แต่เฟนด์กลับมุ่งไปยังสถานที่ที่จะทำให้เขาสามารถเพิ่มระดับทักษะของตัวเองได้เร็วขึ้น! มีเพียงศิษย์ที่อยู่ในตำหนักสองกษัตริย์นานพอเท่านั้นถึงจะทำเช่นนั้นได้ เวสลีย์เย้ยหยันและพูดว่า “อืม เพราะอาจจะกำลังแสดงละครอยู่ก็ได้ เขาควรได้รับเกียรติที่เขาจะได้ยืนอยู่ในสนามประลองเดียวกับฉัน…”ในขณะเดียวกัน เฟนด์ก็ใกล้จะถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุด การรวบรวมดาบวิญญาณสามเล่มไม่ง่ายเหมือนกับการเดินเล่นในสวนสาธารณะเลยสักนิด ในแง่หนึ่ง เขาต้องอดทนต่อคลื่นพลังวิญญาณ อีกแง่ เขายังต้องร่ายเคล็ดวิชาผ่าห้วงสุญญะเพื่อรวบรวมดาบวิญญาณทั้งสามเข้าด้วยกัน ในที่สุดเขาก็เข้าใจสิ่งหนึ่งว่าเหตุใดหอเจตสิกจึงสามารถเร่งการปรับระดับทักษะธาตุวิญญาณได้ ซึ่งเปรียบได้กับการเพิ่มระดับอาวุธหรือทักษะยุทธต่าง ๆ กับการแกะสลักหยกในช่วงเริ่มต้นของการบ่มเพาะ ก็เปรียบเสมือนกับชิ้นหยกดิบที่ยังไม่ได้เจียระไน และการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องนั้นเทียบเท่ากับเจียระไนและแกะสลักหยกดิบอย่างต่อเนื่อง คลื่นกระแทกวิญญาณนั้นก็เปรียบเสมือนสิ่วที่ช่วยให้ผู้บ่มเพาะแกะสลักหยกดิบได้เร็วขึ้น แต่กระบวนการนี้อาจค่อนข้างโหดร้าย และอาจทำให้ถึงตายได้ง่าย ๆ หากเกิดข้
อย่างไรก็ตามโนเอลเรียกเขาก่อนที่เขาจะเดินออกจากประตูไป “ฉันได้ยินมาว่านายจะแข่งกับเวสลีย์ในสนามประลองเดิมพันเร็ว ๆ นี้?”เฟนด์เลิกคิ้วและหันกลับไปมองที่โนเอล เขาแน่ใจว่าโนเอลเอ่ยขึ้นเพราะอยากจะถาม เพราะศิษย์เกือบทั้งหมดของที่นี่รู้เรื่องนี้ดี เขารู้ด้วยว่าศิษย์คนอื่น ๆ ถือว่าข่าวนี้เป็นเป็นหัวข้อสนทนาและเรื่องน่าหัวเราะหลังอาหารเย็น ดังนั้นเขาจึงไม่ตอบ แต่รอให้อีกฝ่ายพูดต่อไปโนเอลเม้มริมฝีปากของเขาและพูดว่า “ตอนนี้นายคงขาดคะแนนสะสมอยู่ และดูเหมือนว่านายตั้งใจที่จะมาที่หอเจตสิกอีกครั้ง”เฟนด์พยักหน้า เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว หากเงื่อนไขอนุญาต เขายินดีที่จะอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะ คลื่นกระแทกวิญญาณนั่น! เขารู้สึกได้ว่าพลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นทีละเล็กทีละน้อย และแม้ว่าเขาจะไม่เห็นเวสลีย์เป็นคู่แข่ง แต่เขาก็ต้องระมัดระวังเพราะเขายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะเขาได้โนเอลกระแอมไอเบา ๆ และดูเหมือนจะเขินอายกับสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไป แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยืดตัวขึ้นและพูดว่า “นายรู้ไหมว่าศิษย์ภายนอกที่เข้ามาใหม่จะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?”ไม่ เฟนด์ไม่รู้ เขาเก็บ
