“อย่าพูดอีกเลยแม่!”แลนซ์หันศีรษะไปมองลิลลี่ “ขอเพียงแม่วางอดีตทุกอย่างลง ตอนนี้ผมไม่สนใจตำแหน่งหัวหน้าตระกูลวู๊ดหรอก แค่ผมได้มาเจอกับแม่อีกก็ดีแค่ไหนแล้ว และผมก็หวังว่าแม่กับพ่อจะละทิ้งความขุ่นข้องหมองใจต่อกันลงได้ อย่าโกรธเคืองกันเลย ทำเป็นไม่รู้จักกันไปเลยยังจะดีกว่า!”"ลูก…"ลิลลี่โกรธมาก แต่เธอก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว “แม่ไม่สนใจเรื่องนั้นอีกแล้ว แค่ลูกยังมีชีวิตอยู่และได้เจอลูกอีกครั้งแม่ก็ดีใจมากแล้ว!”แนชไม่คิดว่าแลนซ์จะเข้าใจอะไรได้ง่ายขนาดนี้ เขายังกังวลว่าแลนซ์จะเกลียดเขา แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของแลนซ์ เขาก็พูดด้วยสีหน้าโล่งใจ “ใช่แล้ว ทิ้งอดีตไปเถอะ ช่างมัน ตราบใดที่ลูกไม่เกลียดพ่อ แลนซ์ ต่อให้พ่อจะต้องกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับแม่ของลูก แต่ลูกก็ยังเป็นลูกชายของพ่อเสมอ!”“อืมมม!”แลนซ์พยักหน้า จากนั้นเขาก็ยิ้มให้เฟนด์และยื่นมือออกไป “นายเป็นน้องชายของฉันใช่ไหม? ฉันได้ยินมาว่าพรสวรรค์ในทักษะยุทธของนายไม่เลวเลย ฉันหวังว่านายจะสามารถนำพาตระกูลวู๊ดไปสู่ความรุ่งโรจน์ได้ในอนาคต สำหรับฉัน ฉันจะอยู่ที่ตำหนักคลื่นเมฆาต่อจากนี้ไปอย่างแน่นอน”เฟนด์ยังคงสับสนเล็กน้อย ในตอนที่แลนซ์เห
คำพูดเหล่านี้ทำให้มุมปากของจอชกระตุกเล็กน้อยเขาไม่ใช่คนขลาดเขลา เขารู้ว่าพวกเขาจะไม่ส่งคนเหล่านั้นมาให้ง่าย ๆ แต่ในฐานะคนจากกองกำลังภาคีเขาก็ต้องพูด มิฉะนั้น เขาจะไม่สามารถอธิบายทุกอย่างได้เมื่อเขากลับไป นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องการแสดงอำนาจของเขาหลังจากคิดแล้ว เขาก็พูดว่า “เอาล่ะ โทมัส คุณแน่ใจหรือว่าจะไม่ส่งพวกเขามาให้เรา? คุณไม่กลัวว่าจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่ายจริง ๆ เหรอ? พอถึงตอนนั้นคุณจะกลายเป็นคนบาปอันดับหนึ่งทันที!”โทมัสยิ้มเหมือนเคย “ฮ่าฮ่า ถึงตอนนั้นเราค่อยมากังวลเรื่องอนาคตก็แล้วกัน ยังไงซะในตอนนี้ผมก็จะไม่ส่งพวกเขาใส่มือคุณ ถ้าคุณกล้าพอ คุณก็เข้ามาแย่งไปเองเลยสิ ดูสิว่าคุณจะฆ่าพวกเขาต่อหน้าผมได้หรือเปล่า?”หลังจากพูดอย่างนั้น โทมัสคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดกับชายอีกคนว่า “นายท่านวอลล์แมน ผมขอแนะนำให้เราวางเรื่องนี้ลงวันนี้ก่อน พวกเขาเข้ามาราวหกแสนคน แต่ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณสองแสนคนเท่านั้น อีกอย่างเผ่ากระหายเลือดและกองทัพทั้งเก้าเองก็ได้สูญเสียผู้คนไปมากมาย วันนี้พอแค่นี้เถอะ มิฉะนั้นทั้งสองฝ่ายจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้เลย!”“ฮึ่ม ผมไม่อาจตัดส
