“ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมมั่นใจ นอกจากนี้ทักษะทลายห้วงสุญญะยังมาพร้อมกับวิธีการอันเป็นประโยชน์ ตราบใดที่ผมมีไพ่ใบนี้ในมือ ก็เชื่อได้เลยว่าผมจะสามารถเอาชนะเวสลีย์ได้”แนชเลิกคิ้วด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ถูกปลุกขึ้น “วิธีการแบบไหนกัน?”“การบ่มเพาะทักษะทลายห้วงสุญญะไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มพลังและเพิ่มการสำรองพลังที่แท้จริงของผมเท่านั้น แต่มันยังทำให้ผมเข้าใจกฎแห่งสุญญะในเบื้องต้นด้วย เพราะมันประกอบด้วยกฎแห่งสุญญะ”เฟนด์อธิบายอย่างอดทน“กฎแห่งสุญญะ?” นี่เป็นครั้งแรกที่แนชได้ยินคำนี้ เขาสามารถเข้าใจความหมายจากคำพูดนี้ได้ แต่ไม่เคยเห็นมันด้วยตาตัวเองเฟนด์จิบชาและพูดว่า “ก็อย่างที่ผมบอกไง ผมเองก็เข้าใจมันแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ถ้าผมเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้แล้ว ผมจะแสดงให้พ่อดูว่าผมกำลังหมายถึงอะไร”แนชพยักหน้า เขายังคงกังวลว่าเฟนด์จะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับเวสลีย์ เขาถอนหายใจเบา ๆ และพูดว่า “พ่อรู้ว่าลูกรู้จักจุดแข็งของตัวเองดีที่สุด แต่ยังไงพ่อก็ต้องพูด บางครั้งความแตกต่างในเรื่องระดับบ่มเพาะก็ไม่ใช่สิ่งที่ลูกจะสามารถมองข้ามไปได้ ถ้าเวสลีย์อยู่สูงกว่าลูกหนึ่งระดับ ก็หมายความว่าเขาอยู่สูง
การเฝ้าดูการต่อสู้สามารถช่วยให้เข้าใจในความแข็งแกร่งของศิษย์คนอื่น ๆ และเพิ่มประสบการณ์การต่อสู้ได้ด้วย แม้ว่าอันดับปัจจุบันของเวสลีย์จะอยู่ที่หนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับนั้นในช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากศิษย์อาวุโสเซเยอร์ทำให้เขากลายเป็นคนดังของตำหนัก เขาจะก้าวขึ้นสู่สิบอันดับแรกในเวลาไม่นานอย่างแน่นอนแม้แต่ศิษย์ภายนอกที่อยู่ในห้าสิบอันดับแรกก็ยังไม่มีชื่อเสียงมากเท่ากับเวสลีย์ เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ไปถึงจุดนั้นได้เนื่องจากผ่านการฝึกมาอย่างยาวนานและเพิ่มพูนความแข็งแกร่งมาทีละเล็กทีละน้อย สิ่งที่พวกเขามีคือความอุตสาหะมากกว่าจะเป็นเพราะพรสวรรค์ และเวสลีย์ก็มีทั้งสองอย่างนี้อย่างล้นเหลือ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่การต่อสู้ของเขากับเดลได้รับความสนใจจากศิษย์ภายนอกมากมายเวสลีย์ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีของเหตุการณ์ในวันนี้กำลังนั่งอยู่ที่อัฒจันทร์พร้อมกับพวกไม่เอาไหนที่รายล้อมรอบตัวเขา คนไม่เอาถ่านเหล่านี้ต้องการเอาชนะใจเวสลีย์ และคำพูดคำจาของพวกเขาก็ดูคล้ายจะเคลือบด้วยน้ำผึ้ง ขณะนี้พวกเขาชมเชยเวสลีย์ไม่รู้จักจบสิ้น และแน่นอนว่าเวสล
