ในไม่ช้าทั้งสี่ก็ออกจากถ้ำและก้าวไปข้างหน้า “ชายศีรษะล้านฆ่าเจ้าวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ช่างดีจริง ๆ!" แนชหัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขานึกถึงฉากนั้น “สิ่งเดียวที่ผมเสียดายคือการปล่อยให้ตาเฒ่าโจเอลคนนั้นหนีไปได้!” เขาพูดกับอีกสามคนที่เหลือ รอยยิ้มอันขมขื่นผุดขึ้นบนใบหน้าของเฟนด์เมื่อได้ยินคำพูดของแนช “ไม่ว่าสองคนนั้นจะตายหรือมีชีวิตอยู่ พวกเขาไม่ใช่ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเราในตอนนี้คือผู้ที่มีความแข็งแกร่งในระดับเทพแท้จริงที่ได้เข้ามาในสถานที่แห่งนี้! เพราะนั่นหมายความว่ากองกำลังของพวกเขากำลังแทรกซึมอยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้ว! และถ้าพวกเขาสามารถทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุดได้เร็วกว่าเรา นั่นต้องเป็นปัญหาแน่!” “ฮิฮิฮิ!” อย่างไรก็ตามเมโลดี้เอามือปิดปากและหัวเราะคิกคัก “พวกเขาคงไม่รู้ว่าแม้พวกเขาจะทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุดได้ พวกเขาก็ยังห่างชั้นกับคุณใช่ไหม? เพราะเมื่อวานนี้คุณฆ่านักสู้ในระดับเทพสูงสุดไปุถึงสองคน ยิ่งกว่านั้นทั้งสองนั้นก็อยู่ในระดับเทพสูงสุดอยู่ก่อนแล้วและพลังของพวกเขาก็คงมั่นคงมาก แต่พวกเขากลับถูกคุณฆ่า เพราะฉะนั้นคนที่เพิ่งทะลวงเข้าสู่ร
ถัดจากศิษย์พี่มู มีสมาชิกชายจากตำหนักนภายืนอยู่ คิ้วของเขาขมวดเป็นปมและดูคล้ายจะไม่พอใจที่ศิษย์พี่มูพูดออกไปเช่นนั้น “บอกมาเลย! เงื่อนไขของคุณคืออะไร?” ผู้พิทักษ์ของตำหนักเทพยดาถามอีกฝ่าย เธอกัดริมฝีปากสีชมพูของตัวเอง ชายที่คนอื่นเรียกว่าศิษย์พี่มูตะคอกอย่างเย็นชาก่อนที่จะพูดเงื่อนไขของเขา “ไม่ยาก นอกจากนังอ้วนนั่น ผู้หญิงทุกคนจะต้องถอดเสื้อผ้าออกแล้วเต้นต่อหน้าพวกเรา! แล้วเราจะไว้ชีวิตพวกเธอ แล้วยังไงล่ะ” “อ๊ะ! ศิษย์พี่มู ความคิดเข้าท่าดี! ฮ่าฮ่าฮ่า! ดีเลย! ผมก็อยากเห็นเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหญิงสาวผู้สูงศักดิ์และเย่อหยิ่งจากตำหนักเทพยดาเหล่านี้ คงจะสนุกดีถ้าได้เห็นพวกเธอส่ายสะโพกไปมาด้วย ฮ่าฮ่า!” ชายจากเมื่อก่อนหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อได้ยินข้อกำหนดและเงื่อนไขของศิษย์พี่มู ความตื่นเต้นและความคาดหวังกำลังลุกโชนในดวงตาของเขา “ฝันไปเถอะไอ้ส*รเลว! พวกเราสมาชิกของตำหนักเทพยดายอมตายดีกว่าทำเช่นนี้!” ผู้พิทักษ์หญิงโกรธมากหลังจากได้ยินเงื่อนไขที่ทำให้ใบหน้าถอดสี เงื่อนไขของลาโง่เหล่านี้มันมากเกินไป “เราไม่ทำหรอก! ฉันรู้มาตลอดว่าสาวกของตำหนักนภานั้นหน้าด้านและไร้ศักดิ์ศรี แต่ไม่เ
