"เฮ้อ! ในที่สุดพวกเขาก็จากไป! โชคดีที่คุณและคนของคุณมาทันเวลา เจ้าตำหนักโทมัส!” หลังจากจอชและพรรคพวกจากไป ออสติน ดราโก หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งของกองทัพทั้งเก้าก็ถอนหายใจพรืดยาวด้วยความโล่งอก ก่อนที่ตำหนักคลื่นเมฆาจะมาถึง เขาอยู่ในสภาพขวัญหนีดีฝ่ออย่างแท้จริง เพราะกลัวว่าหากพวกเขาจำเป็นต้องต่อสู้กับเผ่าดาบราชันย์พวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะพวกนั้นได้ “ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะทำให้เผ่ากระหายเลือดต้องสูญเสียครั้งใหญ่ถึงเพียงนี้! เผ่ากระหายเลือดถึงคราวอวสานแล้ว ไม่มีเผ่ากระหายเลือดอีกต่อไป! อืมมม… เผ่ากระหายเลือดเป็นกองกำลังภาคีที่ใกล้ที่สุดสำหรับคุณ และพวกเขามักจะมาที่ป่าแห่งนี้เพื่อตามหาสิ่งของล้ำค่า ตอนนี้พวกเขาจากไปแล้ว ก็จะไม่มีใครมาแย่งทรัพยากรยุทธกับพวกคุณแล้ว!” โทมัสหัวเราะเสียงดัง จากนั้นเสริมว่า “และเรื่องนี้จะส่งผลดีกับกองทัพทั้งเก้าในการพัฒนาและก้าวหน้าไปได้ง่ายยิ่งขึ้น!” มีเส้นบาง ๆ ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของออสตินเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น “เผ่ากระหายเลือดประสบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ก็จริง แต่มีคนจากดินแดนรกร้างที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้มากเกินไป! ผมไม่คิดว่ากองกำลังภา
“น้องเฟนด์ ขอบคุณที่เลือกจะอยู่ต่อ ผมยังนึกว่าคุณจะเลือกไปกับตำหนักคลื่นเมฆาเสียอีก พวกเขามีพลังมากกว่าเรา แถมยังมีนักสู้ในระดับทะลวงวิญญาณมากกว่าเราเล็กน้อยอีกด้วย เจ้าตำหนักคลื่นเมฆายังอยู่ในขั้นที่สองระดับทะลวงวิญญาณอีกต่างหาก!” หลังจากที่ฝูงชนจำนวนไม่น้อยออกจากที่เกิดเหตุ ออสตินก็มองไปที่เฟนด์และกลุ่มของเขาด้วยใบหน้าที่ซาบซึ้ง ในครั้งนี้กองทัพทั้งเก้าก็เผชิญกลับการสูญเสียครั้งใหญ่ ดังนั้นเขาจึงกลัวจริง ๆ ว่าเฟนด์และคนของเขาจะตัดสินใจไปกับตำหนักคลื่นเมฆาและกองทัพทั้งเก้าจะต้องพบกับปัญหาใหญ่ หากกองกำลังภาคีส่งลูกน้องเข้ามาหาเรื่อง เฟนด์ยิ้มเบา ๆ และพูดว่า “ผมไม่คิดว่าแลนซ์ พี่ชายของผมจะยกโทษให้ผมง่ายขนาดนั้น ตอนนี้เขาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งของตำหนักคลื่นเมฆาผมไม่มีทางไปกับพวกเขา อีกอย่าง จู่ ๆ เราก็บุกเข้ามาที่นี่และทำให้พวกคุณตกอยู่ในอันตราย และผมก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องนั้นจริง ๆ ดังนั้น ผมจึงคิดว่ามันจะดีกว่าและฉลาดกว่าที่เราจะอยู่กับพวกคุณ และผ่านเรื่องร้าย ๆ ไปด้วยกัน!” คำพูดของเฟนด์ทำให้ออสตินรู้สึกผิดและละอายใจในตัวเองเพราะพวกเขารู้ว่าพวกเขาเทียบกับเผ่ากระหายเล
