีแดงเรืองแสงออกมา ทั้งขนาดและวัสดุที่ใช้ล้วนดีกว่าป้ายหยกประจำตัวของศิษย์ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ชื่อ 'เมย์นาร์ด เซเยอร์' เขียนอยู่บนนั้น และแม้ว่าเฟนด์จะไม่รู้จัก เมย์นาร์ด แต่เขาก็เดาได้ว่านั่นคือป้ายหยกประจำตัวของศิษย์อาวุโสเซเยอร์จากนั้น ผู้ช่วยแชปแมนก็หยิบหยิบกระดาษสีเหลืองที่มีอักษรรูนหลายตัวเขียนอยู่ และวางไว้ตรงหน้าเฟนด์ “ฉันต้องการให้นายเซ็นเอกสารโอนกรรมสิทธิ์นี้”เฟนด์ชำเลืองมองไปที่โนเอลที่ยืนอยู่ด้านข้างแต่ตรวจไม่พบสิ่งแปลกปลอมในสีหน้าของเขา ดังนั้นเขาจึงเซ็นชื่อในกระดาษซึ่งลุกเป็นไฟทันทีหลังจากที่เขายกปากกาขึ้น สิ่งนี้ทำให้เขาตะลึงเล็กน้อย“ในตำหนักของเรามีกฎว่าไม่สามารถโอนคะแนนสะสมให้กันได้หากอีกฝ่ายไม่สมัครใจ หากนายต้องการโอนคะแนนสะสม นายต้องเซ็นชื่อในกระดาษโอน หลังจากลงนามในกระดาษโอนคะแนนแล้ว จะสามารถโอนคะแนนไปยังป้ายหยกประจำตัวของนายได้” ผู้ช่วยแชปแมนอธิบายอย่างเฉยเมยหลังสิ้นคำอธิบาย ป้ายหยกประจำตัวของเฟนด์ก็เริ่มเรืองแสงเล็กน้อย เฟนด์ตรวจดูคะแนนบนป้ายหยกด้วยพลังจิต และตามที่คาดไว้ คะแนนการสนับสนุนที่เป็นศูนย์ก่อนหน้านี้ของเขาเพิ่มขึ้
เฟนด์พยักหน้าและพูดว่า “ใช่ แค่สิบสี่วัน ผมมีแผนที่จะใช้คะแนนสะสมสิบคะแนนที่เหลือกับอย่างอื่น”เฟนด์คุ้นเคยกับความมืดที่เหนียวเหนอะหนะ และเช่นเคย เขาไม่ได้ขอให้โนเอลเลื่อนระดับความยากระดับห้า เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถบ่มเพาะตัวเองภายใต้ความยากระดับห้าได้อยู่แล้ว แต่ความจริงก็คือความจริง ระดับห้านั้นถือว่ายากสำหรับเขาแต่หลังจากการบ่มเพาะครั้งก่อน เฟนด์ได้เข้าใจเรื่องหนึ่ง การถูกกระตุ้นที่แรงขึ้นไม่ได้แปรผันตามความเร็วของความก้าวหน้าในการบ่มเพาะตน เขาควรรักษาสมดุลโดยทำให้แน่ใจว่าคลื่นกระแทกวิญญาณจะไม่แรงหรืออ่อนเกินไป และในความยากระดับสี่ก็นับว่าเป็นระดับที่เหมาะสม หลังจากอัญเชิญประตูเรียงเนตรแล้ว เฟนด์ก็รู้สึกได้ถึงการกระตุ้นที่คุ้นเคยทันทีที่คลื่นกระแทกวิญญาณซัดเข้าใส่เขา เมื่อนั้นการฝึกของเขาจึงเริ่มต้นขึ้นครั้งนี้ เขาตั้งใจจะควบรวมดาบวิญญาณเล่มที่สี่ให้ได้ เวลาล่วงเลยไปและยิ่งเขาฝึกฝนมากเท่าไหร่ การฝึกก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น หลังจากผ่านไปสี่วัน เขาเพิ่งจะสามารถควบแน่นดาบวิญญาณเล่มที่สี่ได้เพียงสองในสามส่วนเท่านั้นภายใต้สถานการณ์ปกติ สองในสามส่วนก็หมายความว่าความสำเร็จอยู่ไม่ไกล
วันเวลาผ่านไปผ่านไปและสิ่งเดียวที่จะไม่เปลี่ยนแปลงก็คือความมืดอันดำสนิท ไม่ยากที่จะจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อสงครามระหว่างตำหนักสองกษัตริย์และเผ่าปฐมหายนะเริ่มขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้วางแผนที่จะเข้าร่วมแนวหน้า แต่ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องเข้าร่วมเพื่อคะแนนสะสม เขาจะต้องเผชิญกับการทดสอบแบบไหนในเวลานั้น เขาก็ไม่แน่ใจในตัวเองนัก สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการปรับปรุงระดับการบ่มเพาะของเขาอย่างต่อเนื่องเท่านั้นมีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เขาจึงจะสามารถปกป้องตัวเองในสงครามได้ แม้ว่าเขาจะต้องพบกับสถานการณ์ที่อันตราย แต่ด้วยพลังที่เพียงพอ เขาก็จะอยู่รอดได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเฟนด์จึงอดทนฝึกฝนต่อไปแม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้าทั้งกายและใจก็ตามหลังจากรวบรวมดาบวิญญาณเล่มที่สี่สำเร็จในวันที่หก เขาก็เริ่มควบแน่นดาบวิญญาณเล่มที่ห้าทันที เขาวางแผนที่จะใช้เวลาที่เหลือในการควบแน่นดาบวิญญาณเล่มที่ห้าให้เสร็จสมบูรณ์ เขายังคงได้เวทย์อัญเชิญ และคลื่นกระแทกวิญญาณโดยรอบยังคงถาโถมใส่เขาราวคลื่นยักษ์วันเวลาผ่านไปและกับล่วงเข้าถึงวันที่สิบสอง ดาบวิญญาณเล่มที่ห้าถูกควบรวมไปได้แล้วกว่าสองในสามส่วน แต่ปัญหาเด
เขาหยิบโอสถสองเม็ดออกมาจากมัสตาร์ด ซี๊ด โอสถสองเม็ดลอยอยู่เหนือฝ่ามือของเขา เม็ดหนึ่งมีสีแดงอ่อน ๆ และเขารู้สึกได้ถึงพละกำลังที่เพิ่มขึ้นหลังจากได้ดมกลิ่นของมัน ในขณะที่โอสถอีกเม็ดเปล่งแสงสีดำออกมา เพียงแค่วางยานี้ไว้ใต้ปลายจมูก เขาก็รู้สึกสดชื่นและฟื้นคืนพลังโอสถทั้งสองชนิดนี้คือโอสถซานหยวนและโอสถทะลวงวิญญาณ หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เฟนด์ก็ใส่โอสถทั้งสองนี้เข้าไปในปาก ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกถึงพลังงานที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายที่ด้านนอกประตูเรียงเนตร โนเอลนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ เขาส่ายหน้าและฮัมเพลงเบา ๆ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในหอเจตสิกจะผัดเปลี่ยนเวรกันทุก ๆ ห้าวัน วันนี้โนเอลกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ปกติแล้ว ยิ่งศิษย์มีแรงจูงใจมากเท่าใด เขาก็จะใช้เวลาในการฝึกฝนมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าสภาพแวดล้อมของเขาจะไม่เอื้ออำนวยให้เขาทำเช่นนั้นก็ตามอย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าโนเอลไม่มีแรงจูงใจ เขาแค่อยากจะเพลิดเพลินไปกับเวลาว่างและไม่มีความปรารถนาที่จะบ่มเพาะตัวเอง เขาสั่นศีรษะอย่างแรงและตกอยู่ในภวังค์ขณะได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากประตูเรียงเนตรทันใดนั้น เขาก็หยุดสั่น วางเท้าลง และนั่งย
คุณสมบัติทางยาของโอสถเม็ดนั้นไม่รุนแรง เมื่อเทียบกับโอสถที่เขาได้รับสองเม็ดก่อนหน้านี้ ความแตกต่างของคุณสมบัติทางยานั้นแทบจะต่างกันราวฟ้ากับเหว คุณสมบัติทางยาของโอสถซานหยวนและโอสถทะลวงวิญญาณนั้นเหมือนกับน้ำมันปรุงอาหารที่มีไฟลุกโชน และโอสถฟื้นฟูพลังงานเม็ดนี้ก็เหมือนกับน้ำแร่ที่ไหลรินคุณสมบัติทางยาอ่อน ๆ ค่อย ๆ แทรกซึมผ่านเส้นลมปราณของเฟนด์มันซ่อมแซมบาดแผลของเขาและค่อย ๆ ทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น สิบห้านาทีต่อมา เขาจึงค่อย ๆ ฟื้นตัวจากร่างกายที่อ่อนแอ“ขอบคุณมาก ศิษย์พี่โนเอล” เฟนด์กล่าวหลังจากยกชาขึ้นจิบแม้ว่าตามกฎแล้ว เฟนด์จำเป็นต้องเรียกโนเอลว่าศิษย์น้อง แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น และเรียกโนเอลในฐานะศิษย์พี่แทน เขารู้สึกว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นการให้เกียรติเขามากกว่าหลังจากได้ยินเฟนด์พูดกับเขาเช่นนั้นโนเอลก็หัวเราะเบา ๆ และไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาตบไหล่เฟนด์และพูดอย่างเคร่งขรึม “พอนายเข้าไปฝึกฝนในประตูเรียงเนตรทีไรก็ดูเหมือนจะชอบทรมานตัวเองจนตายทุกที ครั้งนี้ถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของนายแล้ว ฉันได้ตรวจสอบสัญญาณชีพของนายแล้วและพบว่าเส้นลมปราณขอ
