“ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมมั่นใจ นอกจากนี้ทักษะทลายห้วงสุญญะยังมาพร้อมกับวิธีการอันเป็นประโยชน์ ตราบใดที่ผมมีไพ่ใบนี้ในมือ ก็เชื่อได้เลยว่าผมจะสามารถเอาชนะเวสลีย์ได้”แนชเลิกคิ้วด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ถูกปลุกขึ้น “วิธีการแบบไหนกัน?”“การบ่มเพาะทักษะทลายห้วงสุญญะไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มพลังและเพิ่มการสำรองพลังที่แท้จริงของผมเท่านั้น แต่มันยังทำให้ผมเข้าใจกฎแห่งสุญญะในเบื้องต้นด้วย เพราะมันประกอบด้วยกฎแห่งสุญญะ”เฟนด์อธิบายอย่างอดทน“กฎแห่งสุญญะ?” นี่เป็นครั้งแรกที่แนชได้ยินคำนี้ เขาสามารถเข้าใจความหมายจากคำพูดนี้ได้ แต่ไม่เคยเห็นมันด้วยตาตัวเองเฟนด์จิบชาและพูดว่า “ก็อย่างที่ผมบอกไง ผมเองก็เข้าใจมันแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ถ้าผมเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้แล้ว ผมจะแสดงให้พ่อดูว่าผมกำลังหมายถึงอะไร”แนชพยักหน้า เขายังคงกังวลว่าเฟนด์จะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับเวสลีย์ เขาถอนหายใจเบา ๆ และพูดว่า “พ่อรู้ว่าลูกรู้จักจุดแข็งของตัวเองดีที่สุด แต่ยังไงพ่อก็ต้องพูด บางครั้งความแตกต่างในเรื่องระดับบ่มเพาะก็ไม่ใช่สิ่งที่ลูกจะสามารถมองข้ามไปได้ ถ้าเวสลีย์อยู่สูงกว่าลูกหนึ่งระดับ ก็หมายความว่าเขาอยู่สูง
การเฝ้าดูการต่อสู้สามารถช่วยให้เข้าใจในความแข็งแกร่งของศิษย์คนอื่น ๆ และเพิ่มประสบการณ์การต่อสู้ได้ด้วย แม้ว่าอันดับปัจจุบันของเวสลีย์จะอยู่ที่หนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับนั้นในช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากศิษย์อาวุโสเซเยอร์ทำให้เขากลายเป็นคนดังของตำหนัก เขาจะก้าวขึ้นสู่สิบอันดับแรกในเวลาไม่นานอย่างแน่นอนแม้แต่ศิษย์ภายนอกที่อยู่ในห้าสิบอันดับแรกก็ยังไม่มีชื่อเสียงมากเท่ากับเวสลีย์ เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ไปถึงจุดนั้นได้เนื่องจากผ่านการฝึกมาอย่างยาวนานและเพิ่มพูนความแข็งแกร่งมาทีละเล็กทีละน้อย สิ่งที่พวกเขามีคือความอุตสาหะมากกว่าจะเป็นเพราะพรสวรรค์ และเวสลีย์ก็มีทั้งสองอย่างนี้อย่างล้นเหลือ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่การต่อสู้ของเขากับเดลได้รับความสนใจจากศิษย์ภายนอกมากมายเวสลีย์ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีของเหตุการณ์ในวันนี้กำลังนั่งอยู่ที่อัฒจันทร์พร้อมกับพวกไม่เอาไหนที่รายล้อมรอบตัวเขา คนไม่เอาถ่านเหล่านี้ต้องการเอาชนะใจเวสลีย์ และคำพูดคำจาของพวกเขาก็ดูคล้ายจะเคลือบด้วยน้ำผึ้ง ขณะนี้พวกเขาชมเชยเวสลีย์ไม่รู้จักจบสิ้น และแน่นอนว่าเวสล
