หัวหน้าผู้พิทักษ์ของตำหนักอินทรีทะยานพูด และกำลังจะเอื้อมมือไปปลดผ้าคลุมหน้าของเมโลดี้ เมโลดี้ตกใจกับพฤติกรรมของเขา เธอถอยหนีไปสองสามก้าวทันที เพื่อหลบมือสกปรกของอีกฝ่าย และตะโกนด้วยความโกรธว่า “คุณกล้าดียังไง?! ฉันเป็นถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักเทพยดา และจะขึ้นเป็นเจ้าตำหนักในอนาคต ผู้พิทักษ์แสนมัวหมองอย่างคุณกล้าดียังไงมาทำให้ฉันไม่พอใจ! คุณไม่รู้หรือว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจเปิดผ้าคลุมหน้าของเธอได้จนกว่าเธอจะได้กลายเป็นเจ้าตำหนัก” “ฮิ ฮิ ฮิ! แน่นอนว่าผมรู้! และผมรู้ว่าถ้าผ้าคลุมถูกเปิดออกก่อนที่คุณจะได้เป็นเจ้าตำหนัก คุณจะต้องฆ่าคนที่บังอาจแตะต้องมัน โอ้ใช่! การเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักก็หมายความว่าคุณไม่สามารถเพลิดเพลินไปกับความสัมพันธ์ที่แสนโรแมนติกได้ตลอดชีวิตใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่างชั่วร้าย เขาออกบิน ในชั่วพริบตา เขาก็มาปรากฏตัวที่ทางเข้าถ้ำและกั้นมันไว้ “แต่วันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะต้องได้ดู 'ใบหน้าอันแสนศักดิ์สิทธิ์' ของคุณ! ผมอยากเห็นนักว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักเทพยดาเป็นอย่างไร!” “คุณกล้าเหรอ?” ความโกรธแล่นผ่านไปทั่วร่างเมโลดี้ราวกับลาวาขณะ
เมโลดี้โกรธมากจนต้องเข้าไปหาเฟนด์และเอ่ยปากว่า “นายน้อยเฟนด์ ได้โปรดช่วยฉันฆ่าไอ้ส*รเลวคนนี้ที!” ในตอนนั้นเองแนช และเซเลน่าเข้าไปในถ้ำ และเดินไปยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา “นายท่านวู๊ด เซเลน่า พวกคุณก็อยู่ที่นี่ด้วย!” ดวงตาของเมโลดี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นทั้งสองเข้าไปในถ้ำ "ใช่ ต้องขอบคุณเฟนด์! ที่เขาฆ่าชายศีรษะล้านให้ ไม่เช่นนั้นเราคงไม่มีโอกาสรอดชีวิต!” แนชพยักหน้า จากนั้นเขาก็หันไปหาผู้พิทักษ์ของตำหนักอินทรีทะยานและพูดว่า “เราอยู่นอกถ้ำและได้ยินเรื่องเลวร้ายที่คุณพูดกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักเทพยดาเมื่อครู่นี้ทั้งหมด จุ๊จุ๊จุ๊ ผู้พิทักษ์ของ ตำหนักอินทรีทะยาน? หนึ่งในสี่ชนเผ่าโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด? หน้าด้านจริง ๆ!” ใบหน้าของผู้พิทักษ์เริ่มดูน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อย ๆ และมุมปากของเขาก็กระตุกหลายครั้ง เขากำหมัดแน่น เหวี่ยงหมัดนั้นพุ่งเข้าหาแนช และพยายามที่จะหนีออกจากถ้ำไป ระดับพลังยุทธของเขาอยู่ในขั้นกลางของระดับเทพแท้จริงเท่านั้น เขาเทียบกับแนชไม่ได้เลย! แนชผลักหน้าอกของผู้พิทักษ์ กระแทกเขากลับไปด้านหลังและเหวี่ยงเขาลงกับพื้น ผู้พิทักษ์กำลังดิ้นพล่าน เขาไม่อาจลุกขึ
