แมทธิวขมวดคิ้วและดูตระหนก เขาไม่อยากให้ใครเห็นเพราะมันรังแต่จะทำให้เขาเดือดร้อน“เป็นไปไม่ได้! เฟนด์และคนอื่น ๆ จะไม่ไปไหนหากไม่มีทุกคนอยู่ด้วย พวกเขาทั้งหมดได้ทำสัญญากันไว้แล้ว ดูจากเครื่องแต่งกายของพวกเขาแล้ว คนเหล่านั้นน่าจะเป็นคนจากตำหนักนภา!”ผู้อาวุโสโมสลีย์มองออกไปไกลและโล่งใจขึ้น เมื่อสายตาจับจ้องมาที่เขา “เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมได้ไปสืบข่าวบางอย่างมา และได้รู้ว่าตำหนักนภานี้เป็นศัตรูของตระกูลวู๊ด เราไปหาพวกเขากันเถอะ! ดูเหมือนว่าพวกเขาจะแอบติดตามคนอื่น ๆ ไปเช่นกัน และพวกเขาอาจมีตัวประกันจากตระกูลเล็ก ๆหลายคนเหมือนพวกเรา!”แมทธิวและคนอื่น ๆ ผ่อนคลายเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสโมสลีย์พูดแมทธิวก็เริ่มยิ้มเช่นกัน “ศัตรูของศัตรู คือมิตร ฮ่า ๆ…! เราไปทำความรู้จักกับพวกเขากันเถอะ!”"พวกเขากำลังมา! พวกเขากำลังมา! พวกเขากำลังมาหาเราแล้ว ทุกคนระวังตัวด้วย!” โจเอลอยู่ในภาวะตระหนกอย่างหนัก ขณะที่พวกเขาเข้าใกล้ผืนดินว่างเปล่านอกป่าไอเมฆาอย่างรวดเร็ว สมาชิกของตำหนักนภามองไปข้างหน้าอย่างตระหนกเช่นกัน“พวกคุณเป็นใคร?” โจเอลถามแมทธิวและคนอื่น ๆ เสียงดังหลัง จากที่พวกเขาหยุดห่างออกไประยะหนึ่ง
เฟนด์และคนอื่น ๆ ไม่รู้เลยว่าในขณะนี้มีกองกำลังขนาดใหญ่สองกลุ่มกำลังแอบสะกดรอยตามพวกเขาเข้าไปในป่าหลังจากที่คนกลุ่มนั้นบินเข้ามาประมาณสองชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงบริเวณที่หมอกสีชมพูปรากฏขึ้น เมื่อพวกเขามาถึงบริเวณนี้เฟนด์พบว่าพลังฉีของเขาเริ่มแปรปรวน เนื่องจากเขาไม่อาจควบคุมพลังฉีได้ง่ายเหมือนอย่างเคยเฟนด์และคนอื่น ๆ ควบคุมดาบบินของพวกเขาให้หยุดในทันที ก่อนที่พวกเขาจะลงไปในผืนป่า“หมอกสีชมพูจาง ๆ พวกนี้ดูแปลกชอบกล แต่ก็สวยทีเดียว พวกมันไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ใช่ไหม?” เซเลน่าพูดอย่างอยากรู้อยากเห็นขณะที่เธอมองไปที่หมอกตรงหน้า“ไม่ต้องกังวล พี่เซเลน่า หมอกที่อยู่ตรงหน้าเราไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์เลย!” ดาเนียลล่าตอบขณะที่เธอเดินไป “แน่นอน ที่นี่หมอกยังไม่หนามาก แต่เมื่อเราเดินลึกลงไป มันก็จะหนาขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเราอาจจะหลงทางหรือหาทางออกไม่เจอ!”เสียงคำรามของสัตว์อสูรดังมาจากป่าด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง ฟังจากเสียงคำรามอู้อี้แล้ว ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรเหล่านี้จะมีทักษะยุทธค่อนข้างสูง!แต่พวกมีกันจำนวนมากเกิน และปรมาจารย์ระดับแนวหน้าของโลกก็อยู่กับพวกเขา เหล่าสัตว์อสูรดังกล่าว