นั่นไม่ใช่เรื่องยากที่สุดที่เขาต้องยอมรับ สิ่งที่ยากที่สุดในการยอมรับก็คงเป็นคำที่คนอื่นคอยเปรียบเทียบเขากับดันแคน และเขามักจะเป็นฝ่ายที่แย่ที่สุดเสมอ ทั้งที่เมื่อสักครู่เขาเพิ่งรู้สึกว่าพรสวรรค์ของเขาด้อยกว่าศิษย์ที่ถูกเลือกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ตอนนี้ภาพลวงตาเหล่านั้นได้ถูกทำลายลงจากการปรากฏตัวของดันแคน ไม่ว่าเขาจะคิดว่าตัวเองเก่งกาจเพียงใด ก็ไม่มีทางที่เขาจะหลอกใจตัวเองได้ว่าเขาเก่งกว่าดันแคน เพราะการดำรงอยู่ของดันแคนก็เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ทำให้ดาวดวงอื่น ๆ ต้องเลือนหายไปด้วยแสงอันทรงพลังของเขาผู้ชายที่มีตาสามเหลี่ยมรู้จักวิธีเลียแข้งเลียขาดีที่สุด เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าเวสลีย์รู้สึกแบบไหนและอย่างไร เขาจึงรีบพูดว่า “ความแข็งแกร่งของศิษย์พี่ดันแคนนั้นล้วนเป็นที่ประจักษ์ เพราะอย่างไรเสียเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเพียร์พอยท์ ศิษย์อาวุโสใหญ่ของตำหนักสองกษัตริย์ก็มาจากตระกูลเดียวกับเขา และถ้าผมเป็นเขา ผมก็จะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อสนับสนุนเขาเช่นกัน ภายใต้เงื่อนไขเหล่านั้นไม่ว่าใครหน้าไหน หรือแม้แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ที่แย่ที่สุดก็จะมีความก้าวหน้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ น
ชายผู้มีดวงตารูปสามเหลี่ยมกำลังมองไปที่เฟนด์ด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม เขาหัวเราะอย่างเย็นชาและพูดว่า “ดูเขาทำท่าทางเย็นชาราวกับว่าเขาไม่สนใจอะไรเลยสิ ถ้าเขาไม่สนใจจริงเขาคงไม่มาที่นี่หรอก เขาคงกลัวการที่ต้องประลองยุทธกับศิษย์พี่เวสลีย์แทบแย่เลยล่ะถึงได้มาที่นี่เพื่อหยั่งเชิงคุณ”ครั้งนี้ คำพูดของเขาไม่ได้มีขึ้นเพื่อประจบเวสลีย์เพียงเท่านั้น แต่มันเป็นเพราะว่าเขารำคาญอย่างที่สุดเมื่อเห็นเฟนด์ดูทำท่าราวกับไม่ใยดีกับอะไรในโลก ใครจะทำตัวแบบเขา? เขาคิดว่าแม้แต่ฮีโร่ที่แข็งแกร่งที่สุดจากทั่วทั้งทวีปเฮสเทียก็คงไม่ทำตัวเหมือนไอ้บ้าเลือดร้อนที่เก่งกาจเหนือใครแบบเขา อะไรทำให้เฟนด์มีสิทธิ์อะไรทำท่าทางแบบนี้? เขาก็เป็นแค่ศิษย์ภายนอกที่เพิ่งเข้ามาใหม่เท่านั้น!อีกทั้งเขายังเข้ามาในตำหนักสองกษัตริย์ด้วยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามช่องทางปกติ ถ้าไม่ใช่เพราะสงครามกำลังจะปะทุเขาคงไม่มีสิทธิ์เข้ามาเหยียบที่นี่ จริงอยู่ที่เฟนด์ได้รับการยกย่องจากศิษย์อาวุโสลี ในเรื่องความแข็งแกร่งของเขา แต่คำชมนั่นจะมีน้ำหนักสักเท่าไหร่กันเชียว? อันที่จริง เขาก็คงเหนือกว่าพวกเศษสวะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่สมควรที่จะได้ร
