ริมฝีปากของเฟนด์ระบายรอยยิ้มนุ่มนวล ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จในการทะลวงเข้าสู่ขั้นที่หนึ่งระดับเทพสูงสุดในช่วงเวลาที่เขาทะลวงเข้าสู้ระดับเทพสูงสุด เขารู้สึกราวกับว่าถูกส่งไปยังโลกอันมืดมิด มีลูกบอลเรืองแสงลอยอยู่ต่อหน้าเขาทีละลูก ๆ ก่อนที่พวกมันจะหายวับไปไกลหลายพันไมล์ราวกับอุกกาบาตสิ่งนี้กินเวลาอยู่เพียงหนึ่งหรือสองวินาทีก่อนที่มันจะหายไปคลื่นความผันผวนที่รุนแรงกระจายออกจากร่างกายของเฟนด์และทำให้บริเวณโดยรอบสั่นสะเทือนเฟนด์สามารถสยบคลื่นความผันผวนที่รุนแรงนี้ลงได้ หากไม่ได้สัมผัสกับความรุนแรงดังกล่าวนี้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าใครก็คงสงสัยว่าความผันผวนที่รุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรในขณะนั้นเอง เฟนด์ก็ลืมตาขึ้นและค่อย ๆ ยืนขึ้นด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เขาแผ่ความร่าเริงสดใสให้กับทุกคน“เขาทำสำเร็จ! เขาทำสำเร็จแล้ว! เขาเร็วมาก เขาประสบความสำเร็จได้ภายในเวลาไม่ถึงสี่วัน!” ดาเนียลล่าแทบจะกระโดดดีใจเมื่อเห็นรอยยิ้มของเฟนด์เฟนด์ยิ้มอย่างเฉยเมย เขารู้ว่านี่เป็นเพราะทักษะยุทธนั้นยากนิดหน่อย มันเป็นทักษะซับซ้อนที่ต้องฝึกฝนและต้องใช้เส้นเลือดมากมาย ไม่อย่างนั้นเขาคงจะประสบความสำ
แนชชูกำปั้นขึ้นเหนือศีรษะเมื่อเขารู้สึกถึงพลังภายในที่ทรงพลังเพิ่มขึ้นหลายเท่าในตัวเขาความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว ในขณะที่พลังฉีจำนวนเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา พลังฉีนั้นมีความทรงพลังอย่างมากและเป็นสีทองอ่อน ๆ ดวงตาของเขาแดงเล็กน้อยเมื่อเขาถูกยืนยันว่าเขาอยู่ในขั้นหนึ่งระดับเทพสูงสุดแล้วจริง ๆ “โอ้ ความรู้สึกของการทะลวงไปอีกระดับ รู้สึกได้เลยว่าตัวฉันมีความเข้าใจในความพิเศษของระดับนี้อย่างมาก!” แนชพยักหน้าและพูดต่อ “มีเรื่องที่ค่อนข้างแปลกเกิดขึ้น ทันทีที่พ่อทะลวงผ่านระดับมาได้ มันเหมือนพ่อได้เดินทางไปยังอีกโลกหนึ่ง ที่นั่นมีลูกบอลเรืองแสงพุ่งผ่านพ่อไปราวกับอุกกาบาตทีละลูก ๆ ก่อนที่พวกมันจะหายวับไปในพริบตา! เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนที่พ่อทะลวงผ่านระดับไปได้นี้อาจจะเป็นภาพลวงตา!”เฟนด์ตกตะลึงกับคำสารภาพของพ่อ เขาสูดหายใจเข้าก่อนจะพูดว่า “พ่อ… พ่อเห็นพื้นที่นั้นด้วยเหรอ? ตอนที่ผมทะลวงผ่านมาได้ ผมก็เห็นฉากเดียวกันนี้ ฉันคิดว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาและมีเพียงผมคนเดียวที่เห็นมัน ไม่คิดเลยว่าว่าพ่อเองก็เห็นฉากเดียวกันนี้ด้วย!”“เป็นไปได้อย่างไร? ลูก… ลูกเคยเห็นมันด้วยเหรอ?” แนชสูดหายใจเ
