ในตอนเช้าเฟนด์กลัวว่าผู้คนในกองทัพทั้งเก้าจะรู้ว่าเขากำลังบ่มเพาะโอสถ ดังนั้นเขาจึงบ่มเพาะตัวเองอยู่ในห้อง เขานั่งขัดสมาธิ พยายามรักษาระดับการบ่มเพาะของตัวเองให้คงที่บ่อรวมพลังฉีในร่างกายของเขามีขนาดใหญ่กว่าเมื่อก่อนมากและมันช่วยให้เฟนด์เพิ่มระดับการบ่มเพาะของเขาอย่างช้า ๆ เขาพยายามทำให้ระดับพลังยุทธของตนเองมั่นคงขึ้น เขาอาจไปถึงช่วงกลางของขั้นที่เจ็ดระดับเทพสูงสุด และใกล้จะถึงช่วงปลายแล้วหลังจากบ่มเพาะมาระยะหนึ่ง เฟนด์ก็ลืมตาขึ้นและตระหนักได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนริมฝีปากของเขา “พิจารณาจากความเร็วในการบ่มเพาะตัวเองของฉัน ฉันแค่ต้องบ่มเพาะในระหว่างวันเป็นเวลาอย่างน้อยห้าหรือหกวัน แล้วฉันก็จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นที่แปดของระดับเทพสูงสุดได้โดยไม่ต้องใช้โอสถแม้แต่เม็ดเดียว หากเป็นเช่นนั้นฉันน่าจะสามารถบ่มเพาะโอสถชั้นยอดระดับสามได้ เมื่อฉันมีโอสถชั้นยอดระดับสาม ฉันจะรักษาระดับการบ่มเพาะของฉันให้คงที่และสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับทะลวงวิญญาณได้ก่อนการเลือกตั้ง”เฟนด์รู้ดีว่าถ้าเขาสามารถบ่มเพาะโอสถชั้นยอดระดับสามในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นยอดระดับสามได้
ยิ่งไปกว่านั้น มีเพียงส่วนผสมการเล่นแร่แปรธาตุที่เพียงพอและผ่านความล้มเหลวในการเล่นแร่แปรธาตุหลายต่อหลายครั้งเท่านั้น คน ๆ หนึ่งจึงจะสามารถบ่มเพาะตนเองและกลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสูงขึ้นไปอีกได้เฟนด์พลิกฝ่ามือและนำส่วนผสมการเล่นแร่แปรธาตุออกมา จากนั้นเขาก็หยิบเตาหลอมยาออกมาและเริ่มบ่มเพาะโอสถในทันทีเวลาผ่านไปเร็วมาก เฟนด์พยายามบ่มเพาะโอสถห้าครั้งอยู่ตลอดทั้งคืนน่าเสียดายที่ไม่มีความพยายามเหล่านั้นสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียวอย่างไรก็ตามเฟนด์ได้ทำนายเรื่องนี้ไว้แล้ว การจะบ่มเพราะโอสถให้สำเร็จนั้นถือเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่โชคดีที่ในยามค่ำคืนนั้นเฟนด์พัฒนาไปได้มาก เขาพอใจกับความก้าวหน้าของตัวเองพอดูวันเวลาล่วงเลยไป เฟนด์ออกไปเดินเล่นในระหว่างวัน ก่อนที่จะกลับไปที่ห้องของเขาเพื่อบ่มเพาะตัวเองต่อ ในช่วงกลางคืน เขาจะสงบสติอารมณ์เพื่อบ่มเพาะโอสถในคืนที่หก ในที่สุดเฟนด์ก็ประสบความสำเร็จขณะที่เขาบ่มเพาะโอสถครั้งที่สอง"ฉันทำได้แล้ว ในที่สุดฉันก็ทำได้ นี่มันยอดเยี่ยมมากจริง ๆ!”สีหน้าของเฟนด์ถูกสลักไปด้วยความตื่นเต้นขนาดที่เขามองไปที่โอสถในมือ กลิ่นหอมของสมุนไพรโชยออกมาจากมัน เขา