“เฮ้! ช่างจองหองจริง ๆ! เธอเป็นใครถึงได้กล้าประกาศแบบนี้…” สมาชิกชั้นสูงของตำหนักนภาอย่างศิษย์พี่มูกัดฟันกรอด เขาหันกลับมาพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่เขาพูดได้เพียงครึ่งประโยคเดียว ก่อนจะหันไปเห็นว่าใครเป็นคนพูด เขาอ้าปากค้างและเบิกตากว้าง ผู้พูดคือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักเทพยดา และในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ เธอมีสิทธิ์ประกาศเรื่องดังกล่าวได้ “สตรีศักดิ์สิทธิ์… พระเจ้า! เธอคือเมโลดี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ของเรา!” ความหวังเบ่งบานในหมู่สาว ๆ จากตำหนักเทพยดา เมื่อพวกเธอเห็นว่าผู้พูดเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของตำหนัก ดวงตาของพวกเธอก็แดงก่ำกับเหตุการณ์ตรงหน้า พวกเธอรู้สึกราวเป็นผู้โชคดีที่รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อรู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์มาช่วยพวกเธอแล้ว “เดี๋ยวนะ นายน้อยวู๊ดก็อยู่ที่นี่ด้วย! ขอบคุณพระเจ้า!" มีบางคนสังเกตเห็นว่าคนที่ยืนข้างเมโลดี้คือเฟนด์ ตอนนี้ความหวังของพวกเขาเต็มเปี่ยมอีกทั้งเฟนด์และเมโลดี้ก็ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันพอสมควร และตราบใดที่เฟนด์จะช่วยพวกเธอ ก็ไม่มีทางที่พวกเลวจากตำหนักนภาจะมีชีวิตรอดไปได้“ยินดีที่ได้พบ นายน้อยเฟนด์ สตรีศักดิ์สิทธิ์ เมโลดี้!”
โฮก! อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เฟนด์กำลังจะถอนหญ้าวิญญาณนั้น เสือเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวก็พุ่งตัวออกมา เมื่อกรามของมันอ้าออกกว้าง มันก็กระโจนตัวและพ่นลูกไฟออกจากปากไปทางเฟนด์ "ไปลงนรกซะ!" ในขณะที่ทุกคนกำลังกังวลเรื่องเฟนด์ เขาก็หยุดการเคลื่อนไหวทันที ด้วยการหลบหลีกอย่างรวดเร็ว เขาก็ไปปรากฏตัวที่ด้านบนของตัวเสือเพลิงยักษ์และทุบหัวของมันด้วยกำปั้น ตู้ม! เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว และเสือเพลิงยักษ์ก็กระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง เกิดเป็นหลุมลึกบนผิวดิน รอยแตกกระจายออกมาจากหลุมลึกยาวถึงสามเมตร เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ทรงพลังอย่างยิ่งของเฟนด์ เสือเพลิงยักษ์ดิ้นเร่าและตะเกียกตะกายอยู่สองสามวินาทีในหลุมลึกนั้น ก่อนจะนอนสิ้นชีวิตอยู่ที่นั่น พรึ่บ! หลังจากกำจัดเสือได้เฟนด์ก็บินไปถอนหญ้าวิญญาณขึ้นมา “พระเจ้า! การโจมตีของเขาเฉียบขาดและแม่นยำมาก! ยิ่งไปกว่านั้น ฉันรู้สึกว่าอย่างน้อยที่สุดสัตว์อสูรตัวนี้ก็ต้องแข็งแกร่งในระดับเทพแท้จริง แต่เขาจัดการมันได้ด้วยการต่อยเพียงครั้งเดียวงั้นเหรอ?” เมโลดี้จ้องไปที่แผ่นหลังของเฟนด์ ดวงตาของเธอตกอยู่ในภวังค์ ในอีกด้านหนึ่ง สาวกหญิงคนหนึ่งอด