แนชยิ้มอย่างเฉยเมยและโบกมือขณะที่เขาพูดว่า “นายท่านคาเบลโล ไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้นหรอก แม้ว่าเราจะไม่ได้แบ่งปันทักษะยุทธนี้ให้กับคุณ แต่ผมเชื่อว่าคุณจะได้รับมันในป่าผื่นี้ในไม่ช้า การทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุดเป็นเพียงเรื่องของเวลา ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ล่าสมบัติที่มีของล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วน ไม่อย่างนั้นเฟนด์คงไม่ได้รับสองทักษะยุทธได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้!”“ฮ่าฮ่า… คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เราจะสบายใจมากขึ้นเมื่อเราก้าวเข้าสู่ระดับเทพสูงสุดได้ในไม่ช้า มิฉะนั้น เราคงไม่อาจต่อกรกับภยันอันตรายได้ เหมือนอย่างตอนที่เราพบกับสัตว์อสูรที่อยู่ในในขั้นที่หนึ่งของระดับเทพสูงสุดนั่นไง แต่ตอนนี้เราทะลวงผ่านมาได้แล้ว เราก็สามารถขวางคู่ต่อสู้ไว้ได้ แม้ว่าเราจะไม่สามารถเอาชนะสัตว์อสูรได้ แต่อย่างน้อยเราก็สามารถต่อกรกับพวกมันได้!” อเล็กซานเดอร์หัวเราะเสียงดัง น่าเสียดายที่เขาไม่ได้พบกับสมาชิกที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงของตระกูลคาเบลโลของเขา ไม่เป็นเช่นนั้นตระกูลคาเบลโลก็อาจมีปรมาจารย์ในขั้นที่หนึ่งของระดับเทพสูงสุดเพิ่มขึ้นอีกสักสองสามคน หากพวกเขาได้ฝึกฝนร่วมกัน!แนชสบตากับเฟนด์ก่อนที
“ฮ่าฮ่า… พวกมีพรสวรรค์ก็แบบนี้แหละ เปรียบเทียบเสียเห็นภาพเชียว!” อเล็กซานเดอร์กล่าวกับเคนเนธอย่างยิ้มแย้ม “แต่ที่เราสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับเทพสูงสุดได้ผมก็พอใจแล้ว ไม่ต้องพูดถึงระดับเทพสูงสุดเลย ผู้ฝึกยุทธหลายคนเสียชีวิตก่อนที่พวกเขาจะได้ก้าวเข้าสู่ระดับเทพแท้จริงเสียอีก!”เคนเนธพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “นายท่านคาเบลโลพูดถูก ในฐานะมนุษ์คนหนึ่ง เราต้องพอใจกับสิ่งที่เรามี ผมมีความสุขมากกับความสำเร็จของตัวเองในตอนนี้ อีกอย่างเซเลน่าก็ยังเป็นบุคคลที่มีความสามารถและเทียบได้กับคุณหนูทั้งสามของตระกูลคาเบลโลเลย ผมคิดว่าคุณจะก้าวไปสู่ระดับเทพสูงสุดได้ในเร็ว ๆ นี้!”เซเลน่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฝืนยิ้มออกมา เพราะหากคำสาปของเธอไม่ถูกถอนออก เธอก็จะมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ นี่ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว การฝึกฝนของพวกเขาก็ใช้เวลาไปอีกสี่วัน เธอมีเวลาเหลือไม่มาก ถ้าเธอไม่สามารถถอนคำสาปได้ เธอก็ทำได้เพียงแค่รอวันตายเฟนด์รู้ว่าเซเลน่ากำลังคิดอะไรเมื่อเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ แต่แผงความขมขื่นของเธอ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเรื่องในทันที “ว่าแต่ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง คุณพบเจออะไรบางอย่างในตอนที่ทะลวงผ่านมาหรือไม่?”เคนเนธตกตะลึงก่อน