ออสตินคิดว่าเฟนด์กำลังโม้ แต่เขาก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธอีกฝ่าย ออสตินกล่าวต่อว่า “เอาล่ะ น้องเฟนด์ คุณมีคนมากกว่าแสนคนอยู่ในมือ แต่พวกเขาทั้งหมดมาจากชนเผ่าและตระกูลที่แตกต่างกัน และสถานการณ์ก็คล้ายกับกองทัพทั้งเก้าไม่มีผิด กองทัพทั้งเก้าเองก็มาจากกองกำลังที่ต่างกัน อืมมม… ผมมีคำแนะนำนะ แต่ไม่แน่ใจว่าผมควรที่จะเสนอออกไปหรือเปล่า?” “อย่างนั้นเหรอ? เช่นนั้นก็บอกมาเถอะ หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง!” เฟนด์โค้งคำนับให้ออสตินอย่างสุภาพและพูดว่า “เนื่องจากเราตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ จึงถือว่าเราทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความภักดีของเราที่มีต่อคุณ เราไม่มีอะไรแอบแฝงและไม่มีแผนที่จะหักหลังคุณอย่างแน่นอน!” “แน่ใจนะ! เราร่วมมือกันและจะสู้ไปด้วยกัน! คนของเราจะไม่คิดร้ายอะไรกับคุณเช่นกัน! ผมเอาหัวเป็นประกัน!” ออสตินพยักหน้าแล้วเสนอความคิด “น้องเฟนด์ แนวคิดเรื่องนี้นั้นไม่ยากเลย คุณมีผู้คนมากมายจากชนเผ่าและตระกูลที่แตกต่างกัน และกองทัพทั้งเก้าก็ไม่ต่างไปจากคุณ! ทำไม…ทำไมเราไม่จับมือรวมกันเป็นกองกำลังเดียวล่ะ? เราทุกคนสามารถรวมเป็นกองกำลังเดียวกันได้! คุณคิดเห็นยังไง?" “กอง
"แน่นอน! ไม่มีปัญหา! เราเพิ่งผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากมา เราควรได้พักและรักษาตัวในช่วงเวลานี้จริง ๆ ใช้เวลาพักผ่อนและฟื้นตัวกันเถอะ แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลายี่สิบวันก็ตาม!” หัวใจของออสตินกระโจนขึ้นด้วยความปิติ นี่เป็นโอกาสที่ดีในการรับคนเหล่านี้เข้ากลุ่มของเขาและยังสามารถควบคุมพวกเขาได้อีก เฟนด์และกลุ่มของเขาโดดเด่นในแง่ของจำนวน และสิ่งที่ดีที่สุดคือนอกจากเฟนด์แล้ว ยังมีนักสู้ในขั้นที่หกระดับเทพสูงสุดอยู่หลายคนและยังมีนักสู้ในขั้นที่ห้าของระดับเทพสูงสุดอยู่ด้วย พวกเขาไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด และทักษะยุทธของพวกเขาก็แข็งแกร่งอีกต่างหาก! นอกจากนี้ พวกเขามีคนที่อยู่ในขั้นที่หนึ่งระดับเทพสูงสุดอีกหลายคน เมื่อเขารับเฟนด์และคนของเขาแล้ว พลังการต่อสู้โดยรวมของกองกำลังจะเพิ่มขึ้นยังแน่นอน "ดี! เช่นนั้นก็เอาตามที่คุณว่า! เราจะพักกันอีกยี่สิบวัน แล้วจึงจะจัดการเลือกตั้งหลังจากนั้น!” เฟนด์ตอบด้วยรอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้าของเขา ออสตินพูดไม่ออก เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย เฟนด์ได้รับวันเพิ่มอีกห้าวัน! แต่เขาเชื่อว่า ต่อให้เขาจะให้เวลาเผื่อแก่เฟนด์ไปเป็นเวลาสามสิบวัน ตำแหน่งผู้นำก็ยังอยู่ใ