สมาชิกหลายคนรู้สึกไม่พอใจเล็ก ๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเธอต้องการเดินทางกับบุคคลต้นแบบของพวกเธออย่างเฟนด์ แต่พวกเธอก็เข้าใจสถานการณ์เช่นกัน สิ่งที่เมโลดี้และสมาชิกอีกคนพูดก็สมเหตุสมผลแล้ว พวกเราไม่ได้มาจากเผ่าเดียวกัน ดังนั้นหากยังคงติดตามเฟนด์ไปเรื่อย ตำหนักของพวกเธอจะต้องไม่พอใจกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน “ทำไมพวกเธอถึงจากไปล่ะ?” เซเลน่าอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกับการจากไปของเมโลดี้ สีหน้าของเธอดูสับสน “มันจะไม่ปลอดภัยกว่าหรือหากพวกเธอเดินทางไปกับเรา” แต่เฟนด์กลับส่งรอยยิ้มที่ขมขื่นไปให้เซเลน่า “พวกเรามาจากต่างตระกูลกัน พวกเราคือตระกูลวู๊ด และพวกเขาเป็นสมาชิกของตำหนักเทพยดา ยังไม่รวมว่าผู้คนจากสี่ชนเผ่าโบราณที่ยิ่งใหญ่มักดูถูกตระกูลลึกลับเช่นเรา ดังนั้นการที่พวกเธอจะติดตามเราและซ่อนตัวอยู่ใต้ปีกของเราเพื่อรับความคุ้มครองเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องน่าอาย ยิ่งไปกว่านั้น หากเราเดินทางร่วมกันและพบกับสิ่งของล้ำค่าที่นำไปสู่ระดับเทพสูงสุด เราจะต้องสู้กันเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา เมื่อถึงเวลานั้น จะไม่เหลือสันติภาพและความปรองดองระหว่างเราอีกต่อไป!” ในที่สุดเซเลน่าก็เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการจากลา "โอ้! อย่าง
จากนั้นแนชก็เล่าเรื่องตอนที่เกิดขึ้นกับพวกเขาให้สมาชิกในตระกูลวู๊ดฟังโดยไม่บอกรายละเอียด "อะไรนะ? คนของเผ่ากระหายเลือดเหล่านี้ทำไมถึงได้น่ารังเกียจนัก? พวกเขากล้าที่จะสาปแช่งคุณหนูเซเลน่าของเรา!” ขณะที่เคนเนธมองไปที่ก้อนเนื้อสีดำบนใบหน้าของเซเลน่า ความโกรธก็พุ่งทะลุเส้นเลือด เขากำหมัดแน่น เซเลน่ามีชื่อเสียงในด้านความงามของเธอ และการที่มีจุดสีดำขนาดใหญ่บนใบหน้าของเธอนั้นได้ทำลายใบหน้าที่สมบูรณ์แบบของเธอไป แค่คิดก็ทำให้ทุกคนโกรธได้แล้ว ส่วนที่น่าผิดหวังที่สุดคือพวกเขามีเวลาในการลบคำสาปนี้เพียงหนึ่งปี ถ้ากำจัดมันออกไปไม่ได้ เซเลน่าจะตาย ข้อมูลที่เพิ่งได้รู้นี้ทำให้พวกเขาระเบิดอารมณ์ด้วยความโกรธ “ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้แล้ว เราไม่รู้ว่าเผ่ากระหายเลือดนี้แข็งแกร่งเพียงใด สาวกที่อ่อนแอที่สุดของพวกเขาอาจอยู่ในระดับเทพสูงสุด และแน่นอนว่าพวกเขายังมีคนอีกหลายคนที่อยู่ในระดับทะลวงวิญญาณ เราไม่มีความสามารถพอที่จะต่อสู้กับพวกเขาได้ในตอนนี้ แม้ว่าเราจะต้องการก็ตาม!” รอยยิ้มอันขมขื่นผุดขึ้นบนใบหน้าของแนชขณะที่เขาพูด จากนั้นสมาชิกตระกูลวู๊ดยังคงค้นหาหญ้าวิญญาณต่อไป ในตอนเย็นเฟนด์และพรรคพวก