เมื่อเฟนด์กลับมาที่ห้อง เขาก็ส่งบรู๊คไปแลกคะแนนที่หอสัตตะฤกษ์ทันที หน้าที่ของศิษย์นอกสำนักคือการทำธุระให้ศิษย์ทั้งภายนอกและภายใน และบรู๊คก็ถือเป็นผู้ช่ำชองในเรื่องเหล่านี้ เขารีบไปที่หอสัตตะฤกษ์พร้อมกับป้ายหยกประจำตัวของเฟนด์และผลึกวิญญาณ เฟนด์ทำได้เพียงแค่รอจนกว่าเขาจะกลับมาเฟนด์สามารถไปแลกเปลี่ยนด้วยตัวเองได้ แต่เขาไม่ชอบที่ที่มีคนพลุกพล่าน นอกจากนี้ เขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ศิษย์ภายนอกด้วยกัน และเป็นการดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงการโต้เถียงกับเวสลีย์ เขารู้ว่าเวสลีย์จะไม่มีวันละทิ้งโอกาสที่จะได้พูดจาเหน็บแนมเขา และเขาก็ไม่อยากเสียเวลาไปกับคนแบบนี้ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาบรู๊คก็กลับมา และคืนป้ายหยกประจำตัวให้เฟนด์ซึ่งมีคะแนนสะสมเพิ่มขึ้นมาห้าสิบแต้ม เขามองไปที่เฟนด์ด้วยสีหน้าเป็นนัยว่าเขามีเรื่องจะบอกเขา แต่ไม่รู้ว่าควรจะบอกดีไหมเฟนด์เลิกคิ้วขึ้น เขาเชิญบรู๊คเข้าไปในห้องและรินชาให้เขา “มีอะไรจะพูดก็พูดมาสิ คุณประสบปัญหาบางอย่างระหว่างทำธุระให้ผมงั้นเหรอ? หรือมีใครรังแกคุณหรือเปล่า?”บรู๊คส่ายหน้าและรับชาจากเฟนด์ “ผมไม่ได้ถูกใครรังแก ผมอยู่ในตำหนักมาหลายปีแล้ว และแม้ว่าศิษย์ภายในแ
“ผู้ช่วยที่รับผิดชอบการส่งงานคือผู้ช่วยเฟลมมิ่ง และเขาทำงานให้กลับผู้ดูแลแอมโบรส เข้าส่ายหน้าทันทีที่ได้ยินว่าผมไปที่นั่นเพื่อแลกเปลี่ยนผลึกวิญญาณระดับต่ำห้าร้อยชิ้นเป็นคะแนนสะสม เขาบอกว่าสิทธิประโยชน์นี้ไม่ครอบคลุมกับศิษย์ภายนอกที่พึ่งเข้ามาใหม่รอบนี้ และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเขาพูดแบบนั้น” บรู๊คกล่าวเฟนด์ขมวดคิ้ว เขานึกถึงสิ่งที่โนเอลเคยพูดกับเขาก่อนหน้านี้และยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น บางทีโนเอลอาจกำลังพยายามบอกเขาว่าตำหนักสองกษัตริย์กำลังปฏิบัติต่อศิษย์ภายนอกที่เข้ามาใหม่กลุ่มนี้แตกต่างจากศิษย์ภายนอกกลุ่มที่เข้ามาก่อนหน้านี้ทั้งหมด ประกอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคะแนนสะสมเฟนด์ได้แต่บอกกับตัวเองว่านับจากนี้ไปเขาควรจะระมัดระวังให้มากขึ้นเป็นไปได้ไหมว่าแม้แต่ฝ่ายบริหารก็จงใจดูแคลนศิษย์ภายนอกกลุ่มใหม่? หากเป็นกรณีนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจที่เหล่าศิษย์รุ่นเก่าจะดูถูกเหล่าศิษย์ภายนอกกลุ่มใหม่เสียเหลือเกิน อย่างไรก็ตามเฟนด์ไม่คิดว่าเป็นเพราะเหตุนี้ ท้ายที่สุดแล้วตำหนักสองกษัตริย์ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นสำนักอันดับหนึ่งในรัฐเวสต์ เซอร์ซีอีกด้วย พฤติกรรมเช่นนี้จะทำให้เห