เฟนด์ยิ้มและปลอบโยนแลนสล็อต “อย่ากังวลไปเลยผู้อาวุโสลำดับที่สาม คุณเพิ่งผ่านเข้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงไปเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นคุณควรพักผ่อนสักระยะแล้วค่อยพยายามฝ่าฟันไปอีกครั้งในคราวหน้า อย่างไรเสีย มันก็ถือว่าเป็นระดับพลังยุทธที่สูงส่ง และหากทุกคนสามารถทะลวงผ่านได้อย่างง่ายดายมันก็ไม่ถูกต้องสิ”แลนสล็อตพยักหน้าและพูดว่า “คุณพูดถูก อย่างน้อยตระกูลวู๊ดของเราก็มีคนที่อยู่ในขั้นที่หนึ่งของระดับเทพสูงสุดถึงสี่คนแล้วในตอนนี้ แน่นอนว่าตระกูลของเราต้องเป็นผู้นำในบรรดากองกำลังทั้งหมดที่เข้ามาในพื้นที่นี้แน่!”แนชหัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขาขัดอย่างสุภาพ “เรื่องนี้เราไม่แน่ใจนัก หลังจากที่ใครต่อใครกระจัดกระจายกันออกไป และเราล่าช้ามาสี่วันแล้ว ภายในสี่วันนี้ ทุกคนอาจยิ่งกระจัดกระจายไปมากขึ้นโดยที่เราไม่มีทางได้รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลย! เรามีคนจากตระกูลวู๊ดและตระกูลคาเบลโลเพียงสองสามร้อยคนเท่านั้น!”อเล็กซานเดอร์พยักหน้าเช่นกัน “เฮ้อ… ผมได้แต่สงสัยว่าเฮเลน่ากับวีนัสอยู่ที่ไหน เราเข้ามาที่นี่หลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เจอกับพวกเธอเลย ตอนนี้เราล่าช้ามาสี่วันแล้ว บางคนอาจจะเดินทางไกลออกไปอีกใ
“นี่ดูเหมือนนี่จะไม่ใช่ความคิดที่ดีนะครับ พวกคุณพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้หญ้าวิญญาณพวกนี้มา”เฟนด์พูดตะกุกตะกักในขณะที่เขามองหญ้าวิญญาณที่อยู่ตรงหน้า“เฮ้ ไม่มีอะไรไม่ดีหรอก ไม่มีหญ้าวิญญาณต้นไหนมีค่าเท่าทักษะยุทธที่พวกคุณแบ่งปันให้กับเราแล้ว นอกเหนือจากทักษะยุทธที่ช่วยให้ก้าวไปสู่ระดับเทพสูงสุดแล้ว ยังมีทักษะยุทธที่ทำให้ทะลวงเข้าเพื่อเข้าสู่ระดับทะลวงวิญญาณด้วย เราสามารถไปถึงขั้นที่เก้าในระดับทะลวงวิญญาณได้อย่างแน่นอนด้วยสิ่งนั้น!” อเล็กซานเดอร์ยืนกรานด้วยความปิติ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ดาเนียลล่าขณะที่เขาเสริมอย่างมีความหมายว่า “อีกอย่าง ตอนนี้เราไม่ได้เป็นแค่พันธมิตรกันเท่านั้น เราอาจจะเป็นทองแผ่นเดียวกันในอนาคต ทำไมเราต้องมองว่าอีกฝ่ายเป็นคนนอก? ฉันพูดถูกไหม?”ดาเนียลล่าซึ่งยืนอยู่ด้านข้างแสดงออกอย่างเขินอายทันที"ถูกต้อง! นายท่านคาเบลโลพูดถูก เราควรช่วยเหลือกันไม่ใช่หรือ?” แนชหัวเราะอย่างมีความสุขและพูดต่อ “นอกเหนือจากนั้น ลูกจะมอบโอสถเม็ดระดับสามให้แก่นายท่านคาเบลโลสักหนึ่งหรือสองเม็ดหลังจากที่ลูกประสบความสำเร็จได้ด้วยหญ้าวิญญาณที่ได้รับจากเขาได้ไหม?”"ตกลง ถ้าผมสามารถก้าวขึ้