ในไม่ช้าทั้งสี่ก็ออกจากถ้ำและก้าวไปข้างหน้า “ชายศีรษะล้านฆ่าเจ้าวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ช่างดีจริง ๆ!" แนชหัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขานึกถึงฉากนั้น “สิ่งเดียวที่ผมเสียดายคือการปล่อยให้ตาเฒ่าโจเอลคนนั้นหนีไปได้!” เขาพูดกับอีกสามคนที่เหลือ รอยยิ้มอันขมขื่นผุดขึ้นบนใบหน้าของเฟนด์เมื่อได้ยินคำพูดของแนช “ไม่ว่าสองคนนั้นจะตายหรือมีชีวิตอยู่ พวกเขาไม่ใช่ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเราในตอนนี้คือผู้ที่มีความแข็งแกร่งในระดับเทพแท้จริงที่ได้เข้ามาในสถานที่แห่งนี้! เพราะนั่นหมายความว่ากองกำลังของพวกเขากำลังแทรกซึมอยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้ว! และถ้าพวกเขาสามารถทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุดได้เร็วกว่าเรา นั่นต้องเป็นปัญหาแน่!” “ฮิฮิฮิ!” อย่างไรก็ตามเมโลดี้เอามือปิดปากและหัวเราะคิกคัก “พวกเขาคงไม่รู้ว่าแม้พวกเขาจะทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุดได้ พวกเขาก็ยังห่างชั้นกับคุณใช่ไหม? เพราะเมื่อวานนี้คุณฆ่านักสู้ในระดับเทพสูงสุดไปุถึงสองคน ยิ่งกว่านั้นทั้งสองนั้นก็อยู่ในระดับเทพสูงสุดอยู่ก่อนแล้วและพลังของพวกเขาก็คงมั่นคงมาก แต่พวกเขากลับถูกคุณฆ่า เพราะฉะนั้นคนที่เพิ่งทะลวงเข้าสู่ร
ถัดจากศิษย์พี่มู มีสมาชิกชายจากตำหนักนภายืนอยู่ คิ้วของเขาขมวดเป็นปมและดูคล้ายจะไม่พอใจที่ศิษย์พี่มูพูดออกไปเช่นนั้น “บอกมาเลย! เงื่อนไขของคุณคืออะไร?” ผู้พิทักษ์ของตำหนักเทพยดาถามอีกฝ่าย เธอกัดริมฝีปากสีชมพูของตัวเอง ชายที่คนอื่นเรียกว่าศิษย์พี่มูตะคอกอย่างเย็นชาก่อนที่จะพูดเงื่อนไขของเขา “ไม่ยาก นอกจากนังอ้วนนั่น ผู้หญิงทุกคนจะต้องถอดเสื้อผ้าออกแล้วเต้นต่อหน้าพวกเรา! แล้วเราจะไว้ชีวิตพวกเธอ แล้วยังไงล่ะ” “อ๊ะ! ศิษย์พี่มู ความคิดเข้าท่าดี! ฮ่าฮ่าฮ่า! ดีเลย! ผมก็อยากเห็นเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหญิงสาวผู้สูงศักดิ์และเย่อหยิ่งจากตำหนักเทพยดาเหล่านี้ คงจะสนุกดีถ้าได้เห็นพวกเธอส่ายสะโพกไปมาด้วย ฮ่าฮ่า!” ชายจากเมื่อก่อนหัวเราะออกมาดัง ๆ เมื่อได้ยินข้อกำหนดและเงื่อนไขของศิษย์พี่มู ความตื่นเต้นและความคาดหวังกำลังลุกโชนในดวงตาของเขา “ฝันไปเถอะไอ้ส*รเลว! พวกเราสมาชิกของตำหนักเทพยดายอมตายดีกว่าทำเช่นนี้!” ผู้พิทักษ์หญิงโกรธมากหลังจากได้ยินเงื่อนไขที่ทำให้ใบหน้าถอดสี เงื่อนไขของลาโง่เหล่านี้มันมากเกินไป “เราไม่ทำหรอก! ฉันรู้มาตลอดว่าสาวกของตำหนักนภานั้นหน้าด้านและไร้ศักดิ์ศรี แต่ไม่เ