แนชก็พยักหน้าเช่นกัน “เดิมที การจัดตั้งกองกำลังใหม่ก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับเรา แต่ตอนที่เขากล่าวว่าอนาคตและการตัดสินใจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มจะต้องถูกตัดสินโดยหัวหน้ากลุ่ม มันก็ฟังดูไม่เข้าท่านัก หากเป็นเช่นนั้น ในอนาคตหากเขากลายเป็นหัวหน้าขึ้นมา เราคงจะไม่มีโอกาสพูดอะไรเลย!”"ถูกต้อง หากอนาคตเกิดเรื่องอันตรายอะไรขึ้น คงไม่พ้นว่าเขาจะโยนให้คนของเรารับผิดชอบ อย่างไรเสียเขาก็เป็นหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งของกองทัพทั้งเก้า เขาย่อมต้องถือหางพวกเดียวกันอย่างแน่นอน!”เคนเนธก็โกรธมากเช่นกัน “ถ้าเรารู้ว่าสหายของเราคนนี้ต้องการที่จะสูบเลือดสูบเนื้อเราตั้งแต่แรก เราก็น่าจะไปกับผู้คนจากตำหนักคลื่นเมฆาแทน!”ไททัสยิ้มอย่างขมขื่น “คุณคิดน้อยเกินไปแล้ว ถึงเราจะไปกับตำหนักคลื่นเมฆาก็คงไม่ต่างกัน ตำหนักคลื่นเมฆาก็คงจะทำเช่นนั้นกับคนที่เหลือจากวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์และตำหนักนภาไม่ใช่เหรอ? ผมคิดว่าผู้คนของตำหนักคลื่นเมฆาคงไม่ปลื้มเท่าไหร่นัก เพราะนายน้อยเฟนด์ไม่ได้เลือกที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มของพวกเขา!”“เฮ้อ คนอ่อนแออย่างเราจะปริปากได้ยังไง หากเราไม่ได้ถูกตำหนักคลื่นเมฆาดูดกลืนก็ต้องเป็นกองทั
“ฮ่าฮ่า ไม่ว่าหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งจะขุ่นเคืองใจหรือไม่ ผมก็ไม่กล้ามอบโอสถให้เขาอยู่ดี!”เฟนด์หัวเราะและพูดว่า “หลังจากการเลือกตั้งจบลง ผมค่อยให้โอสถแก่เขา และแน่นอนว่าเขาจะไม่เกลียดผมอีกต่อไป นอกจากนี้ หากเขารู้ว่าผมเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสาม เขาคงจะดีใจมาก!”“นั่นก็จริง เขาจะสามารถบ่มเพราะโอสถได้อย่างรวดเร็ว ตราบใดที่ระดับพลังยุทธ์ของเขายังสูง บางทีเขาอาจจะไม่สนใจเรื่องการเป็นหัวหน้าเลยก็ได้!”ไททัสและคนอื่น ๆ พยักหน้ามีความสุขมาก"เอาล่ะ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วล่ะทุกคน เรามีทรัพยากรยุทธมากมายจากป่า เดือนนี้ทั้งเดือนเราไม่ต้องกังวลอีกแล้ว มันจะเพียงพอให้ทุกคนได้บ่มเพาะตัวเองในอีกสองหรือสามเดือนข้างหน้าด้วยซ้ำ ทุกคนควรสงบสติอารมณ์ก่อนเพื่อที่จะได้บ่มเพราะระดับพลังยุทธของตัวเอง!”เฟนด์ยิ้มอย่างขมขื่นและบอกทุกคนทุกคนพยักหน้า พวกเขาไม่กังวลอีกต่อไปแล้ว และพวกเขาก็ออกไปบ่มเพาะพลังยุทธของตนเองอย่างรวดเร็วในขณะนี้ ที่ที่พักของออสติน หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง มีผู้คนมากมายมารวมตัวกันเช่นกัน“หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง การตัดสินใจของคุณยอดเยี่ยมมาก!”ชายชราคนห