ท้ายที่สุดเฟนด์ได้เตรียมใจพร้อมสำหรับข่าวซุบซิบทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อการปรากฏตัวของเขาเป็นที่รู้กันในสนามประลองเดิมพันเช่นนี้ ถึงจะนั้นบรู๊คก็ไม่อาจทานทนต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเขา เนื่องจากเวสลีย์และพรรคพวกของเขาเอาแต่มองมาทางนี้ไม่หยุดบรู๊คถอนหายใจและกระซิบกับเฟนด์ว่า “ศิษย์พี่เฟนด์ระวังตัวด้วย คนพวกนั้นดูเหมือนจะมองเราด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไร ผมพนันได้เลยว่าเวสลีย์คงมีแผนร้ายอะไรอยู่ในใจเมื่อถึงคราวที่คุณกับเขาต้องประลองฝีมือกัน”เขามั่นใจเลยว่าเว้นเพียงการการฆ่าเฟนด์ เวสลีย์จะทำทุกอย่างและทำอย่างที่พูดแน่ เฟนด์ได้แต่พยักหน้า เขาก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน บรู๊คพบว่าเฟนด์ค่อนข้างสงบอย่างประหลาด แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเฟนด์มีพลังพิเศษ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถเอาชนะการประลองกับเวสลีย์ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการแข่งขันเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นศิษย์ที่ถูกเลือกหลังจากเข้าร่วมตำหนักได้เพียงครึ่งปี พลังยุทธและพรสวรรค์ของเวสลีย์เป็นสิ่งที่บรู๊คใฝ่ฝันมากที่สุด“ทำไมคุณดูไม่กังวลเลยล่ะ?” บรู๊คถามเมื่อเขาเห็นว่าเฟนด์ยังคงจ้องมองไปที่เวทีด้วยท่าทีเมินเฉย และกำลังร
“ฉันเฝ้ารอการต่อสู้ครั้งนี้มันนานมากแล้ว พวกเขามักจะขัดแข้งขัดขากันโดยที่ต่างฝ่ายต่างอยากที่จะเหยียบย่ำกันเสมอ จึงไม่แปลกเลยที่ศิษย์พี่เดลจะไม่เปิดโอกาสให้ศิษย์พี่เวสลีย์ได้จับผิดเขา”“บอกกันตามตรง ฉันไม่คิดว่าศิษย์พี่เวสลีย์ก็หาเรื่องเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่นี่หลายต่อหลายคน”“แน่นอน เขามักจะดูถูกผู้ที่ต่ำต้อยกว่าเสมอ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาถึงไม่เห็นหัวฉันตอนที่ฉันเอ่ยปากทักทาย! ตอนนั้นแหละที่ฉันพบว่าข่าวลือเรื่องนิสัยของเขาเป็นเรื่องจริง”ความคิดเห็นทั้งหมดของพวกเขาลอยเข้าหูของเฟนด์ นอกจากความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายแล้ว ดูเหมือนว่าเวสลีย์จะมีชื่อเสียงเรื่องเข้ากับคนได้ยาก แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะความเย่อหยิ่งของเขาทันทีที่เดลมาถึงอัฒจันทร์ชมการประลอง เขาก็เหลือบมองเวสลีย์แวบหนึ่งแล้วไปนั่งลงในจุดที่อยู่ไกลจากเวสลีย์ที่สุดทันที ดูเหมือนว่าข่าวลือที่ว่าพวกเขาไม่ลงรอยกันจะเป็นเรื่องจริง“ผมรู้สึกว่าศิษย์พี่เดลดูไม่ค่อยมั่นใจอะไรเท่าไหร่เลย” บรู๊คพูดพร้อมกับเลิกคิ้วเล็กน้อยเฟนด์พยักหน้า การแสดงออกของเดลดูเคร่งขรึมเล็กน้อย และในทางกลับกันเวสลีย์ดูไร้กังวลอย่างที่สุด