“เฮ้! ช่างจองหองจริง ๆ! เธอเป็นใครถึงได้กล้าประกาศแบบนี้…” สมาชิกชั้นสูงของตำหนักนภาอย่างศิษย์พี่มูกัดฟันกรอด เขาหันกลับมาพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่เขาพูดได้เพียงครึ่งประโยคเดียว ก่อนจะหันไปเห็นว่าใครเป็นคนพูด เขาอ้าปากค้างและเบิกตากว้าง ผู้พูดคือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักเทพยดา และในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ เธอมีสิทธิ์ประกาศเรื่องดังกล่าวได้ “สตรีศักดิ์สิทธิ์… พระเจ้า! เธอคือเมโลดี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ของเรา!” ความหวังเบ่งบานในหมู่สาว ๆ จากตำหนักเทพยดา เมื่อพวกเธอเห็นว่าผู้พูดเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของตำหนัก ดวงตาของพวกเธอก็แดงก่ำกับเหตุการณ์ตรงหน้า พวกเธอรู้สึกราวเป็นผู้โชคดีที่รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อรู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์มาช่วยพวกเธอแล้ว “เดี๋ยวนะ นายน้อยวู๊ดก็อยู่ที่นี่ด้วย! ขอบคุณพระเจ้า!" มีบางคนสังเกตเห็นว่าคนที่ยืนข้างเมโลดี้คือเฟนด์ ตอนนี้ความหวังของพวกเขาเต็มเปี่ยมอีกทั้งเฟนด์และเมโลดี้ก็ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันพอสมควร และตราบใดที่เฟนด์จะช่วยพวกเธอ ก็ไม่มีทางที่พวกเลวจากตำหนักนภาจะมีชีวิตรอดไปได้“ยินดีที่ได้พบ นายน้อยเฟนด์ สตรีศักดิ์สิทธิ์ เมโลดี้!”
โฮก! อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เฟนด์กำลังจะถอนหญ้าวิญญาณนั้น เสือเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวก็พุ่งตัวออกมา เมื่อกรามของมันอ้าออกกว้าง มันก็กระโจนตัวและพ่นลูกไฟออกจากปากไปทางเฟนด์ "ไปลงนรกซะ!" ในขณะที่ทุกคนกำลังกังวลเรื่องเฟนด์ เขาก็หยุดการเคลื่อนไหวทันที ด้วยการหลบหลีกอย่างรวดเร็ว เขาก็ไปปรากฏตัวที่ด้านบนของตัวเสือเพลิงยักษ์และทุบหัวของมันด้วยกำปั้น ตู้ม! เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว และเสือเพลิงยักษ์ก็กระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง เกิดเป็นหลุมลึกบนผิวดิน รอยแตกกระจายออกมาจากหลุมลึกยาวถึงสามเมตร เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่ทรงพลังอย่างยิ่งของเฟนด์ เสือเพลิงยักษ์ดิ้นเร่าและตะเกียกตะกายอยู่สองสามวินาทีในหลุมลึกนั้น ก่อนจะนอนสิ้นชีวิตอยู่ที่นั่น พรึ่บ! หลังจากกำจัดเสือได้เฟนด์ก็บินไปถอนหญ้าวิญญาณขึ้นมา “พระเจ้า! การโจมตีของเขาเฉียบขาดและแม่นยำมาก! ยิ่งไปกว่านั้น ฉันรู้สึกว่าอย่างน้อยที่สุดสัตว์อสูรตัวนี้ก็ต้องแข็งแกร่งในระดับเทพแท้จริง แต่เขาจัดการมันได้ด้วยการต่อยเพียงครั้งเดียวงั้นเหรอ?” เมโลดี้จ้องไปที่แผ่นหลังของเฟนด์ ดวงตาของเธอตกอยู่ในภวังค์ ในอีกด้านหนึ่ง สาวกหญิงคนหนึ่งอด