โนเอลพยักหน้า ทำให้เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออก นับตั้งแต่มาถึงทวีปเฮสเทีย เขาได้ยินเกี่ยวกับความบาดหมางกันระหว่างตำหนักสองกษัตริย์และเผ่าปฐมหายนะอยู่เสมอ ทั้งสองฝ่ายต่างมีความแค้นต่อกันมาช้านาน และด้วยเรื่องแหล่งทรัพยากรที่เป็นความลับที่ทำหน้าที่เหมือนชนวนของเหตุในครั้งนี้ ทั้งสองสำนักจึงตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กันและพร้อมจะก่อสงครามตลอดเวลาด้วยเหตุนี้ตำหนักสองกษัตริย์จึงทำการคัดเลือกศิษย์ใหม่มากมายเป็นพิเศษและลดข้อกำหนดในการเข้าร่วมตำหนักลงด้วย แต่หลังจากนั้นพวกเขากลับตัดสินใจที่จะยุติสงครามไปง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ? สีหน้าอ้ำอึ้งของเฟนด์ถูกเขียนไว้อย่างชัดเจนบนใบหน้าของเขา โนเอลและอลันมองหน้ากันและเข้าใจไปโดยปริยายว่าเฟนด์กำลังคิดอะไรอยู่“มันไร้สาระโดยสิ้นเชิงเลยใช่ไหมล่ะ? เราก็พูดไม่ออกเหมือนกัน พวกเขาสั่งให้ยุติสงครามในเช้าวันที่ห้า ซึ่งก็คือประมาณวันที่สามหรือสี่ที่นายอยู่ในประตูเรียงเนตรนั่นแหละ บรรดาศิษย์ ผู้ดูแล และคนอื่น ๆ ที่เข้าร่วมในสงครามถูกเรียกตัวกลับทั้งหมด โชคดีที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย และมีผู้เสียชีวิตเพียง ห้าถึงหกคนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนก็อยู่ในช่วงเริ่มต้นของส
โนเอลและอลันมองไปที่เฟนด์ราวกับว่าเขาล้อเล่น แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สิ่งนี้เกิดขึ้น ดังนั้นโนเอลจึงรีบบอกให้เขารู้“สำนักสหัสบรรณเป็นสำนักระดับสี่อันดับที่สอง และยังเป็นหนึ่งในสองสำนักที่ทรงพลังที่สุดของรัฐเวสต์ เซอร์ซีอีกด้วย แม้ว่าตำหนักสองกษัตริย์ของเราก็แข็งแกร่งไม่แพ้ใคร แต่เมื่อเทียบกับสำนักสหัสบรรณแล้วก็ยังพบว่าด้อยกว่า “อันที่จริงแล้ว ทั้งตำหนักสองกษัตริย์และเผ่าปฐมหายนะต่างก็อยู่ในความคุ้มครองของสำนักสหัสบรรณ ต้องมีเหตุผลที่สำนักสหัสบรรณเข้ามาหยุดยั้งความขัดแย้งระหว่างสำนักทั้งสองแทบจะในทันทีเช่นนี้แน่ ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยังได้ยินมาว่าเป็นเจ้าสำนักสหัสบรรณเป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองอีกต่างหาก“ตั้งแต่เจ้าตำหนักก้าวออกมา ตำหนักสองกษัตริย์ของเราและเผ่าปฐมหายนะซึ่งเป็นสำนักในระดับสามทั้งคู่จึงไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเขา ถึงอย่างนั้นสำนักสหัสบรรณก็ไม่เคยเข้ามายุ่งกับเรื่องแบบนี้มาก่อน และแม้ว่านักสู้ฝีมือดีหลายคนจะเสียชีวิตในสงครามระหว่างสองสำนักพวกเขาก็มักจะเมินเฉย”หลังจากอธิบายแล้วโนเอลก็เหม่อมองไกลออกไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด เฟนด์พยักหน้าและพูดด้วยความไม่แน่ใจ “เพราะงั้นคุณก