สีหน้าอึดอัดฉายชัดบนใบหน้าของทุกคนเมื่อได้ยินคำพูดของแลนสล็อต มุมปากของพวกเขากระตุกหลายครั้งเมื่อได้ยินข่าวนี้ มีใครบางคนบุกทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุดอย่างรวดเร็วได้ขนาดนั้นเชียวหรือ? “แลนสล็อต จริงเหรอ? เขาคือใคร? และบุคคลนั้นใช้อะไรในการพัฒนาระดับพลังยุทธ? มันเป็นผลวิญญาณหรือเปล่า?” แนชก้าวไปข้างหน้าและถามกลับ “นายท่านวู๊ด มันไม่ใช่ผลวิญญาณ แต่เป็นทักษะยุทธ! ได้ยินมาว่าเขาคือนายท่านแซคคารี! ในวันที่สองที่เขาและคนของเขาเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ เขาก็พบเข้ากับตำรายุทธและได้รับทักษะมาจากมัน และในไม่ช้า เขาก็ทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุดได้! หลังจากบุกเข้าไปในระดับเทพสูงสุด เขาก็กลายเป็นคนหยิ่งยโสและถือตัว เพื่อให้ได้หญ้าและทรัพยากรล้ำค่า เขาฆ่าคนจากตระกูลซีเมเนส และตระกูลคาเบลโลไปมากมาย! เฮ้อ! โดยเฉพาะตระกูลซีเมเนส ในอดีตพวกเขาใกล้ชิดกับตระกูลแซคคารีมาก!” แลนสล็อตตอบกลับ ชายหนุ่มคนหนึ่งร้องขึ้น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “พวกเราเห็นพวกเขาจากที่ไกล ๆ พวกเราจึงรีบบินหนีมาทันที! อีกทั้งเรายังได้ค้นพบสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับระดับเทพสูงสุดด้วย! เมื่อมีใครทะลวงเข้าสู่ระดับเทพสูงสุด พลังฉีที
เมื่อความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวของเขา ทันใดนั้นดวงตาของแลนสล็อตก็สว่างวาบขึ้น ด้วยการพลิกฝ่ามือ เขาหยิบหญ้าวิญญาณระดับสามออกมาหลายต้น "ขอบคุณ!" หลังจากประเมินหญ้าวิญญาณอย่างรอบคอบแล้วเฟนด์ก็เลือกพวกมันมาสองต้นและเก็บมันไว้ในแหวนยุทธของเขา “ผมเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุขั้นสูงระดับสอง และผมจะบ่มเพาะและปรับแต่งการเล่นแร่แปรธาตุขั้นต้นระดับสามในอีกไม่กี่วันข้างหน้า” “นายน้อยเฟนด์ คุณสามารถฆ่านักสู้ในระดับเทพสูงสุดขั้นที่หนึ่งได้ถึงสองคน ดังนั้นนี่ก็เป็นนัยว่าเราจะไม่ต้องกลัวตระกูลแซคคารีหากต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา” นักสู้รุ่นเยาว์ของตระกูลวู๊ดถามด้วยความตื่นเต้นในดวงตาของเธอ "เป็นเรื่องที่พูดยาก ตอนนี้ทุกคนกำลังแข่งกับเวลา การทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุดนั้นอาจยากขึ้น แต่เมื่อก้าวข้ามผ่านไปได้ พลังฉีของคุณจะยิ่งมากขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ยังไม่รวมว่ามีหญ้าวิญญาณระดับสามจำนวนมากที่นี่ ดังนั้นถ้านายท่านแซคคารีใช้หญ้าวิญญาณและฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก เขาจะสามารถทะลวงเข้าไปในขั้นที่สองของระดับเทพขั้นสูงสุดหรือสามได้อย่างง่ายดาย!” เฟนด์ฉายรอยยิ้มแห้ง ๆ และอธิบายต่อ “นอกจากนี้ มันเป็นความจริง