นั่นไม่ใช่เรื่องยากที่สุดที่เขาต้องยอมรับ สิ่งที่ยากที่สุดในการยอมรับก็คงเป็นคำที่คนอื่นคอยเปรียบเทียบเขากับดันแคน และเขามักจะเป็นฝ่ายที่แย่ที่สุดเสมอ ทั้งที่เมื่อสักครู่เขาเพิ่งรู้สึกว่าพรสวรรค์ของเขาด้อยกว่าศิษย์ที่ถูกเลือกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ตอนนี้ภาพลวงตาเหล่านั้นได้ถูกทำลายลงจากการปรากฏตัวของดันแคน ไม่ว่าเขาจะคิดว่าตัวเองเก่งกาจเพียงใด ก็ไม่มีทางที่เขาจะหลอกใจตัวเองได้ว่าเขาเก่งกว่าดันแคน เพราะการดำรงอยู่ของดันแคนก็เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ทำให้ดาวดวงอื่น ๆ ต้องเลือนหายไปด้วยแสงอันทรงพลังของเขาผู้ชายที่มีตาสามเหลี่ยมรู้จักวิธีเลียแข้งเลียขาดีที่สุด เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าเวสลีย์รู้สึกแบบไหนและอย่างไร เขาจึงรีบพูดว่า “ความแข็งแกร่งของศิษย์พี่ดันแคนนั้นล้วนเป็นที่ประจักษ์ เพราะอย่างไรเสียเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเพียร์พอยท์ ศิษย์อาวุโสใหญ่ของตำหนักสองกษัตริย์ก็มาจากตระกูลเดียวกับเขา และถ้าผมเป็นเขา ผมก็จะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อสนับสนุนเขาเช่นกัน ภายใต้เงื่อนไขเหล่านั้นไม่ว่าใครหน้าไหน หรือแม้แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ที่แย่ที่สุดก็จะมีความก้าวหน้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้ น
ชายผู้มีดวงตารูปสามเหลี่ยมกำลังมองไปที่เฟนด์ด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม เขาหัวเราะอย่างเย็นชาและพูดว่า “ดูเขาทำท่าทางเย็นชาราวกับว่าเขาไม่สนใจอะไรเลยสิ ถ้าเขาไม่สนใจจริงเขาคงไม่มาที่นี่หรอก เขาคงกลัวการที่ต้องประลองยุทธกับศิษย์พี่เวสลีย์แทบแย่เลยล่ะถึงได้มาที่นี่เพื่อหยั่งเชิงคุณ”ครั้งนี้ คำพูดของเขาไม่ได้มีขึ้นเพื่อประจบเวสลีย์เพียงเท่านั้น แต่มันเป็นเพราะว่าเขารำคาญอย่างที่สุดเมื่อเห็นเฟนด์ดูทำท่าราวกับไม่ใยดีกับอะไรในโลก ใครจะทำตัวแบบเขา? เขาคิดว่าแม้แต่ฮีโร่ที่แข็งแกร่งที่สุดจากทั่วทั้งทวีปเฮสเทียก็คงไม่ทำตัวเหมือนไอ้บ้าเลือดร้อนที่เก่งกาจเหนือใครแบบเขา อะไรทำให้เฟนด์มีสิทธิ์อะไรทำท่าทางแบบนี้? เขาก็เป็นแค่ศิษย์ภายนอกที่เพิ่งเข้ามาใหม่เท่านั้น!อีกทั้งเขายังเข้ามาในตำหนักสองกษัตริย์ด้วยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามช่องทางปกติ ถ้าไม่ใช่เพราะสงครามกำลังจะปะทุเขาคงไม่มีสิทธิ์เข้ามาเหยียบที่นี่ จริงอยู่ที่เฟนด์ได้รับการยกย่องจากศิษย์อาวุโสลี ในเรื่องความแข็งแกร่งของเขา แต่คำชมนั่นจะมีน้ำหนักสักเท่าไหร่กันเชียว? อันที่จริง เขาก็คงเหนือกว่าพวกเศษสวะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่สมควรที่จะได้ร