นั่นไม่ใช่เรื่องยากที่สุดที่เขาต้องยอมรับ สิ่งที่ยากที่สุดในการยอมรับก็คงเป็นคำที่คนอื่นคอยเปรียบเทียบเขากับดันแคน และเขามักจะเป็นฝ่ายที่แย่ที่สุดเสมอ ทั้งที่เมื่อสักครู่เขาเพิ่งรู้สึกว่าพรสวรรค์ของเขาด้อยกว่าศิษย์ที่ถูกเลือกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ตอนนี้ภาพลวงตาเหล่านั้นได้ถูกทำลายลงจากการปรากฏตัวของดันแคน ไม่ว่าเขาจะคิดว่าตัวเองเก่งกาจเพียงใด ก็ไม่มีทางที่เขาจะหลอกใจตัวเองได้ว่าเขาเก่งกว่าดันแคน เพราะการดำรงอยู่ของดันแคนก็เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ทำให้ดาวดวงอื่น ๆ ต้องเลือนหายไปด้วยแสงอันทรงพลังของเขาผู้ชายที่มีตาสามเหลี่ยมรู้จักวิธีเลียแข้งเลียขาดีที่สุด เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าเวสลีย์รู้สึกแบบไหนและอย่างไร เขาจึงรีบพูดว่า “ความแข็งแกร่งของศิษย์พี่ดันแคนนั้นล้วนเป็นที่ประจักษ์ เพราะอย่างไรเสียเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเพียร์พอยท์ ศิษย์อาวุโสใหญ่ของตำหนักสองกษัตริย์ก็มาจากตระกูลเดียวกับเขา และถ้าผมเป็นเขา ผมก็จะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อสนับสนุนเขาเช่นกัน ภายใต้เงื่อนไขเหล่านั้นไม่ว่าใครหน้าไหน หรือแม้แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ที่แย่ที่สุดก็จะมีความก้าวหน้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ น
ชายผู้มีดวงตารูปสามเหลี่ยมกำลังมองไปที่เฟนด์ด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม เขาหัวเราะอย่างเย็นชาและพูดว่า “ดูเขาทำท่าทางเย็นชาราวกับว่าเขาไม่สนใจอะไรเลยสิ ถ้าเขาไม่สนใจจริงเขาคงไม่มาที่นี่หรอก เขาคงกลัวการที่ต้องประลองยุทธกับศิษย์พี่เวสลีย์แทบแย่เลยล่ะถึงได้มาที่นี่เพื่อหยั่งเชิงคุณ”ครั้งนี้ คำพูดของเขาไม่ได้มีขึ้นเพื่อประจบเวสลีย์เพียงเท่านั้น แต่มันเป็นเพราะว่าเขารำคาญอย่างที่สุดเมื่อเห็นเฟนด์ดูทำท่าราวกับไม่ใยดีกับอะไรในโลก ใครจะทำตัวแบบเขา? เขาคิดว่าแม้แต่ฮีโร่ที่แข็งแกร่งที่สุดจากทั่วทั้งทวีปเฮสเทียก็คงไม่ทำตัวเหมือนไอ้บ้าเลือดร้อนที่เก่งกาจเหนือใครแบบเขา อะไรทำให้เฟนด์มีสิทธิ์อะไรทำท่าทางแบบนี้? เขาก็เป็นแค่ศิษย์ภายนอกที่เพิ่งเข้ามาใหม่เท่านั้น!อีกทั้งเขายังเข้ามาในตำหนักสองกษัตริย์ด้วยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามช่องทางปกติ ถ้าไม่ใช่เพราะสงครามกำลังจะปะทุเขาคงไม่มีสิทธิ์เข้ามาเหยียบที่นี่ จริงอยู่ที่เฟนด์ได้รับการยกย่องจากศิษย์อาวุโสลี ในเรื่องความแข็งแกร่งของเขา แต่คำชมนั่นจะมีน้ำหนักสักเท่าไหร่กันเชียว? อันที่จริง เขาก็คงเหนือกว่าพวกเศษสวะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่สมควรที่จะได้ร