“ในที่สุดเราก็มาถึงตีนเขา โอ้… จากระยะทาง เรายังต้องเดินไปอีกเจ็ดถึงแปดวัน กว่าจะถึงถึงจุดที่ถูกทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ ยังอีกไกลมากทีเดียว!” เควินหัวเสียเมื่อเขามองไปที่ภูเขาลูกใหญ่เบื้องหน้าและระยะทางบนแผนที่“มันค่อนข้างไกลจริง ๆ ที่สำคัญแรงโน้มถ่วงของที่นี่ก็ค่อนข้างต่างกับข้างนอกและจะเดินเร็วเกินไปก็ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเราจะเหนื่อยเกินไป ยิ่งเดินต่อไปเช่นนี้ก็จะยิ่งเหนื่อยล้า ความเร็วในการเดินของเราอาจลดลงตามไปด้วย เราไม่สามารถประเมินระยะเวลาได้จากความเร็วในปัจจุบันของเรา ดังนั้นผมคิดว่าเราอาจต้องเดินอีกราวสิบวันก่อนกว่าจะถึงที่หมาย” เฟนด์ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน อย่างไรเสียการเลื่อนไปอีกหนึ่งวันก็หมายความว่าเฟอร์นันโดเองก็จะมีเวลาน้อยลงหนึ่งวัน ซึ่งนั่นทำให้เขาท้อใจมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องก้าวไปทีละก้าวหลังจากพักครึ่งวัน เฟนด์และคนอื่น ๆ ก็เดินทางต่อจนกระทั่งเดินผ่านภูเขาลูกใหญ่นั้นไปได้ ขณะที่พวกเขาเข้าไปในป่าลึกขึ้น หมอกที่กระจายตัวอยู่ด้านหลังพวกเขาก็ค่อย ๆ กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ราวกับว่าไม่มีใครเคยผ่านเส้นทางด้านหลังมาก่อน“เร็วเข้า เร็วเข้า! ในครึ่
ฮึ่ม!เมื่อวางลูกบอลหินลูกแรกลงในรูนั้นม่านป้องกันสีฟ้าก็สั่นจนสังเกตได้ และสีของหน้าจอก็เข้มมาหขึ้น“มีบางอย่างเกิดขึ้น! มีดูได้ผลจริง ๆ! ฮ่า ฮ่า… เยี่ยมมาก! พวกปรมาจารย์ที่เข้าไปในม่านป้องกันสีฟ้านี้จะต้องมีสิ่งที่ดีกว่าข้างนอกนี้แน่ มิฉะนั้นพวกเขาคงพากันออกมาแล้ว” หนึ่งในนั้นหัวเราะอย่างร่าเริงขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นในไม่ช้า ลูกบอลหินลูกที่สองก็ถูกวางลงในช่องต่อไป ตามด้วยลูกบอลหินลูกที่สามและสี่ จนในที่สุด ลูกบอลหินทั้งเจ็ดลูกก็ถูกวางลงในหลุม“ปฏิกิริยารุนแรงมาก ตอนนี้ไม่ใช่ว่าพวกเราจะถูกเด้งออกไปหรอกใช่ไหม?” ใครอีกคนถามอย่างอยากรู้อยากเห็น“ทำไมเราไม่ลองดูล่ะ?” ผู้อาวุโสกัดฟันขณะบินขึ้นและพุ่งไปยังม่านป้องกันสีฟ้าตรงหน้าคราวนี้ม่านป้องกันสีฟ้าปลอดโปร่ง ชายชราพุ่งตัวหายไปด้านใน"เขาหายไปแล้ว!" หลายคนมองหน้ากันแล้วกลืนน้ำลาย“ผมสงสัยจริงว่าโลกข้างในเป็นยังไง!” บางคนเริ่มกังวลเล็กน้อย“อยู่ที่นี่แล้วและมากลัวอะไรอีก?! บ้าเอ๊ย! นี่เป็นโอกาสเดียวที่เราจะได้ทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุดและกลายเป็นปรมาจารย์ในระดับทะลวงวิญญาณ!” ชายชราอีกคนจากตระกูลซีเมเนสกัดฟันขณะที่เ