ท้ายที่สุดเฟนด์ได้เตรียมใจพร้อมสำหรับข่าวซุบซิบทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อการปรากฏตัวของเขาเป็นที่รู้กันในสนามประลองเดิมพันเช่นนี้ ถึงจะนั้นบรู๊คก็ไม่อาจทานทนต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเขา เนื่องจากเวสลีย์และพรรคพวกของเขาเอาแต่มองมาทางนี้ไม่หยุดบรู๊คถอนหายใจและกระซิบกับเฟนด์ว่า “ศิษย์พี่เฟนด์ระวังตัวด้วย คนพวกนั้นดูเหมือนจะมองเราด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไร ผมพนันได้เลยว่าเวสลีย์คงมีแผนร้ายอะไรอยู่ในใจเมื่อถึงคราวที่คุณกับเขาต้องประลองฝีมือกัน”เขามั่นใจเลยว่าเว้นเพียงการการฆ่าเฟนด์ เวสลีย์จะทำทุกอย่างและทำอย่างที่พูดแน่ เฟนด์ได้แต่พยักหน้า เขาก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน บรู๊คพบว่าเฟนด์ค่อนข้างสงบอย่างประหลาด แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเฟนด์มีพลังพิเศษ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถเอาชนะการประลองกับเวสลีย์ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการแข่งขันเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นศิษย์ที่ถูกเลือกหลังจากเข้าร่วมตำหนักได้เพียงครึ่งปี พลังยุทธและพรสวรรค์ของเวสลีย์เป็นสิ่งที่บรู๊คใฝ่ฝันมากที่สุด“ทำไมคุณดูไม่กังวลเลยล่ะ?” บรู๊คถามเมื่อเขาเห็นว่าเฟนด์ยังคงจ้องมองไปที่เวทีด้วยท่าทีเมินเฉย และกำลังร
“ฉันเฝ้ารอการต่อสู้ครั้งนี้มันนานมากแล้ว พวกเขามักจะขัดแข้งขัดขากันโดยที่ต่างฝ่ายต่างอยากที่จะเหยียบย่ำกันเสมอ จึงไม่แปลกเลยที่ศิษย์พี่เดลจะไม่เปิดโอกาสให้ศิษย์พี่เวสลีย์ได้จับผิดเขา”“บอกกันตามตรง ฉันไม่คิดว่าศิษย์พี่เวสลีย์ก็หาเรื่องเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่นี่หลายต่อหลายคน”“แน่นอน เขามักจะดูถูกผู้ที่ต่ำต้อยกว่าเสมอ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาถึงไม่เห็นหัวฉันตอนที่ฉันเอ่ยปากทักทาย! ตอนนั้นแหละที่ฉันพบว่าข่าวลือเรื่องนิสัยของเขาเป็นเรื่องจริง”ความคิดเห็นทั้งหมดของพวกเขาลอยเข้าหูของเฟนด์ นอกจากความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายแล้ว ดูเหมือนว่าเวสลีย์จะมีชื่อเสียงเรื่องเข้ากับคนได้ยาก แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะความเย่อหยิ่งของเขาทันทีที่เดลมาถึงอัฒจันทร์ชมการประลอง เขาก็เหลือบมองเวสลีย์แวบหนึ่งแล้วไปนั่งลงในจุดที่อยู่ไกลจากเวสลีย์ที่สุดทันที ดูเหมือนว่าข่าวลือที่ว่าพวกเขาไม่ลงรอยกันจะเป็นเรื่องจริง“ผมรู้สึกว่าศิษย์พี่เดลดูไม่ค่อยมั่นใจอะไรเท่าไหร่เลย” บรู๊คพูดพร้อมกับเลิกคิ้วเล็กน้อยเฟนด์พยักหน้า การแสดงออกของเดลดูเคร่งขรึมเล็กน้อย และในทางกลับกันเวสลีย์ดูไร้กังวลอย่างที่สุด