"เฮ้อ! ในที่สุดพวกเขาก็จากไป! โชคดีที่คุณและคนของคุณมาทันเวลา เจ้าตำหนักโทมัส!” หลังจากจอชและพรรคพวกจากไป ออสติน ดราโก หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งของกองทัพทั้งเก้าก็ถอนหายใจพรืดยาวด้วยความโล่งอก ก่อนที่ตำหนักคลื่นเมฆาจะมาถึง เขาอยู่ในสภาพขวัญหนีดีฝ่ออย่างแท้จริง เพราะกลัวว่าหากพวกเขาจำเป็นต้องต่อสู้กับเผ่าดาบราชันย์พวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะพวกนั้นได้ “ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะทำให้เผ่ากระหายเลือดต้องสูญเสียครั้งใหญ่ถึงเพียงนี้! เผ่ากระหายเลือดถึงคราวอวสานแล้ว ไม่มีเผ่ากระหายเลือดอีกต่อไป! อืมมม… เผ่ากระหายเลือดเป็นกองกำลังภาคีที่ใกล้ที่สุดสำหรับคุณ และพวกเขามักจะมาที่ป่าแห่งนี้เพื่อตามหาสิ่งของล้ำค่า ตอนนี้พวกเขาจากไปแล้ว ก็จะไม่มีใครมาแย่งทรัพยากรยุทธกับพวกคุณแล้ว!” โทมัสหัวเราะเสียงดัง จากนั้นเสริมว่า “และเรื่องนี้จะส่งผลดีกับกองทัพทั้งเก้าในการพัฒนาและก้าวหน้าไปได้ง่ายยิ่งขึ้น!” มีเส้นบาง ๆ ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของออสตินเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น “เผ่ากระหายเลือดประสบกับการสูญเสียครั้งใหญ่ก็จริง แต่มีคนจากดินแดนรกร้างที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้มากเกินไป! ผมไม่คิดว่ากองกำลังภา
“น้องเฟนด์ ขอบคุณที่เลือกจะอยู่ต่อ ผมยังนึกว่าคุณจะเลือกไปกับตำหนักคลื่นเมฆาเสียอีก พวกเขามีพลังมากกว่าเรา แถมยังมีนักสู้ในระดับทะลวงวิญญาณมากกว่าเราเล็กน้อยอีกด้วย เจ้าตำหนักคลื่นเมฆายังอยู่ในขั้นที่สองระดับทะลวงวิญญาณอีกต่างหาก!” หลังจากที่ฝูงชนจำนวนไม่น้อยออกจากที่เกิดเหตุ ออสตินก็มองไปที่เฟนด์และกลุ่มของเขาด้วยใบหน้าที่ซาบซึ้ง ในครั้งนี้กองทัพทั้งเก้าก็เผชิญกลับการสูญเสียครั้งใหญ่ ดังนั้นเขาจึงกลัวจริง ๆ ว่าเฟนด์และคนของเขาจะตัดสินใจไปกับตำหนักคลื่นเมฆาและกองทัพทั้งเก้าจะต้องพบกับปัญหาใหญ่ หากกองกำลังภาคีส่งลูกน้องเข้ามาหาเรื่อง เฟนด์ยิ้มเบา ๆ และพูดว่า “ผมไม่คิดว่าแลนซ์ พี่ชายของผมจะยกโทษให้ผมง่ายขนาดนั้น ตอนนี้เขาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งของตำหนักคลื่นเมฆาผมไม่มีทางไปกับพวกเขา อีกอย่าง จู่ ๆ เราก็บุกเข้ามาที่นี่และทำให้พวกคุณตกอยู่ในอันตราย และผมก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องนั้นจริง ๆ ดังนั้น ผมจึงคิดว่ามันจะดีกว่าและฉลาดกว่าที่เราจะอยู่กับพวกคุณ และผ่านเรื่องร้าย ๆ ไปด้วยกัน!” คำพูดของเฟนด์ทำให้ออสตินรู้สึกผิดและละอายใจในตัวเองเพราะพวกเขารู้ว่าพวกเขาเทียบกับเผ่ากระหายเล