ท้ายที่สุดเฟนด์ได้เตรียมใจพร้อมสำหรับข่าวซุบซิบทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อการปรากฏตัวของเขาเป็นที่รู้กันในสนามประลองเดิมพันเช่นนี้ ถึงจะนั้นบรู๊คก็ไม่อาจทานทนต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเขา เนื่องจากเวสลีย์และพรรคพวกของเขาเอาแต่มองมาทางนี้ไม่หยุดบรู๊คถอนหายใจและกระซิบกับเฟนด์ว่า “ศิษย์พี่เฟนด์ระวังตัวด้วย คนพวกนั้นดูเหมือนจะมองเราด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไร ผมพนันได้เลยว่าเวสลีย์คงมีแผนร้ายอะไรอยู่ในใจเมื่อถึงคราวที่คุณกับเขาต้องประลองฝีมือกัน”เขามั่นใจเลยว่าเว้นเพียงการการฆ่าเฟนด์ เวสลีย์จะทำทุกอย่างและทำอย่างที่พูดแน่ เฟนด์ได้แต่พยักหน้า เขาก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน บรู๊คพบว่าเฟนด์ค่อนข้างสงบอย่างประหลาด แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเฟนด์มีพลังพิเศษ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถเอาชนะการประลองกับเวสลีย์ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการแข่งขันเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นศิษย์ที่ถูกเลือกหลังจากเข้าร่วมตำหนักได้เพียงครึ่งปี พลังยุทธและพรสวรรค์ของเวสลีย์เป็นสิ่งที่บรู๊คใฝ่ฝันมากที่สุด“ทำไมคุณดูไม่กังวลเลยล่ะ?” บรู๊คถามเมื่อเขาเห็นว่าเฟนด์ยังคงจ้องมองไปที่เวทีด้วยท่าทีเมินเฉย และกำลังร
“ฉันเฝ้ารอการต่อสู้ครั้งนี้มันนานมากแล้ว พวกเขามักจะขัดแข้งขัดขากันโดยที่ต่างฝ่ายต่างอยากที่จะเหยียบย่ำกันเสมอ จึงไม่แปลกเลยที่ศิษย์พี่เดลจะไม่เปิดโอกาสให้ศิษย์พี่เวสลีย์ได้จับผิดเขา”“บอกกันตามตรง ฉันไม่คิดว่าศิษย์พี่เวสลีย์ก็หาเรื่องเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่นี่หลายต่อหลายคน”“แน่นอน เขามักจะดูถูกผู้ที่ต่ำต้อยกว่าเสมอ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาถึงไม่เห็นหัวฉันตอนที่ฉันเอ่ยปากทักทาย! ตอนนั้นแหละที่ฉันพบว่าข่าวลือเรื่องนิสัยของเขาเป็นเรื่องจริง”ความคิดเห็นทั้งหมดของพวกเขาลอยเข้าหูของเฟนด์ นอกจากความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายแล้ว ดูเหมือนว่าเวสลีย์จะมีชื่อเสียงเรื่องเข้ากับคนได้ยาก แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะความเย่อหยิ่งของเขาทันทีที่เดลมาถึงอัฒจันทร์ชมการประลอง เขาก็เหลือบมองเวสลีย์แวบหนึ่งแล้วไปนั่งลงในจุดที่อยู่ไกลจากเวสลีย์ที่สุดทันที ดูเหมือนว่าข่าวลือที่ว่าพวกเขาไม่ลงรอยกันจะเป็นเรื่องจริง“ผมรู้สึกว่าศิษย์พี่เดลดูไม่ค่อยมั่นใจอะไรเท่าไหร่เลย” บรู๊คพูดพร้อมกับเลิกคิ้วเล็กน้อยเฟนด์พยักหน้า การแสดงออกของเดลดูเคร่งขรึมเล็กน้อย และในทางกลับกันเวสลีย์ดูไร้กังวลอย่างที่สุด