“ฮ่า ฮ่า! เอาล่ะ มีถ้ำอยู่ด้วย พวกมันเข้าไปกันหมดแล้ว!” โจเอลหัวเราะเสียงดังด้วยความยินดีทว่าความสุขของเขากลับลดลง ทันทีที่เขาเหลือบไปมองลิลลี่ซึ่งอยู่ข้างๆ เขา “นายหญิงลำดับที่เก้า คุณเป็นอะไร? คุณไม่ดีใจที่เราพบทางเข้าหรือ? ทำไมดูอมทุกข์นัก?”ลิลลี่ถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “ฉันเฝ้าสังเกตตลอดการเดินทาง แต่ดูเหมือนจะไม่มีเบาะแสอะไรเกี่ยวกับลูกชายของฉันเลย เฮ้อ… ลูกชายของฉันกับคนอื่น ๆ คงตายกันหมดแล้วแน่ ๆ… เฮ้อ!”โจเอลพูดไม่ออก ก่อนจะพูดว่า “ผมแน่ใจว่าเขาคงตายไปนานแล้ว คุณเองก็ควรหยุดคิดเรื่องนี้เถอะ หลังจากเข้าสู่ป่าไอเมฆาเขาจะรอดได้อย่างไร?”ลิลลี่ถอนหายใจกับตัวเองอีกครั้ง เธอเหลือบไปเห็นดาบที่ยื่นออกมาจากหน้าผาโดยบังเอิญ แม้ว่าครึ่งหนึ่งของดาบจะฝังอยู่ในก้อนหิน แต่ก็ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่งของดาบโผล่ให้เห็น และมันดูคุ้นตาเธอเหลือเกิน“ที่รัก เร็วเข้า! รีบหน่อย! คุณเห็นดาบเล่มนั้นไหม? เอามันลงมาให้ฉันที!” ลิลลี่พรั่งพรูออกมาหลังจากที่เธอตรวจดูมัน“ทำไมคุณถึงอยากให้ผมเอาดาบที่อยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหนก็ไม่รู้มาล่ะ?” โจเอลดูไม่เต็มใจนัก แต่เขาก็บินขึ้นไปหยิบดาบลงมา ก่อนจะส่งต่อให้ลิลลี่ “
โฮก!เฟนด์ได้ยินเสียงคำรามอันน่ากลัวของสัตว์อสูรจากระยะไกล เสียงเหล่านั้นฟังดูอึกทึกมาก และเสียงคำรามอันน่าเกรงขามนั้นทำให้เฟนด์คิดว่าสัตว์อสูรในบริเวณนี้แข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรที่อยู่ข้างนอกมากทันใดนั้นเอง…ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!เฟนด์ได้ยินเสียงของการต่อสู้บนยอดเขาซึ่งไม่ไกลจากที่ที่ตัวเองอยู่'เกิดอะไรขึ้น? พวกเขาเริ่มต่อสู้กันตั้งแต่เหยียบเข้ามาที่นี่เลยงั้นเหรอ? ดูเหมือนเราห่างกับพวกนั้นไม่มากแม้ว่าทุกคนที่เข้ามาจะถูกแยกกันก็ตาม ฉันควรจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น' เฟนด์คิดในขณะที่เขาบินไปยังแหล่งที่มาของเสียงอึกทึกเหล่านั้นเนื่องจากในบริเวณนี้มีพลังฉีหนาแน่น เฟนด์จึงบินด้วยดาบบินได้อย่างรวดเร็วและตรงไปที่ยอดเขาดังกล่าวทันทีแน่นอนว่า เฟนด์ไม่ได้บินบนท้องฟ้าสูงเกินไป เพราะเขากลัวว่าสัตว์อสูรจะมองเห็น ดังนั้นเขาจึงบินอย่างรวดเร็วเหนือพื้นดินเพียงแค่หนึ่งถึงสองเมตรเท่านั้นในไม่ช้า เฟนด์ก็มาถึงบนยอดเขาซึ่งดูเหมือนจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น“แ*งเอ๊ย! คนพวกนี้เข้ามาได้ยังไง?” ชายร่างกำยำศีรษะล้านที่มีคิ้วตรงและดูจู้จี้มีขนาดตัวใหญ่มหึมา เขาถือกระบองขนาดใหญ่ไว้ในมือ โดยไม่สวมเสื้อผ้าท่อนบน และ