เฟนด์หัวเราะเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะหรอก แต่ถ้าว่าด้วยทักษะการบ่มเพาะธาตุวิญญาณผมก็ถือว่าตัวเองพอมีโชคอยู่บ้าง”โนเอลส่ายหน้าและใบหน้าของเขามีความเศร้าปนอยู่เล็กน้อยราวกับว่าเขาได้รับความเจ็บปวดจากคำพูดของเฟนด์เป็นอย่างมาก เขาใช้คางชี้ไปที่ประตูเรียงเนตร ทำให้แน่ชัดว่าเขาไม่ต้องการพูดกับเฟนด์อีกต่อไป เฟนด์หัวเราะเบา ๆ อีกครั้งและก้าวเท้าเข้าประตูไป ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ เขายังนึกสงสัยว่าตัวเองควรจะเพิ่มระดับความยากขึ้นหรือเปล่า แต่หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำเช่นนั้น เขายังต้องหาหนทางให้ตัวเองปรับตัวเข้ากับความยากระดับสี่ให้ได้อย่างเต็มที่เสียก่อน และถ้าเขารีบเพิ่มระดับความยาก มันจะยิ่งเป็นการเพิ่มภาระให้กับตัวเองอย่างแน่นอน ผลกระทบที่หนักหนาเกินไปจากคลื่นกระแทกวิญญาณจะส่งผลเสียกับเขาหลังจากประตูเรียงเนตรถูกเปิดใช้งาน คลื่นกระแทกวิญญาณก็ถาโถมเต็มห้องอีกครั้ง เฟนด์หลับตาและทำการอัญเชิญด้วยมือทั้งสองข้าง ดาบวิญญาณสีดำสองเล่มลอยขึ้นและตกลงในมือของเขาทันที ครั้งนี้เป้าหมายของเขาคือการควบรวมดาบวิญญาณเล่มที่สามให้ได้ภายในห้าวัน แ
โนเอลไม่สงสัยในทักษะของเฟนด์เลยแม้แต่น้อย หลังจากได้เห็นเขาเผชิญกับความยากของประตูเรียงเนตรระดับสี่ในห้าวันแรกของเขา แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับผลกระทบทางวิญญาณและร่างกายไม่น้อย โนเอลรีบเดินไปรับเขาก่อนที่เขาจะล้มลง เฟนด์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อย ๆ ว่า "ไม่ต้องห่วงเรื่องผมหรอก ผมไม่ได้บาดเจ็บ เพียงแต่ผมได้ใช้พลังวิญญาณและพลังงานที่แท้จริงของตัวเองไปจนหมดแล้ว”โนเอลเลิกคิ้วและใช้นิ้วกดจุดเส้นลมปราณของเฟนด์เบา ๆ และเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ พลังในเส้นลมปราณของเฟนด์ถูกใช้ไปจนหมด และเหลือพลังวิญญาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้เขายิ่งพูดไม่ออก“นายเข้าไปทำอะไรข้างใน ถึงได้ใช้พลังงานที่แท้จริงและพลังวิญญาณของตัวเองจนเกลี้ยงแบบนี้?” โนเอลถามเฟนด์หัวเราะเบา ๆ และบอกความจริงกับเขา “ผมทะลวงผ่านจุดคอขวดไปได้แล้ว ก็แค่นั้นแหละ”เมื่อถึงตอนนี้ โนเอลก็เลิกคิ้วขึ้นทันที “ต้องยอมรับเลยว่านายมีทั้งพรสวรรค์และความกล้าหาญสูงมาก คลื่นกระแทกวิญญาณสำหรับความยากระดับสี่ในประตูเรียงเนตรก็รุนแรงขนาดที่ฆ่าใครก็ได้ด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นนายก็รอดมาได้หลังจากทะลวงผ่านจุดคอขวด ถ้าเป็นคนอ