ออสตินคิดว่าเฟนด์กำลังโม้ แต่เขาก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธอีกฝ่าย ออสตินกล่าวต่อว่า “เอาล่ะ น้องเฟนด์ คุณมีคนมากกว่าแสนคนอยู่ในมือ แต่พวกเขาทั้งหมดมาจากชนเผ่าและตระกูลที่แตกต่างกัน และสถานการณ์ก็คล้ายกับกองทัพทั้งเก้าไม่มีผิด กองทัพทั้งเก้าเองก็มาจากกองกำลังที่ต่างกัน อืมมม… ผมมีคำแนะนำนะ แต่ไม่แน่ใจว่าผมควรที่จะเสนอออกไปหรือเปล่า?” “อย่างนั้นเหรอ? เช่นนั้นก็บอกมาเถอะ หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง!” เฟนด์โค้งคำนับให้ออสตินอย่างสุภาพและพูดว่า “เนื่องจากเราตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ จึงถือว่าเราทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความภักดีของเราที่มีต่อคุณ เราไม่มีอะไรแอบแฝงและไม่มีแผนที่จะหักหลังคุณอย่างแน่นอน!” “แน่ใจนะ! เราร่วมมือกันและจะสู้ไปด้วยกัน! คนของเราจะไม่คิดร้ายอะไรกับคุณเช่นกัน! ผมเอาหัวเป็นประกัน!” ออสตินพยักหน้าแล้วเสนอความคิด “น้องเฟนด์ แนวคิดเรื่องนี้นั้นไม่ยากเลย คุณมีผู้คนมากมายจากชนเผ่าและตระกูลที่แตกต่างกัน และกองทัพทั้งเก้าก็ไม่ต่างไปจากคุณ! ทำไม…ทำไมเราไม่จับมือรวมกันเป็นกองกำลังเดียวล่ะ? เราทุกคนสามารถรวมเป็นกองกำลังเดียวกันได้! คุณคิดเห็นยังไง?" “กอง
"แน่นอน! ไม่มีปัญหา! เราเพิ่งผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากมา เราควรได้พักและรักษาตัวในช่วงเวลานี้จริง ๆ ใช้เวลาพักผ่อนและฟื้นตัวกันเถอะ แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลายี่สิบวันก็ตาม!” หัวใจของออสตินกระโจนขึ้นด้วยความปิติ นี่เป็นโอกาสที่ดีในการรับคนเหล่านี้เข้ากลุ่มของเขาและยังสามารถควบคุมพวกเขาได้อีก เฟนด์และกลุ่มของเขาโดดเด่นในแง่ของจำนวน และสิ่งที่ดีที่สุดคือนอกจากเฟนด์แล้ว ยังมีนักสู้ในขั้นที่หกระดับเทพสูงสุดอยู่หลายคนและยังมีนักสู้ในขั้นที่ห้าของระดับเทพสูงสุดอยู่ด้วย พวกเขาไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด และทักษะยุทธของพวกเขาก็แข็งแกร่งอีกต่างหาก! นอกจากนี้ พวกเขามีคนที่อยู่ในขั้นที่หนึ่งระดับเทพสูงสุดอีกหลายคน เมื่อเขารับเฟนด์และคนของเขาแล้ว พลังการต่อสู้โดยรวมของกองกำลังจะเพิ่มขึ้นยังแน่นอน "ดี! เช่นนั้นก็เอาตามที่คุณว่า! เราจะพักกันอีกยี่สิบวัน แล้วจึงจะจัดการเลือกตั้งหลังจากนั้น!” เฟนด์ตอบด้วยรอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้าของเขา ออสตินพูดไม่ออก เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย เฟนด์ได้รับวันเพิ่มอีกห้าวัน! แต่เขาเชื่อว่า ต่อให้เขาจะให้เวลาเผื่อแก่เฟนด์ไปเป็นเวลาสามสิบวัน ตำแหน่งผู้นำก็ยังอยู่ใ