ชายร่างกำยำหัวเราะเสียงดังก่อนจะไล่ตามเมโลดี้ไปอย่างรวดเร็ว'เร็วเกินไปแล้ว!' เฟนด์สะดุ้งเมื่อเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา ความเร็วของชายร่างกำยำนั้นเหนือกว่าปรมาจารย์ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงทั่วไปแน่นอนว่าชายคนนั้นไล่ตามเมโลดี้ทันในพริบตาและใช้ค้อนของเขาทุบไปด้านหน้า “คนสวย ในเมื่อคุณไม่ยอมอธิบายตัวเอง เช่นนั้นผมก็ต้องจัดการคุณ!”เมโลดี้รู้ว่าเขาแข็งแกร่งมาก แต่เธอไม่คิดว่าเขาจะเร็วกว่าเธอถึงสองเท่าและจะไล่ตามเธอได้เร็วขนาดนี้ เธอหันกลับมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่มองไปยังค้อนที่หล่นลงมา เธออัดพลังฉีใส่ดาบในมือก่อนที่จะยกมันขึ้นเหนือหัวเพื่อป้องกันตัวเองทว่า...ปัง!ชายคนนั้นมีพลังมากเกินไป เมโลดี้ล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับเสียงที่ดังสนั่น เธออาเจียนเป็นเลือดและนั่นทำให้ผ้าคลุมของเธอเปื้อน หลุมลึกปรากฏขึ้นบนพื้น เมโลดี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ชายร่างผอมรีบบินไปขวางชายร่างกำยำเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น “เจ้าโง่ อย่าฆ่าเธอนะ! ไร้สาระจริง ๆ! ถึงนายจะไม่อยากนอนกับเธอ แต่ฉันอยาก! ฮ่า ๆ! ให้ฉันนอนกับสาวน้อยคนนี้แล้วคุณก็ไปดูรอบ ๆ ว่ามีใครอื่นอีกไหม!”"คุณ...! สักวันคุณจะตา
เมโลดี้รู้แก่ใจอย่างชัดแจ้งว่าในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักเทพยดาแล้ว เธอไม่อาจมีความคิดอื่นใดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงได้ เธอพยายามห้ามตัวเองไม่ให้จินตนาการอะไรไปมากกว่านี้แต่การถูกเฟนด์แตะเนื้อต้องตัวอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ เธอจึงไม่อาจห้ามไม่ให้ความคิดเหล่านี้ปรากฏในหัวของเธอได้ จะขอให้เฟนด์วางเธอลงก็ไม่ได้ หากชายร่างกำยำศีรษะล้านกลับมา พวกเขาจะมีปัญหาเอาได้เฟนด์นึกถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ในฉับพลัน จากนั้นเขาก็วางเมโลดี้ลงเมโลดี้เบิกตากว้างขณะที่เธอมองเฟนด์แล้วพูดว่า “คุณ...จะทิ้งฉันไว้ที่นี่หรือ?”เมโลดี้รู้สึกกลัว เธออยู่ในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคยและได้พบกับปรมาจารย์ที่อาจอยู่ในระดับเทพสูงสุดถึงสองคนทันทีที่เธอมาถึง หากเฟนด์เมินเฉยและทอดทิ้งเธอไป หากชายร่างกำยำคนนั้นกลับมาเธอคงไม่รอดแน่เฟนด์ยิ้มอย่างขมขื่นก่อนที่เขาจะเดินไปหยิบป้ายจากเอวและแหวนยุทธของเขา จากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมเกือบลืมเอาของมาด้วย ผู้ชายคนนี้น่าจะมีทักษะยุทธค่อนข้างสูง และอาจมีอะไรดี ๆ อยู่ในแหวนยุทธของเขา!”เมโลดี้รู้สึกเขินอายก่อนจะโล่งใจลงในที่สุดอย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่ใช่โลกภายนอ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