เวสลีย์โค้งคำนับให้แก่ผู้ดูแลแอมโบรสเล็กน้อยและกระซิบบางอย่างข้างหูเขาขณะชี้ไปที่เดล จากนั้น ผู้ดูแลแอมโบรสพยักหน้าและทำท่าทางให้เดลก้าวลงมาจากอัฒจันทร์ด้วยสายตา ดูเหมือนว่าทั้งเวสลีย์และเดลจะทักทายผู้ดูแลแอมโบรสขณะที่ทั้งสองฝ่ายเย็นประจันหน้ากัน“ศิษย์ภายนอกเวสลีย์ เซเยอร์ อันดับที่หนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดและศิษย์ภายนอกเดล วูดเวิร์ด อันดับที่หนึ่งร้อยสี่สิบสาม ได้ตกลงที่จะเดิมพันกันด้วยคะแนนสะสมจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบคะแนน ถ้าเวสลีย์ เซเยอร์ชนะการประลองในรอบนี้ พวกเขาจะสลับอันดับกัน และถ้าเดล วูดเวิร์ดชนะในรอบนี้ อันดับของพวกเขาก็จะไม่เปลี่ยนแปลง” ผู้ดูแลแอมโบรสพูดด้วยน้ำเสียงอันกึกก้องและก้าวออกจากลานประลองไปทันทีจากนั้นเขาก็อัญเชิญเกราะกำบังที่สร้างจากผลึกวิญญาณ ลานประลองแต่ละแห่งได้รับการอัญเชิญเกราะกำบังเพื่อป้องกันไม่ให้พลังพลาดเป้าไปกระทบกับผู้ที่รับชมการประลองอยู่เวสลีย์และเดลยังคงเผชิญหน้ากัน เดลขมวดคิ้วและดูคล้ายจะทำอะไรบางอย่างอยู่ ในขณะที่เวสลีย์ไม่แม้แต่จะสนใจที่จะมองเขาเลย แต่กลับมองไปยังเฟนด์ ซึ่งนั่นทำให้ผู้ชมคนอื่น ๆ หันมามองเฟนด์ตามไปด้วย สิ่งนี้ทำให้เฟนด์ ถึงกับพูดไม่ออ
ดาบเล่มดังกล่าวมีแสงระยิบระยับราวกับดวงดาวในทางช้างเผือก และจากรูปลักษณ์ของมัน ดูคล้ายว่ามันจะมีน้ำหนักไม่น้อย เดลเองก็หยิบสรรพาวุธของเขาออกมาจากแหวนยุทธเช่นกัน และสรรพาวุธที่เขาเลือกก็คือกริชคู่หนึ่งที่มีลวดลายสีแดงลึกลับเมื่อมองไปที่สรรพาวุธของคนทั้งสอง เฟนด์ก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว นับตั้งแต่มาถึงโลกนี้ เขาเคยสงสัยว่าเขาควรจะเลือกใช้สรรพาวุธที่เหมาะกับเขามากกว่านี้หรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว สรรพาวุธสามารถเพิ่มพลังยุทธได้เป็นอย่างมาก แต่ทักษะทลายห้วงสุญญะที่เขาฝึกฝนอยู่ตอนนี้คือทักษะธาตุวิญญาณ และสรรพาวุธธาตุวิญญาณก็เป็นหนึ่งในสรรพาวุธที่พบเจอได้ยากที่สุดเดลกำกริชในมือทั้งสองข้างแน่น และด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาดเขาก็ข้ามลานประลองไปได้อย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน สิ่งที่พวกเขาเห็นคือแสงสีแดงลึกลับจากกริชของเขาเท่านั้นเวสลีย์เย้ยหยัน นี่เป็นเหมือนของเด็กเล่นสำหรับเขา เขาเหวี่ยงดาบเอาไปในตอนที่เดลอยู่ห่างจากเขาไม่กี่ฟุต และดาบก็ฟาดลงมาที่เดลราวกับประกายดาวตก พลังของการโจมตีเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วจะทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงพลังอันพิเศษได้แล้ว เดลป้องกันการโจมตีจากดาบของเวสลีย์ด้วยกริชขอ