“ดีจริง ๆ นี่มันดีมาก ๆ ในที่สุดฉันก็ทะลวงไปได้อีกขั้นสำเร็จแล้ว!”ในขณะที่เฟนด์กำลังเตรียมตัวออกไปเดินเล่น เซเลน่าก็วิ่งเข้ามาอย่างมีความสุข"จริงเหรอ? นั่นช่างวิเศษสุด ๆ ถ้าอย่างนั้นคุณก็อยู่ขั้นกลางของระดับเทพแท้จริงแล้วสิ ที่รัก?”เฟนด์รู้สึกยินดีเช่นกันเมื่อเห็นความตื่นเต้นของเซเลน่าเห็นได้ชัดว่าเซเลน่ายิ้มน้อยลงมากหลังจากที่เธอถูกคำสาปเล่นงาน และมีมวลอากาศเศร้าหมองปกคลุมอยู่รอบ ๆ ตัวเธอเสมอทักษะการเล่นแร่แปรธาตุและระดับการบ่มเพาะของเฟนด์นั้นพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเซเลน่าจะมีความมั่นใจมากขึ้น และช่วงนี้เธอก็ยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม“การฝึกเล่นแร่แปรธาตุของคุณเป็นอย่างไรบ้าง ที่รัก? คุณดีขึ้นแล้วหรือยัง? ฉันเห็นว่าช่วงนี้คุณฝึกเล่นแร่แปรธาตุทุกคืน คุณต้องเหนื่อยมากแน่ คุณควรหาเวลาพักผ่อนและสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อนเสียบ้าง ตกลงไหม?”เซเลน่ามองไปที่เฟนด์อย่างเป็นกังวล“ดูนี่สิ ที่รัก!”เฟนด์พลิกฝ่ามือและหยิบโอสถออกมายื่นให้เซเลน่าทันใดนั้นดวงตาของเธอก็สว่างขึ้น “พระเจ้า มันมีกลิ่นหอมมาก ดูเหมือนว่าคุณจะประสบความสำเร็จแล้ว ตอนนี้คุณเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ
เฟนด์ก้มหน้าลงและมอบจุมพิตแนบลงไปบนริมฝีปากอมชมพูของเซเลน่า “ผมไม่ได้จูบคุณมาตั้งนานแล้ว!” เขาพูด หลังจากนั้นครู่หนึ่งเซเลน่าก็ผลักเฟนด์ออกไป “ฉันมีจุดดำขนาดใหญ่บนใบหน้า มันน่าเกลียดออก! คุณไม่รังเกียจมันเหรอ?” น้ำเสียงของเธอฟังดูลำบากใจ เฟนด์หัวเราะเบา ๆ กับคำพูดของเซเลน่า “ในใจผม คุณคือผู้หญิงที่สวยที่สุด คุณยังให้กำเนิดลูกสาวที่ยอดเยี่ยมให้ผมด้วย! ตอนนี้ผมไม่อาจมีความสุขมากกว่านี้ไปได้อีกแล้ว!” "จริงหรือ? ฉัน… ที่จริงฉันคิดว่าอยากจะมีลูกชายอีกคนกับคุณในอนาคต!” เซเลน่าเม้มริมฝีปากสีแดงของเธอและใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุข “ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมชอบความคิดนั้นนะ!” เฟนด์หัวเราะเสียงดัง ในขณะนี้จอช วอลล์แมน หัวหน้าเผ่าดาบราชันย์ได้พาพาผู้อาวุโสของเผ่าไปเยี่ยมหัวหน้าเผ่าผลึกเมฆา “ฉันจอช วอลล์แมนในฐานะหัวหน้าเผ่าดาบราชันย์ร่วมกับผู้อาวุโสของเผ่าดาบราชันย์มาที่นี่เพื่อขอพบกับหัวหน้าเผ่าผลึกเมฆา!” จอชและคนของเขามาอยู่ต่อหน้าศิษย์กลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังลาดตระเวนรอบ ๆ เผ่าผลึกเมฆาและโค้งคำนับเหล่าศิษย์พวกนั้นด้วยความเคารพและแสดงเจอจำนงค์ที่จะเข้าเยี่ยมเผ่าของพวกเขา "อ๋อ คุณเป็นหัวหน้า