แนชก็พยักหน้าเช่นกัน “เดิมที การจัดตั้งกองกำลังใหม่ก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับเรา แต่ตอนที่เขากล่าวว่าอนาคตและการตัดสินใจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มจะต้องถูกตัดสินโดยหัวหน้ากลุ่ม มันก็ฟังดูไม่เข้าท่านัก หากเป็นเช่นนั้น ในอนาคตหากเขากลายเป็นหัวหน้าขึ้นมา เราคงจะไม่มีโอกาสพูดอะไรเลย!”"ถูกต้อง หากอนาคตเกิดเรื่องอันตรายอะไรขึ้น คงไม่พ้นว่าเขาจะโยนให้คนของเรารับผิดชอบ อย่างไรเสียเขาก็เป็นหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งของกองทัพทั้งเก้า เขาย่อมต้องถือหางพวกเดียวกันอย่างแน่นอน!”เคนเนธก็โกรธมากเช่นกัน “ถ้าเรารู้ว่าสหายของเราคนนี้ต้องการที่จะสูบเลือดสูบเนื้อเราตั้งแต่แรก เราก็น่าจะไปกับผู้คนจากตำหนักคลื่นเมฆาแทน!”ไททัสยิ้มอย่างขมขื่น “คุณคิดน้อยเกินไปแล้ว ถึงเราจะไปกับตำหนักคลื่นเมฆาก็คงไม่ต่างกัน ตำหนักคลื่นเมฆาก็คงจะทำเช่นนั้นกับคนที่เหลือจากวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์และตำหนักนภาไม่ใช่เหรอ? ผมคิดว่าผู้คนของตำหนักคลื่นเมฆาคงไม่ปลื้มเท่าไหร่นัก เพราะนายน้อยเฟนด์ไม่ได้เลือกที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มของพวกเขา!”“เฮ้อ คนอ่อนแออย่างเราจะปริปากได้ยังไง หากเราไม่ได้ถูกตำหนักคลื่นเมฆาดูดกลืนก็ต้องเป็นกองทั
“ฮ่าฮ่า ไม่ว่าหัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่งจะขุ่นเคืองใจหรือไม่ ผมก็ไม่กล้ามอบโอสถให้เขาอยู่ดี!”เฟนด์หัวเราะและพูดว่า “หลังจากการเลือกตั้งจบลง ผมค่อยให้โอสถแก่เขา และแน่นอนว่าเขาจะไม่เกลียดผมอีกต่อไป นอกจากนี้ หากเขารู้ว่าผมเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสาม เขาคงจะดีใจมาก!”“นั่นก็จริง เขาจะสามารถบ่มเพราะโอสถได้อย่างรวดเร็ว ตราบใดที่ระดับพลังยุทธ์ของเขายังสูง บางทีเขาอาจจะไม่สนใจเรื่องการเป็นหัวหน้าเลยก็ได้!”ไททัสและคนอื่น ๆ พยักหน้ามีความสุขมาก"เอาล่ะ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วล่ะทุกคน เรามีทรัพยากรยุทธมากมายจากป่า เดือนนี้ทั้งเดือนเราไม่ต้องกังวลอีกแล้ว มันจะเพียงพอให้ทุกคนได้บ่มเพาะตัวเองในอีกสองหรือสามเดือนข้างหน้าด้วยซ้ำ ทุกคนควรสงบสติอารมณ์ก่อนเพื่อที่จะได้บ่มเพราะระดับพลังยุทธของตัวเอง!”เฟนด์ยิ้มอย่างขมขื่นและบอกทุกคนทุกคนพยักหน้า พวกเขาไม่กังวลอีกต่อไปแล้ว และพวกเขาก็ออกไปบ่มเพาะพลังยุทธของตนเองอย่างรวดเร็วในขณะนี้ ที่ที่พักของออสติน หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง มีผู้คนมากมายมารวมตัวกันเช่นกัน“หัวหน้าป้อมปราการลำดับที่หนึ่ง การตัดสินใจของคุณยอดเยี่ยมมาก!”ชายชราคนห