เห็นได้ชัดว่าเมื่อโทมัสและคนอื่น ๆ ไปถึงก็สายไปเสียหน่อย พวกเขาพลาดการต่อสู้ของกองทัพทั้งเก้า เฟนด์และพรรคพวกต่อสู้กับเผ่ากระหายเลือด นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครรู้ว่าเฟนด์แข็งแกร่งเพียงใด และพวกเขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อยบนหน้าผาอีกฝั่งหนึ่ง ลิลลี่มองแลนซ์อย่างโกรธเคือง “ยังไงก็เถอะนะ แลนซ์ แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูก อีกอย่าง แนชและคนของพวกเขาก็เป็นคนฆ่าคุณตากับคุณยายของลูก และผู้คนมากมายจากตระกูลลาโกริโอก็ถูกสมาชิกตระกูลวู๊ดสังหาร ลูกไม่เกลียดแนชและคนอื่น ๆ จริงหรือ?”แลนซ์ยิ้มอย่างเย็นชา “แม่ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ช้าก็เร็วผมจะฆ่าเฟนด์และแนช วันนี้ผมก็แค่ทำการแสดงให้พวกเขาดูก็เท่านั้น แม่ก็ไม่ใช่ผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเสียหน่อย แต่แนชทำเกินไป เขาทำลายระดับพลังยุทธ์ของแม่อีกต่างหาก หึ ผมว่าเขาไม่คิดว่าผมเป็นลูกชายของเขาอีกต่อไปแล้ว ในสายตาของเขา เขาคงเห็นเฟนด์เป็นลูกชายคนเดียวเท่านั้น!”ลิลลี่ดีใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เธอพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “แม่ก็คิดอยู่ว่าแค่เขาพูดแค่ไม่กี่คำทำไมลูกถึงให้อภัยเขาได้ ที่แท้ลูกก็แค่เสแสร้งต่อหน้าพวกเขา เยี่ยมไปเลย ที่นั่นมีคนอยู่มากมาย หากลูกวางแผนที่จะจัดการกับเ
“คุณไม่พูดจาแทงใจดำเราเกินไปหน่อยเหรอเฟนด์?”เอลล่าจ้องไปที่เขา แต่เธอรีบพูดเสริมในขณะที่ยิ้มว่า “ก็อย่างที่บอก ฉันดีใจจริง ๆ ที่คุณยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ว่าเราไม่พยายามจะช่วย เราได้แจ้งหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งและคนอื่น ๆ เรื่องนี้แล้ว แต่เรารู้ว่ากองทัพทั้งเก้าต่อกรกับเผ่ากระหายเลือดไม่ได้ นั่นเป็นสาเหตุที่หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งไม่กล้าทำอะไร!”เอลล่ายกมือขึ้นและสาบาน “ฉันเอลล่า ลาวีนขอสาบานต่อพระเจ้าเลยว่าหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งไม่ได้คิดที่จะเมินเฉยต่อพวกคุณทุกคน พวกเขาแค่ต้องการรอให้ตำหนักคลื่นเมฆามาถึงก่อนที่จะลงมือ แล้วคุณก็ได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วนี่ หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งของเราเทียบอะไรกับเอ็ดเวิร์ด เกรย์คนนั้นไม่ได้เลยสักนิด!”"ก็ได้ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ผมไม่ได้คิดที่จะว่าคุณหรอก!”เฟนด์ยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายในกองทัพทั้งเก้า แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขานั้นกลับอ่อนแอกว่าเผ่ากระหายเลือดมาก ถ้าไม่ใช่เพราะคนของเขารีบไปช่วยและได้เขาช่วยฆ่าผู้อาวุโสที่มีระดับการบ่มเพาะสูงของเผ่ากระหายเลือดไปสองสามคน รวมทั้งร่วมมือกับออสตินเพื่อฆ่าเอ็ดเ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