เวสลีย์โค้งคำนับให้แก่ผู้ดูแลแอมโบรสเล็กน้อยและกระซิบบางอย่างข้างหูเขาขณะชี้ไปที่เดล จากนั้น ผู้ดูแลแอมโบรสพยักหน้าและทำท่าทางให้เดลก้าวลงมาจากอัฒจันทร์ด้วยสายตา ดูเหมือนว่าทั้งเวสลีย์และเดลจะทักทายผู้ดูแลแอมโบรสขณะที่ทั้งสองฝ่ายเย็นประจันหน้ากัน“ศิษย์ภายนอกเวสลีย์ เซเยอร์ อันดับที่หนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดและศิษย์ภายนอกเดล วูดเวิร์ด อันดับที่หนึ่งร้อยสี่สิบสาม ได้ตกลงที่จะเดิมพันกันด้วยคะแนนสะสมจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบคะแนน ถ้าเวสลีย์ เซเยอร์ชนะการประลองในรอบนี้ พวกเขาจะสลับอันดับกัน และถ้าเดล วูดเวิร์ดชนะในรอบนี้ อันดับของพวกเขาก็จะไม่เปลี่ยนแปลง” ผู้ดูแลแอมโบรสพูดด้วยน้ำเสียงอันกึกก้องและก้าวออกจากลานประลองไปทันทีจากนั้นเขาก็อัญเชิญเกราะกำบังที่สร้างจากผลึกวิญญาณ ลานประลองแต่ละแห่งได้รับการอัญเชิญเกราะกำบังเพื่อป้องกันไม่ให้พลังพลาดเป้าไปกระทบกับผู้ที่รับชมการประลองอยู่เวสลีย์และเดลยังคงเผชิญหน้ากัน เดลขมวดคิ้วและดูคล้ายจะทำอะไรบางอย่างอยู่ ในขณะที่เวสลีย์ไม่แม้แต่จะสนใจที่จะมองเขาเลย แต่กลับมองไปยังเฟนด์ ซึ่งนั่นทำให้ผู้ชมคนอื่น ๆ หันมามองเฟนด์ตามไปด้วย สิ่งนี้ทำให้เฟนด์ ถึงกับพูดไม่ออ
ดาบเล่มดังกล่าวมีแสงระยิบระยับราวกับดวงดาวในทางช้างเผือก และจากรูปลักษณ์ของมัน ดูคล้ายว่ามันจะมีน้ำหนักไม่น้อย เดลเองก็หยิบสรรพาวุธของเขาออกมาจากแหวนยุทธเช่นกัน และสรรพาวุธที่เขาเลือกก็คือกริชคู่หนึ่งที่มีลวดลายสีแดงลึกลับเมื่อมองไปที่สรรพาวุธของคนทั้งสอง เฟนด์ก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว นับตั้งแต่มาถึงโลกนี้ เขาเคยสงสัยว่าเขาควรจะเลือกใช้สรรพาวุธที่เหมาะกับเขามากกว่านี้หรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว สรรพาวุธสามารถเพิ่มพลังยุทธได้เป็นอย่างมาก แต่ทักษะทลายห้วงสุญญะที่เขาฝึกฝนอยู่ตอนนี้คือทักษะธาตุวิญญาณ และสรรพาวุธธาตุวิญญาณก็เป็นหนึ่งในสรรพาวุธที่พบเจอได้ยากที่สุดเดลกำกริชในมือทั้งสองข้างแน่น และด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาดเขาก็ข้ามลานประลองไปได้อย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน สิ่งที่พวกเขาเห็นคือแสงสีแดงลึกลับจากกริชของเขาเท่านั้นเวสลีย์เย้ยหยัน นี่เป็นเหมือนของเด็กเล่นสำหรับเขา เขาเหวี่ยงดาบเอาไปในตอนที่เดลอยู่ห่างจากเขาไม่กี่ฟุต และดาบก็ฟาดลงมาที่เดลราวกับประกายดาวตก พลังของการโจมตีเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วจะทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงพลังอันพิเศษได้แล้ว เดลป้องกันการโจมตีจากดาบของเวสลีย์ด้วยกริชขอ
