“นายน้อยอาเธอร์ ผมคิดว่าเราควรค่อย ๆ ค้นหาสิ่งของล้ำค่าไปนะ ดังคำกล่าวที่ว่า ‘แมวตายเพราะความอยากรู้อยากเห็นของมัน’ มันไม่มีอะไรน่าดูหรอก!” เฮนดริกเสริมคำเอลล่า เพื่อพยายามปรามไม่ให้อาเธอร์ออกไปยังพื้นที่นั้นอย่างชัดเจน“ฮ่าฮ่า! นายน้อยเฮนดริก พอฉันได้ยินคุณพูดอย่างนั้นความอยากรู้อยากเห็นและความต้องการดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็ยิ่งสูงขึ้นอีก ทุกคนไปกันเถอะ! เราจะค้นหาสมบัติกันเมื่อเราบินไปที่นั่น ไปค้นหาให้ทั่ว ๆ เราอาจได้รับหญ้าวิญญาณระหว่างทางด้วยการทำเช่นนั้น!” อาเธอร์หัวเราะและโบกมือบินออกไปคนอื่น ๆ ก็บินกระจายกันออกไป พวกเขาเรียงแถวเป็นแนวขนานและบินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆชายหนุ่มที่มากับเอลล่าและคนอื่น ๆ เกาศีรษะขณะพูดกับเฮนดริก “ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน พี่เฮนดริก ป่ามันดูแตกต่างไปจากเดิมมากทีเดียว!”“เฮ้อ… มันต่าง… ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเชียวล่ะ!” เฮนดริกไม่ต้องการอธิบายมากเกินไป เขาถอนหายใจและบินขึ้นไปให้ทันคนอื่น ๆ“พี่ชาย ฉันควรแอบนำทุกคนไปและไปสลายการต่อสู้ข้างหน้านั่นก่อนดีไหม?” เอลล่ากล่าวกับเฮนดริก หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วโดยไม่คาดคิด เฮนดริกส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มแห้ง
“ฮ่าฮ่า… มันยังเร็วเกินไป! เรามาคุยกันหลังจากที่เราฆ่าคนพวกนี้แล้วเถอะ!” ทอมหัวเราะเสียงดังและชี้ไปที่เฮเลน่าขณะที่เขาพูด “การจะปล่อยผู้หญิงคนนั้นตายแบบนี้มันมันน่าเสียดายออก ส่งเธอมาให้ผม ผู้หญิงคนนี้ดื้อจริง ๆ!”“ฮ่าฮ่า! ฉัน…เข้าใจสิ่งที่คุณหมายถึง!” ผู้อาวุโสหัวเราะคิกคักกับคำพูดของทอม จะปล่อยให้คนสวยเช่นนี้ที่จะตายไปแบบนั้นได้อย่างไร น่าเสียดายตายชักไม่ใช่แค่ทอมเท่านั้น แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังมีความคิดเช่นนั้นกับเฮเลน่า วืด!ด้วยเหตุนี้ ทอมจึงกะพริบตาให้เฮเลน่าขณะที่เขาฟันคนหลายคนภายในไม่กี่พริบตา “จุ๊ จุ๊ จุ๊! ใครจะไปรู้ว่าบนแผ่นดินใหญ่จะมีสาวงามเช่นนี้ด้วย ดูจากลักษณะแล้วคุณน่าจะอยู่ในวัยสามสิบ ฮ่าฮ่า… ผมชอบผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่อย่างคุณ!”เฮเลน่ายิ้มอย่างเย็นชาเมื่อสังเกตเห็นการแสดงออกที่เปิดหมดเปลือกของทอม “คุณไม่ได้ทำเช่นนี้เพราะคุณมีคนมากกว่าเหรอ? ถ้าวันนี้ฉันจะต้องตาย ฉันก็จะดึงคุณลงนรกไปพร้อมกับฉัน!”เธอกำดาบซึ่งเต็มไปด้วยพลังฉีสีทองอ่อน เรียวนิ้วกระชับรอบดาบขณะที่พูด จากนั้นเธอก็โบกดาบไปข้างหน้าอาเธอร์และคนอื่น ๆ มาถึงป่าใกล้ ๆ กันแล้ว พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในป่าและมองไปข