เวสลีย์โค้งคำนับให้แก่ผู้ดูแลแอมโบรสเล็กน้อยและกระซิบบางอย่างข้างหูเขาขณะชี้ไปที่เดล จากนั้น ผู้ดูแลแอมโบรสพยักหน้าและทำท่าทางให้เดลก้าวลงมาจากอัฒจันทร์ด้วยสายตา ดูเหมือนว่าทั้งเวสลีย์และเดลจะทักทายผู้ดูแลแอมโบรสขณะที่ทั้งสองฝ่ายเย็นประจันหน้ากัน“ศิษย์ภายนอกเวสลีย์ เซเยอร์ อันดับที่หนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดและศิษย์ภายนอกเดล วูดเวิร์ด อันดับที่หนึ่งร้อยสี่สิบสาม ได้ตกลงที่จะเดิมพันกันด้วยคะแนนสะสมจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบคะแนน ถ้าเวสลีย์ เซเยอร์ชนะการประลองในรอบนี้ พวกเขาจะสลับอันดับกัน และถ้าเดล วูดเวิร์ดชนะในรอบนี้ อันดับของพวกเขาก็จะไม่เปลี่ยนแปลง” ผู้ดูแลแอมโบรสพูดด้วยน้ำเสียงอันกึกก้องและก้าวออกจากลานประลองไปทันทีจากนั้นเขาก็อัญเชิญเกราะกำบังที่สร้างจากผลึกวิญญาณ ลานประลองแต่ละแห่งได้รับการอัญเชิญเกราะกำบังเพื่อป้องกันไม่ให้พลังพลาดเป้าไปกระทบกับผู้ที่รับชมการประลองอยู่เวสลีย์และเดลยังคงเผชิญหน้ากัน เดลขมวดคิ้วและดูคล้ายจะทำอะไรบางอย่างอยู่ ในขณะที่เวสลีย์ไม่แม้แต่จะสนใจที่จะมองเขาเลย แต่กลับมองไปยังเฟนด์ ซึ่งนั่นทำให้ผู้ชมคนอื่น ๆ หันมามองเฟนด์ตามไปด้วย สิ่งนี้ทำให้เฟนด์ ถึงกับพูดไม่ออ
ดาบเล่มดังกล่าวมีแสงระยิบระยับราวกับดวงดาวในทางช้างเผือก และจากรูปลักษณ์ของมัน ดูคล้ายว่ามันจะมีน้ำหนักไม่น้อย เดลเองก็หยิบสรรพาวุธของเขาออกมาจากแหวนยุทธเช่นกัน และสรรพาวุธที่เขาเลือกก็คือกริชคู่หนึ่งที่มีลวดลายสีแดงลึกลับเมื่อมองไปที่สรรพาวุธของคนทั้งสอง เฟนด์ก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว นับตั้งแต่มาถึงโลกนี้ เขาเคยสงสัยว่าเขาควรจะเลือกใช้สรรพาวุธที่เหมาะกับเขามากกว่านี้หรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว สรรพาวุธสามารถเพิ่มพลังยุทธได้เป็นอย่างมาก แต่ทักษะทลายห้วงสุญญะที่เขาฝึกฝนอยู่ตอนนี้คือทักษะธาตุวิญญาณ และสรรพาวุธธาตุวิญญาณก็เป็นหนึ่งในสรรพาวุธที่พบเจอได้ยากที่สุดเดลกำกริชในมือทั้งสองข้างแน่น และด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาดเขาก็ข้ามลานประลองไปได้อย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน สิ่งที่พวกเขาเห็นคือแสงสีแดงลึกลับจากกริชของเขาเท่านั้นเวสลีย์เย้ยหยัน นี่เป็นเหมือนของเด็กเล่นสำหรับเขา เขาเหวี่ยงดาบเอาไปในตอนที่เดลอยู่ห่างจากเขาไม่กี่ฟุต และดาบก็ฟาดลงมาที่เดลราวกับประกายดาวตก พลังของการโจมตีเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วจะทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงพลังอันพิเศษได้แล้ว เดลป้องกันการโจมตีจากดาบของเวสลีย์ด้วยกริชขอ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