สมาชิกหลายคนรู้สึกไม่พอใจเล็ก ๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเธอต้องการเดินทางกับบุคคลต้นแบบของพวกเธออย่างเฟนด์ แต่พวกเธอก็เข้าใจสถานการณ์เช่นกัน สิ่งที่เมโลดี้และสมาชิกอีกคนพูดก็สมเหตุสมผลแล้ว พวกเราไม่ได้มาจากเผ่าเดียวกัน ดังนั้นหากยังคงติดตามเฟนด์ไปเรื่อย ตำหนักของพวกเธอจะต้องไม่พอใจกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน “ทำไมพวกเธอถึงจากไปล่ะ?” เซเลน่าอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกับการจากไปของเมโลดี้ สีหน้าของเธอดูสับสน “มันจะไม่ปลอดภัยกว่าหรือหากพวกเธอเดินทางไปกับเรา” แต่เฟนด์กลับส่งรอยยิ้มที่ขมขื่นไปให้เซเลน่า “พวกเรามาจากต่างตระกูลกัน พวกเราคือตระกูลวู๊ด และพวกเขาเป็นสมาชิกของตำหนักเทพยดา ยังไม่รวมว่าผู้คนจากสี่ชนเผ่าโบราณที่ยิ่งใหญ่มักดูถูกตระกูลลึกลับเช่นเรา ดังนั้นการที่พวกเธอจะติดตามเราและซ่อนตัวอยู่ใต้ปีกของเราเพื่อรับความคุ้มครองเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องน่าอาย ยิ่งไปกว่านั้น หากเราเดินทางร่วมกันและพบกับสิ่งของล้ำค่าที่นำไปสู่ระดับเทพสูงสุด เราจะต้องสู้กันเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา เมื่อถึงเวลานั้น จะไม่เหลือสันติภาพและความปรองดองระหว่างเราอีกต่อไป!” ในที่สุดเซเลน่าก็เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการจากลา "โอ้! อย่าง
จากนั้นแนชก็เล่าเรื่องตอนที่เกิดขึ้นกับพวกเขาให้สมาชิกในตระกูลวู๊ดฟังโดยไม่บอกรายละเอียด "อะไรนะ? คนของเผ่ากระหายเลือดเหล่านี้ทำไมถึงได้น่ารังเกียจนัก? พวกเขากล้าที่จะสาปแช่งคุณหนูเซเลน่าของเรา!” ขณะที่เคนเนธมองไปที่ก้อนเนื้อสีดำบนใบหน้าของเซเลน่า ความโกรธก็พุ่งทะลุเส้นเลือด เขากำหมัดแน่น เซเลน่ามีชื่อเสียงในด้านความงามของเธอ และการที่มีจุดสีดำขนาดใหญ่บนใบหน้าของเธอนั้นได้ทำลายใบหน้าที่สมบูรณ์แบบของเธอไป แค่คิดก็ทำให้ทุกคนโกรธได้แล้ว ส่วนที่น่าผิดหวังที่สุดคือพวกเขามีเวลาในการลบคำสาปนี้เพียงหนึ่งปี ถ้ากำจัดมันออกไปไม่ได้ เซเลน่าจะตาย ข้อมูลที่เพิ่งได้รู้นี้ทำให้พวกเขาระเบิดอารมณ์ด้วยความโกรธ “ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้แล้ว เราไม่รู้ว่าเผ่ากระหายเลือดนี้แข็งแกร่งเพียงใด สาวกที่อ่อนแอที่สุดของพวกเขาอาจอยู่ในระดับเทพสูงสุด และแน่นอนว่าพวกเขายังมีคนอีกหลายคนที่อยู่ในระดับทะลวงวิญญาณ เราไม่มีความสามารถพอที่จะต่อสู้กับพวกเขาได้ในตอนนี้ แม้ว่าเราจะต้องการก็ตาม!” รอยยิ้มอันขมขื่นผุดขึ้นบนใบหน้าของแนชขณะที่เขาพูด จากนั้นสมาชิกตระกูลวู๊ดยังคงค้นหาหญ้าวิญญาณต่อไป ในตอนเย็นเฟนด์และพรรคพวก