“คนเหล่านี้ไม่ใช่คนจากทั้งสองฝ่ายงั้นเหรอ?” เจ้าอ้วนขมวดคิ้ว แต่แล้วเขาก็ยิ้ม “เป็นไปไม่ได้หรอกพวกเขาย่อมมาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน! ฝ่ายหนึ่งอาจเป็นสมาชิกของกองกำลังภาคี และอีกฝ่ายคงเป็นสมาชิกของกองกำลังปฏิภาคี เดาว่าเร็ว ๆ นี้คงจะมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้นนั่นแหละ!”นั่นฟังดูสมเหตุสมผลสำหรับอาเธอร์เช่นกัน เขาพยักหน้าและพูดว่า “ฟังดูสมเหตุสมผลนะ เพราะทั้ง กองกำลังภาคี และกองกำลังปฏิภาคีต่างก็มีกองกำลังจำนวนมาก ถือว่าเข้าใจได้หากเราจะไม่สามารถจำรูปลักษณ์ของป้ายห้อยเอลของพวกเขาได้ แต่ฉันแน่ใจว่าฝ่ายหนึ่งคือกองกำลังภาคี ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นสมาชิกของกองกำลังปฏิภาคี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ย่อมเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ขึ้นได้”“ใช่ ใช่ ใช่… ฉันว่าต้องใช่แน่!” เอลล่าเห็นด้วยอย่างจริงจังและพยักหน้ารัว ๆ ราวลูกเจี๊ยบกำลังจิกข้าว เธอกลัวว่าอาเธอร์และคนอื่น ๆ จะรู้ว่าคนเหล่านี้มาจากดินแดนรกร้าง“ฉลาดมาก นายน้อยอาเธอร์ ผมว่ามันต้องใช่แน่ ๆ!” เฮนดริคยังเช็ดเหงื่อเย็น ๆ ของเขาด้วย แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นเมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันค่อนข้างยากสำหรับคนปกติที่จะคิดถึงเรื่องนั้น และโลกที
“อั่ก!” เฮเลน่าถลาถอยหลังไป หลังจากที่เธออาเจียนเป็นเลือดใบหน้าของเธอซีดลง อนิจจา เธอสู้กับทอมไม่ได้ เธอไม่แม้แต่จะทันได้ปัดป้องในตอนที่เขาโจมตีเธอในระยะประชิดขณะที่เธอเกือบจะล้มลงกับพื้น ร่างสองร่างก็พุ่งเข้ามาหาเธออย่างว่องไว ร่างหนึ่งกอดเอวเธอไว้แล้วค่อย ๆ พามาลงมาที่พื้นผู้ชายที่อุ้มเธอเป็นคนแปลกหน้าและดูหล่อเหลามาก ต่างจากผู้ชายที่ดูบึกบึนอย่างเฟนด์ ผู้ชายคนนี้มีความหล่อแบบคนหน้าสวยเล็กน้อยมันทำให้เธอค่อนข้างจะใจเต้นในขณะที่เขารั้งเธอไว้กับร่างของเขาขณะที่เธอจ้องมองชายตรงหน้าด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีเล็กน้อย เฮเลน่าก็ตระหนักถึงสถานการณ์ของเธอและเตือนเขาอย่างเร่งด่วนว่า “ข… ขอบคุณที่ช่วยฉัน นายน้อย แต่พวกเขามีกันมากเกินไป และคุณคงสู้กับพวกเขาไม่ไหวหรอก หนีเร็วเข้า! สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ!”“ไม่… ไม่เป็นไร ให้ฉันช่วยคุณเถอะ!" เฮนดริกยิ้มอาย และเกาหัวอย่างเคอะเขิน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหญิงสาวผู้งดงามเช่นนี้ และมันทำให้เขารู้สึกงงงวยมากพอ ๆ กับที่เขารู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกเมื่อเห็นเธอได้รับบาดเจ็บ ตอนนั้นเองที่เขาพุ่งไปข้างหน้าและคว้าเธอไว้แนบกายอาเธอร์ซึ่งช