แนชตบไหล่เฟนด์และพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดเล็กน้อยว่า “ลูกควรพักผ่อนให้มากกว่านี้และทำอะไรให้ช้าลงสักหน่อย ยังมีเวลาเหลืออีกสองสัปดาห์ ลูกจะล้มไม่เป็นท่า ถ้าเข้มงวดกับตัวเองมากเกินไป”เฟนด์พยักหน้าและรู้ว่าพ่อของเขาพูดเช่นนี้เพียงเพราะเป็นห่วง “อย่ากังวลไปเลยพ่อ ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ จริงอยู่ที่เวสลีย์เป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามแต่เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากอะไร เขาก็เป็นแค่แรงจูงใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการบ่มเพาะตัวเองอย่างหนักของผม แต่แรงจูงใจที่สำคัญที่สุดของผม คือการที่ผมอาจถูกส่งไปยังแนวหน้าเมื่อสงครามปะทุขึ้น หากผมพัฒนาระดับการบ่มเพาะได้ ผมคงนอนหลับได้อย่างสบายใจ อีกอย่างผมก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมไม่อาจสลัดความคิดที่ว่าตำหนักสองกษัตริย์กำลังมีแผนร้ายอะไรที่จะใช้กับศิษย์ภายนอกที่เข้ามาใหม่อย่างเราไม่ได้เลย”เฟนด์มีเหตุผลที่ดีพอที่จะรู้สึกแบบนั้น หนึ่งคือนัยยะของโนเอล และสองคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับการแลกเปลี่ยนคะแนนสะสม ยิ่งไปกว่านั้นเฟนด์ก็ตระหนักดีว่าตำแหน่งของเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรใน ตำหนักได้ และเขาควรให้ความสำคัญกับการหาวิธีป้องกันตัวเองด้วยเพิ่มระดับการบ่มเพาะเพื่อที่เขาจะได้คู
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมมั่นใจ นอกจากนี้ทักษะทลายห้วงสุญญะยังมาพร้อมกับวิธีการอันเป็นประโยชน์ ตราบใดที่ผมมีไพ่ใบนี้ในมือ ก็เชื่อได้เลยว่าผมจะสามารถเอาชนะเวสลีย์ได้”แนชเลิกคิ้วด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ถูกปลุกขึ้น “วิธีการแบบไหนกัน?”“การบ่มเพาะทักษะทลายห้วงสุญญะไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มพลังและเพิ่มการสำรองพลังที่แท้จริงของผมเท่านั้น แต่มันยังทำให้ผมเข้าใจกฎแห่งสุญญะในเบื้องต้นด้วย เพราะมันประกอบด้วยกฎแห่งสุญญะ”เฟนด์อธิบายอย่างอดทน“กฎแห่งสุญญะ?” นี่เป็นครั้งแรกที่แนชได้ยินคำนี้ เขาสามารถเข้าใจความหมายจากคำพูดนี้ได้ แต่ไม่เคยเห็นมันด้วยตาตัวเองเฟนด์จิบชาและพูดว่า “ก็อย่างที่ผมบอกไง ผมเองก็เข้าใจมันแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ถ้าผมเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้แล้ว ผมจะแสดงให้พ่อดูว่าผมกำลังหมายถึงอะไร”แนชพยักหน้า เขายังคงกังวลว่าเฟนด์จะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับเวสลีย์ เขาถอนหายใจเบา ๆ และพูดว่า “พ่อรู้ว่าลูกรู้จักจุดแข็งของตัวเองดีที่สุด แต่ยังไงพ่อก็ต้องพูด บางครั้งความแตกต่างในเรื่องระดับบ่มเพาะก็ไม่ใช่สิ่งที่ลูกจะสามารถมองข้ามไปได้ ถ้าเวสลีย์อยู่สูงกว่าลูกหนึ่งระดับ ก็หมายความว่าเขาอยู่สูง
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