เพื่อปรับตัวให้เข้ากับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นในร่างกายและเพื่อให้ควบคุมพลังงานที่เพิ่มมาได้ดีขึ้น อเล็กซานเดอร์ เคนเนธ และคนอื่น ๆ รีบพุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อต่อสู้กับสัตว์อสูรทุกตัวที่ขวางทางพวกเขาสมาชิกของตระกูลคาเบลโลจะนำหญ้าวิญญาณที่ได้รับมาให้เฟนด์ดูเพื่อให้เขาเลือกว่ารายการใดเหมาะสมสำหรับการบ่มเพาะโอสถ หากพบหญ้าที่เหมาะสม พวกเขาจะมอบให้ฟนด์ในทันทีพวกเขาจำได้ว่าเฟนด์ให้สำเนาทักษะยุทธแก่พวกเขามา และนั่นถือเป็นพรแสนวิเศษสำหรับตระกูลคาเบลโลเมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็น และทุกคนก็นั่งพักผ่อนกัน เฟนด์ก็เริ่มศึกษาวิธีการบ่มเพาะโอสถชั้นต้นระดับสามในช่วงหัวค่ำ เขาทำคุ้นเคยกับโอสถและขั้นตอนการฝึกฝนจนจำขึ้นใจ จากนั้นเฟนด์ก็บ่มเพาะโอสถในคืนนั้นเฟนด์พยายามบ่มเพาะโอสถถึงสามครั้งตลอดทั้งคืนและล้มเหลวทั้งสามครั้ง แม้ว่าเขาจะคิดไว้อยู่แล้วว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น แต่มันก็ยังทำให้เขาคับแค้นใจนี่เป็นเพราะการบ่มเพาะโอสถระดับสามนี้ไม่เพียงแต่ต้องใช้หญ้าวิญญาณระดับสามเป็นส่วนผสมหลักเท่านั้น แต่ในโอสถนี้ยังต้องใช้หญ้าวิญญาณระดับสองและสมุนไพรที่เหมาะสมอื่น ๆ เป็นวัตถุดิบเสริมในระหว่างขั้นตอนกา
เซเลน่ารู้สึกประทับใจเมื่อเห็นท่าทีร้อนใจของดาเนียลล่า เธอสัมผัสได้เลยว่าดาเนียลล่าชื่นชอบเฟนด์เพียงใดและเป็นเด็กดีที่มีจิตใจบริสุทธิ์อย่างแท้จริงเซเลน่ายิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “อย่ากังวล ฉันจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก ยังไงไคลี่ก็ยังรอให้ฉันกลับบ้าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ เพราะพ่อแม่ของฉันเองก็อยู่บ้านรอการกลับมาของฉันเหมือนกัน ฉันแค่พูดในสิ่งมันอาจจะเกิดขึ้น”“พี่เซเลน่า ฉันรู้ได้เลยว่ามันจะไม่เกิดขึ้น!” ดาเนียลล่ายิ้มด้วยความมั่นใจขณะที่เธอจับแขนของเซเลน่า...ฝูงชนยังคงเดินทางต่อไป ทว่าพวกเขากลับได้ยินเสียงคนต่อสู้กันในบริเวณข้างหน้าโดยไม่ทันตั้งตัวในช่วงบ่ายเฟนด์และคนอื่น ๆ เคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจากระยะไกล และเฟนด์ขมวดคิ้วทันทีที่เขาสังเกตเห็นว่ากลุ่มที่ถูกล้อมอยู่คือ วีนัสและคนหนุ่มสาวจากตระกูลคาเบลโลอีกหลายคน ในขณะที่ผู้คนที่อยู่ล้อมพวกเขาอยู่ก็เป็นสมาชิกของตระกูลคาเบลโลด้วยเช่นกัน"เกิดอะไรขึ้น? ทำไมผู้อาวุโสของตระกูลคาเบลโลถึงไล่ต้อนคุณหนูลำดับที่สองตระกูลคาเบลโลและคนอื่น ๆ แบบนั้น?” เฟนด์ถามด้วยงงงวยพร้อมกับขมวดคิ้วอเล็กซาน
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