“เขาคงอยู่ขั้นต้นสินะ” เฟนด์ตอบในขณะที่คนทั้งสองบนลานประลองกำลังเข้าสู่การต่อสู้ที่ดุเดือดคำตอบของเฟนด์ทำให้โนเอลซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับลานประลองหันขวับกลับมามองเขาด้วยสีหน้าสิ้นสงสัยเลยว่าเขาบ้าไปแล้ว“ขั้นต้นที่นายพูดถึงมันหมายความว่ายังไง? อย่าบอกนะว่านายไม่รู้ว่าเราไม่ได้แบ่งระดับของทักษะยุทธเป็นระดับต้นกลางสูง?”มุมปากของเฟนด์กระตุก ไม่แปลกเลยที่เขาจะไม่รู้ว่าโลกใบนี้มีการจัดระเบียบทักษะอย่างไร เพราะถึงอย่างไรชิ้นส่วนวิญญาณที่เขาได้รับไม่ใช่ของคนจากทวีปเฮสเทียเมื่อได้เห็นสีหน้าท่าทางของเฟนด์ โนเอลก็ได้คำตอบแล้ว “ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่าที่ผ่านมานายอยู่แต่ในถ้ำหรือเปล่า? นี่นายไม่รู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?” โนเอลกล่าวด้วยท่าทางหน่ายใจเฟนด์กระแอมเบา ๆ ในขณะที่พยายามคิดว่าจะตอบโนเอลอย่างไร "คุณพูดถูกแล้วล่ะ ที่ผ่านมาผมอาศัยอยู่แต่ในถ้ำ แล้วผมก็หวังว่าคุณจะยินดีให้ผมถามเรื่องพวกนี้ ว่ากันว่าใคร ๆ ก็สามารถเป็นอาจารย์คนได้ เพราะงั้นตอนนี้คุณก็เป็นอาจารย์ของผมแล้ว”เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเฟนด์ทำให้โนเอลต้องตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้ ขณะที่เขาเริ่มอธิบายถึงระบบการจัดอันดับที่มีในทวีปเฮสเทียด้ว
วิหคเพลิงบินไปทั่วบริเวณและทิ้งร่องรอยของเปลวไฟไว้ในทุกที่ที่มันบินผ่าน นกแต่ละตัวถือกำเนิดขึ้นจากเปลวไฟ แม้แต่ขนนกก็ยังขดเป็นลวดลายของไฟ“นี่เป็นทักษะที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เดลเคยใช้ ถ้าฉันจำไม่ผิด วิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ในขั้นกลางระดับโลหิตเช่นกัน แต่มันยากที่จะบอกได้ในทันทีว่าระดับการบ่มเพาะทักษะยุทธ์ของเขาอยู่ในขั้นใด เขาอาจอยู่ในขั้นเดียวกับเวสลีย์ก็เป็นได้”ประกายสีแดงเพลิงกระจายอยู่ทั่วลานประลองซึ่งสะท้อนอยู่ในสายตาของผู้ชมทุกคน เดลร่ายทักษะแสนรุนแรงนี้ออกมาเนื่องจากมันเป็นทักษะธาตุไฟที่เขาถนัดที่สุด เมื่อเขาตระหนักว่าเขาเทียบกับเวสลีย์ไม่ได้ เขารู้ดีว่ายิ่งยืดเยื้อเขาก็จะยิ่งเสียเปรียบเขาเหวี่ยงกริชสีแดงเพลิงทั้งสองเล่มขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาสามารถควบคุมกริชได้ด้วยความคิดของเขา ทันใดนั้นกริชก็ผสานเข้ากับวิหคเพลิง และทุกคนรู้ว่านี่จะเป็นการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเขา“เสร็จฉันแน่ ไอ้ขี้แพ้!” เดลตะโกนด้วยความโกรธ ทันใดนั้น วิหคเพลิงทั้งหมดก็พุ่งเข้าใส่เวสลีย์อย่างบ้าคลั่ง ทำให้สภาพแวดล้อมรอบตัวเขากลายเป็นสีแดง กลับกันใบหน้าที่สงบและซีดเซียวของเขาดูเหมือนจะถมึงทึงในขณะที่ดาบใ