"อืม ว่ามา! ผมอยากรู้ว่ามีเรื่องด่วนอะไรถึงทำให้คุณและผู้อาวุโสจากเผ่าของคุณต้องมาถึงที่นี่ ต้องมีเรื่องสำคัญแน่!” นายท่านโลเดอร์คือหัวหน้าเผ่าผลึกเมฆา เขามองไปที่จอชด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า จอชมีใบหน้าเคร่งขรึมขณะตอบคำถามของเขา “เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น! เผ่ากระหายเลือดได้พบว่ามีผู้คนจากดินแดนรกร้างจำนวนมากได้เข้ามาที่นี่เมื่อสองเดือนก่อน ไม่ใช่แค่หยิบมือ แต่กลับเข้ามากันราวหกแสนคน!” “หกแสนคน?” เมื่อหัวหน้าเผ่าผู้ยิ่งใหญ่สองคนได้ยินสิ่งนี้พวกเขาก็อ้าปากค้าง ไม่ได้จินตนาการไว้เลยว่าผู้คนที่เข้ามาจากดินแดนรกร้าง? “คุณล้อเล่นใช่ไหม? พวกนั้นเข้ามากันมากมายขนาดนั้นเชียวหรอ?” นายท่านโลเดอร์ถามจอชหลังจากครุ่นคิด “ในตอนที่เผ่ากระหายเลือดได้ค้นพบการรอบเข้ามาของพวกเขา พวกเขาไม่ได้จัดการอะไรคนพวกนั้นเลยหรือ? พวกนั้นเข้ามากันมากเกินไป! เราจะปล่อยให้คนเหล่านี้เข้ามาแย่งชิงทรัพยากรเยอะของเราไปไม่ได้! ในตอนนี้การจะทะลวงเข้าไปในแต่ละขั้นนั้นนับว่าไม่ง่ายเลย แถมหญ้าวิญญาณระดับสี่ก็ไม่ได้มีมากมายเท่าไหร่นัก ดังนั้นเราจะปล่อยให้มากมายเช่นนั้นเข้าไปในพื้นที่นี้ได้ยังไง!” จอชตอบทันทีว่า “เผ่ากระหายเลือ
หลังจากนั้นไม่นานจอชก็เล่าสถานการณ์ทั้งหมดให้หัวหน้าเผ่าทั้งสองฟังตั้งแต่ต้นจนจบ “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ! คน ๆ หนึ่งจะสามารถทะลวงอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าสารเลวนั่นต้องเก็บสิ่งของล้ำค่าบางอย่างได้ เป็นบางอย่างที่หายากและล้ำค่าจริง ๆ!” ใบหน้าของนายท่านโลเดอร์เต็มไปด้วยอารมณ์ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “เราต้องกำจัดเจ้าสารเลวนั่น! หากเราปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ เขาจะต้องสร้างปัญหาให้กับกองกำลังภาคีในสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน!” "ใช่! คุณพูดถูก! ถ้าเจ้าสารเลวนี้ยังมีชีวิตอยู่ เราจะต้องเจอกับปัญหาไม่จบไม่สิ้น!” นายท่านโลเดอร์พยักหน้าพร้อมกับยืนยันอย่างหนักแน่น “ท่าน ผม…” ใบหน้าของจอชเปลี่ยนไปเมื่อเขาฟังหัวหน้าเผ่าทั้งสอง “วันนี้ผมมาเพื่อแจ้งให้พวกคุณทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อให้พวกคุณสามารถนำที่เหลือเพื่อจัดการประชุมหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้! ผมจะขอเสนอบางอย่างด้วย!” "โอ้? ว่ามาสิ?" นายท่านโลเดอร์และนายท่านแมคเคนซี่มองจอชด้วยความสนใจหลังจากได้ยินคำพูดของเขา รอยยิ้มอันขมขื่นปรากฏบนใบหน้าของจอช “ในเมื่อมีคนมากมายจาก