"โจมตีเลย!" พรรคพวกของทอมรีบโจมตีทันทีตามคำสั่งของเขาตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!เสียงผู้คนปะทะกันดังขึ้นอีกครั้ง“ฮ่าฮ่า… พวกคุณคงอยากจะตายมากสินะ จัดให้ตามที่ขอ !” เฮนดริกตระหนักว่าอาเธอร์ต้องการทำตัวเท่ต่อหน้าเฮเลน่า และเขาไม่อยากน้อยหน้า เขาซึ่งไม่เคยชอบที่จะเป็นจุดสนใจก็พุ่งไปหาทอม พลังฉีพุ่งออกมาจากกำปั้นของเขา และเขาก็เหวี่ยงกำปั้นใส่ทอมอย่างรุนแรง"ไอ้หมอนี่...!" ทอมแทบจะกระอักเลือดเมื่อเห็นอาเธอร์ลงมือก่อนที่เขาจะทันได้ตั้งตัว นอกจากนี้เขายังตระหนักว่าเฮนดริกเองก็ต้องการอวดฝีมือต่อหน้าสาวงามอีกด้วย ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ออกหน้าเช่นนี้ท่าทางของทอมดูตกตะลึงเมื่อเขานึกถึงบางสิ่ง 'ไม่ได้การแล้ว การโจมตีของเขารวดเร็วเหลือเชื่อ!'ทว่าเขาไม่มีเวลาได้ประเมินมันเนื่องจากกำปั้นของคู่ต่อสู้มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ขณะที่เขากำหมัดแน่น เขากระตุ้นพลังฉีในร่างกายอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเหวี่ยงเข้าหากำปั้นของเฮนดริกรอยยิ้มแปลก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฮนดริกราวกับว่าเขาคาดไว้ตั้งแต่เริ่มต้น เขาเอียงตัวเล็กน้อยและหมัดของเขาก็กระแทกเข้ากับหน้าอกของทอม“เป็น…เป็นไปไม่ได้!” ทอมไม่เคยคิดว่าคู่ต่อสู้ของเขา
ผู้อาวุโสจากตระกูลคาเบลโล บินไปหาเฮเลน่าและยืนอยู่ข้างเธอ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ “คุณหนูลำดับที่หนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับคนเหล่านี้ พวกเขาทรงพลังเกินไป!”เฮเลน่าพยักหน้า “ใช่ ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้เป็นปรมาจารย์ในระดับเทพสูงสุด และพวกเขาแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ฉันสงสัยว่าพวกเขาอาจเป็นคนพื้นเมืองของที่นี่ มีเฉพาะคนจากพื้นที่นี้เท่านั้นที่สามารถบรรลุระดับเทพสูงสุดได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เนื่องจากพวกเขาสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่มากมายและทุกสิ่งที่มีอยู่ในพื้นที่นี้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้นผู้อาวุโสรู้สึกหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสงบสติอารมณ์และพูดกับเฮเลน่าว่า “ทำไมพวกเขาถึงเต็มใจมาช่วยเราล่ะ? พวกเขาช่วยเราเพราะเราถูกคู่ต่อสู้รังแกโดยเห็นว่าเราด้อยกว่าเขาหรือ? คนในนี้ไม่ได้ต่อต้านที่พวกเราเข้ามาในบริเวณนี้หรือ?”เฮเลน่าประหลาดใจไม่ต่างกัน เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ฉันก็ไม่แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน ทำไมผู้คนจากพื้นที่นี้ถึงยินดีช่วยเรา?”ผู้อาวุโสมองเฮเลน่าอย่างใกล้ชิด และสีหน้าแปล
หญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาพูดขึ้นด้วยความงุนงง “ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน คนที่เข้ามากับเรามาจากตระกูลลึกลับต่าง ๆ ไม่ก็เป็นสมาชิกของสี่ชนเผ่าโบราณ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมาชิกของวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ตามเราเข้ามาในพื้นที่นี้ได้อย่างไร! แต่คนเหล่านี้มีระดับพลังยุทธสูงเช่นนี้ได้อย่างไรในเมื่อพวกเขายังเด็กกันอยู่? คุณรู้หรือไม่ว่าพวกเขามาจากตระกูลไหนไหน? พวกเขาเป็นอัจฉริยะจากชนเผ่าโบราณหรือเปล่า?”เฮเลน่าพูดไม่ออกในทันทีเมื่อสิ่งที่เธอกลัวที่สุดเกิดขึ้น ในขณะที่เธอตกอยู่ในห้วงความคิด เธอไม่สามารถปิดทุกคนได้ สิ่งเดียวที่เธอคิดได้คือการรีบนำคนอื่น ๆ จากไปแต่บางคนยังคงตั้งสมมติฐานต่อไป“คุณสองคนช่วยหยุดพูดจะได้ไหม?” เฮเลน่าโกรธจัดขณะจ้องมองสมาชิกสองคนจากตระกูลคาเบลโล เธอตำหนิพวกเขาในใจสำหรับความโง่เขลาและปากสว่างของพวกเขา มีความเป็นไปได้ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดจะทำให้ทุกคนตายกันหมด“วิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์นี่หมายถึงอะไร? สี่ชนเผ่าโบราณและตระกูลลึกลับ? พวกคุณเข้ามาในพื้นที่นี้งั้นหรือ? พวกคุณมาจากไหนกัน?” อาเธอร์ขมวดคิ้วและทำหน้างุนงงสกายไม่พอใจกับความเอาใจใส่ของอาเธอร์มาตั้งแต่ไห
อาเธอร์ขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึมนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และเขาไม่อยู่ในสถานะที่จะตัดสินใจอะไรได้เขาพูดขึ้นหลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง “นั่นเป็นจำนวนที่มาก และแม้ว่าพวกคุณหลายคนจะเสียชีวิตไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมากกว่าหลักร้อยหรือหลักพัน แต่ก็ยังถือว่ามีกันมากอยู่ดี ถ้ามีแค่พวกคุณ เราจะสามารถแจ้งหัวหน้าป้อมปราการและจะกระจายพวกคุณไปยังป้อมปราการทั้งเก้าแห่งได้ คนอื่นจะสังเกตเห็นได้ยาก เพราะเราจะบอกว่าพวกคุณจะมาร่วมงานกับเรา แต่วิธีนี้ใช้ไม่ได้กับพวกคุณหลายแสนคนหรอก”จากนั้นหลังจากที่เธอชั่งใจ สกายก็ดึงอาเธอร์ไปข้างหนึ่งทันทีเมื่อพวกเขาอยู่ห่างออกไประยะหนึ่ง สกายพูดกับอาเธอร์ว่า “นายน้อยอาเธอร์ ฉันคิดว่าเราควรฆ่าคนนับพันเหล่านี้ คนพวกนี้นี้บุกรุกเข้ามาและยังแย่งชิงทรัพยากรของเราไปอีก หลังจากที่เราฆ่าพวกเขาแล้ว เราก็สามารถนำทรัพยากรที่ได้รับมาจากพื้นที่นี้ด้วย เมื่อรวมกับทรัพยากรจากคนที่เราสังหารไปก่อนหน้า มันจะเป็นจำนวนที่มากพอสมควร ลองคิดดูสิ หลังจากอยู่ที่นี่นานกว่าสิบวันพวกเขาต้องรวบรวมสิ่งของมากมาย”ริมฝีปากของสกายกรีดเป็นรอยยิ้มก่อนที่เธอจะกล่าวเสริมว่า “หลังจากฆ่าพวกเขาแล้ว เราก็จะสา
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