ในไม่ช้า จอชก็ออกจากห้องโถงพร้อมกับคนของเขาและบินกลับไปที่เผ่าของตัวเอง เมื่อพวกเขาบินออกไปได้ระยะหนึ่ง ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งของเผ่าดาบราชันย์ก็เข้ามาถามว่า “นายท่าน คุณคิดอะไรอยู่? ทำไมคุณถึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาปล่อยคนนอกไป? คนก็รู้ดีอยู่ว่ากองกำลังภาคีทั้งหกนี้ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และชื่อเสียงของพวกเขามากกว่าสิ่งอื่นใด! ยิ่งกว่านั้นตอนนี้กองกำลังเล็ก ๆอย่างเผ่ากระหายเลือดซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพวกเขาก็ถูกกำจัดไปแล้ว พวกเขาจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสลำดับที่สองเข้าหาจอชและพูดว่า “ใช่แล้วนายท่าน ต่อไปพวกเขาอาจรู้สึกไม่พอใจและอาจไม่เกรงใจคุณอีก หน้าที่ของเราคือแจ้งให้พวกเขาทราบถึงสถานการณ์เท่านั้น ไม่เห็นต้องเสนอความคิดอะไรเลย เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาจะจัดการประชุมเพื่อตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป ถูกไหมล่ะ?” จากนั้นจอชก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เพราะคุณคงไม่เข้าใจหรอก เฟนด์ เจ้าสารเลวนั่นแข็งแกร่งเกินไป หากครั้งนี้พวกเขาจัดการหมอนั่นได้ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าทำไม่ได้ล่ะ? อีกฝ่ายจะโกรธพวกเขาแล้วก็จะเกิดปัญหาขึ้น!” “เป็นไปได้หรอ? กองกำลังใหญ่โตเหล่านี้มีนักสู้
หลายคนส่งสายตาอิจฉาไปที่เฟนด์ เซเลน่าและดาเนียลล่า พวกเขาจะไม่อิจฉาชายหนุ่มได้อย่างไร ในเมื่อเขามีสาวสวยสองคนมาเดินซื้อของไปกับเขาด้วยอย่างนี้หลังจากทั้งสามคนทานอาหารเสร็จ ดาเนียลล่าก็เดินกลับไปอย่างไม่เต็มใจ“คุณไม่เห็นสีหน้าไม่พอใจของดาเนียลล่าเหรอ? ฉันคิดว่าคุณควรค้างคืนที่ห้องของเธอสักหน่อย!” หลังจากที่พวกเขากลับไปที่ห้อง เซเลน่าก็กลอกตาไปที่เฟนด์และพูดอย่างหมดหนทางโดยไม่คาดคิดเฟนด์ขมวดคิ้วและพูดกับเซเลน่าว่า "ที่รัก ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับดาเนียลล่าแต่ผมบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร!"“มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?” เซเลน่ารู้สึกงงงวย“ผมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ตอนที่ผมจับมือเธอระหว่างการเดินซื้อของในวันนี้ เธอก็จะหน้าแดงมาก เธอขี้อายราวกับสาวบริสุทธิ์ และว่าผมรู้สึกว่ามันผิดปกติ!” เฟนด์คิดเกี่ยวกับมันก่อนที่จะพูดความสงสัยของเขาออกมาเสียงดัง“คุณคิดมากเกินไปแล้ว ผู้หญิงจะอายสักหน่อยก็ถือเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรอ? ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อนคุณก็ไม่ได้จับมือเธอบ่อย ๆ ดังนั้นก็ไม่แปลกที่เธอจะอายสักหน่อย!” เซเลน่าพูดไม่ออกและพูดต่อไป “นี่คุณคิดจริง ๆ หรือว่าการที่เธอได้นอนกับคุณแค่