หลังจากได้ยินเรื่องนี้ สมาชิกในตระกูลแซคคารีก็รู้สึกอาย ในหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเสียดาย หากพวกเขาเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับตระกูลวู๊ดและติดตามพวกเขาไปที่เกาะวายุมืด พวกเขาคงได้รับการปฏิบัติที่ดีจากตระกูลวู๊ด และจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ต่างออกไปเช่นนี้แต่ตระกูลวู๊ดเองเมตตาพอที่จะอนุญาตให้สมาชิกในตระกูลของพวกเขาจำนวนสามคนเข้าไปสังเกตการณ์ได้ และหากตระกูลวู๊ดจะไม่ยอมมาพบและขอให้พวกเขาออกไป พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดียิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้รู้เกี่ยวกับพลังยุทธที่แข็งแกร่งจนสามารถกวาดล้างทั้งสี่ตระกูลไป เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือตระกูลวู๊ดไม่ได้ประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ในการต่อสู้ครั้งนั้นด้วย"ขอบคุณ ขอบคุณ! แค่อนุญาตให้คนของเราเข้าไปได้สามคน เราก็พอใจแล้ว!” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนายท่านแซคคารี เขาครุ่นคิดและพูดว่าแทบจะในทันที “เอาอย่างนี้ดีไหม? ผมจะเข้าไปพร้อมกับผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งและผู้อาวุโสลำดับที่สอง คนอื่น ๆ ก็ไปรอที่พื้นที่ว่างเปล่าแถวตีนเขา!”“ได้ครับ นายท่าน!” คนอื่น ๆ พาสมาชิกคนอื่น ๆ จากไปทันที พวกเขารู้ว่าตระกูลของตนมีผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเท
อเล็กซานเดอร์มีสีหน้าภาคภูมิใจ ในทันทีที่เขาสัมผัสได้ว่าเขาดีกว่าพวกแซคคารีไปหนึ่งขั้น เขาเริ่มเลือกคนที่จะเข้าไปกับเขาทันที หลังจากที่เลือกเสร็จแล้ว เขาก็ขอให้คนอื่น ๆ ไปพักที่ที่ตีนเขาด้านล่างเมื่อสมาชิกของตระกูลแซคคารีเห็นว่าตระกูลคาเบลโลได้เข้าไปด้านในถึงยี่สิบคน พวกเขาก็รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก สมาชิกของตระกูลเฮมเพอร์ลีก็มาถึงในไม่ช้าเช่นกัน พวกเขาต่างก็ดีใจเมื่อได้รู้ว่าพวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ถึงยี่สิบคนตระกูลน้อยใหญ่มาถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ เหล่าตระกูลลึกลับชั้นสองและชั้นสามที่ติดตามตระกูลฮันท์ไปยังเขาเหมันต์กระจ่างรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง เมื่อพบว่าพวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านในได้เพียงแค่สามคนเท่านั้นสำหรับตระกูลต่าง ๆ ที่ติดตามตระกูลวู๊ดไปยังเกาะวายุมืด รู้สึกได้ทันทีว่าพวกเขาอยู่เหนือกว่าตระกูลอื่นมาก ทันทีที่ได้รู้ว่าพวกเขานำคนเข้าไปได้ถึงยี่สิบคนในขณะนี้ มีคนจำนวนไม่น้อยกำลังยืนอยู่บนยอดเขาที่ห่างออกไป และกำลังมองดูสถานการณ์ในที่ดินตระกูลวู๊ด ซึ่งพวกเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคนจากตำหนักนภา“ตอนนี้มีลำแสงห้าลำแสงแล้ว ดูเหมือนว่าแสงเหล่านี้จะเกิดขึ้นมา
สมาชิกของตำหนักเทพยดาถามเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในหลังจากที่พวกเขามาถึงทันที ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้รับข่าวสารใด ๆ จากผู้อาวุโสลำดับที่สี่ในท้ายที่สุด สมาชิกของตำหนักเทพยดาก็ออกไปหาที่พักเช่นกัน สำหรับเจ้าตำหนักอย่างเธอและปรมาจารย์ที่มีทักษะยุทธในระดับสูงอีกสิบเก้าคนเดินไปยังห้องโถงข้างหน้าอย่างช้า ๆ“สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” หลังจากที่เจ้าตำหนักเทพยดามองดูสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเอ่ยถามในทันที ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง“ฮ่า ฮ่า… เรามองดูมันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เราไม่ได้อะไรเลย เราให้มือสัมผัสลำแสงเหล่านี้ แต่มันก็เป็นลำแสงธรรมดา เราไม่สามารถเพิ่มทักษะยุทธผ่านลำแสงเหล่านี้ได้” แฮร์รี่หัวเราะและพูดกับออเรียล เจ้าตำหนักเทพยดาในทางกลับกัน เฟนด์กล่าวว่า "เรากำลังรอคุณอยู่ และเราอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกหรือไม่หากลูกบอลหินทั้งเจ็ดลูกมีลำแสงออกมา นอกจากพวกคุณแล้ว พวกเราก็กำลังรอสมาชิกจากตำหนักอินทรีทะยานอยู่เช่นกัน!”“ลำแสงออกมาจากลูกบอลหินได้อย่างไร?” หลังจากที่ออเรียลพินิจลูกบอลหินเหล่านี้ เธอก็ไม่ลังเลที่ถามด้วยความสงสัยในไม่ช้าเฟนด์และคนอื่น ๆ ก็บอกให้พวกเขารู้เกี่ยวกับขั้นตอน
“หวังว่า…หวังว่าจะมีคำใบ้บางอย่างที่ช่วยให้เราสามารถทะลวงสู่ระดับเทพสูงสุดได้แต่โดยดี!” แม้แต่เจ้าตำหนักเทพยดาก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น ในฐานะเจ้าตำหนักของชนเผ่าโบราณ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงเพียงใด เธอก็จะเด็ดเดี่ยวอยู่เสมอ ทว่าครั้งนี้เธอกลับประหม่ามากครืน!ในที่สุดลำแสงอีกลำก็ปรากฏขึ้นและขณะที่ลำแสงทั้งเจ็ดที่มีสีต่างกันพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าดูสวยงามอย่างยิ่ง“มีเจ็ดลำแสง เจ็ดลำแสง!” หลายคนที่อยู่นอกห้องโถงเห็นเหตุการณ์ ผู้ที่กำลังนั่งพักอยู่บนพื้นลุกขึ้นยืนในทันที แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้องโถง แต่หัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง“มีลำแสงเจ็ดสามเชียว!” บนยอดเขาอันไกลโพ้น สมาชิกจากทั้งตำหนักนภาและวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์รู้สึกถูกดึงดูด ทว่าไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไร“มีลำแสงเจ็ดเส้นและความผันผวนนั้นก็รุนแรงกว่าเดิมมาก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นเลยงั้นใช่ไหม?” ในโถงส่วนกลาง ทุกคนต่างจ้องมองไปยังลูกบอลหินทั้งเจ็ดที่อยู่ข้างหน้าราวกับว่าพวกเขากลัวว่าของล้ำค่าบางอย่างจะถูกปลดปล่อยออกจากลูกบอลหินในวินาทีต่อจา
“นั่นมันตำราโบราณเล่มนั้น!” เฟนด์ตกใจเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า เขาได้อ่านตำรานี้แล้ว และแม้ว่าเขาจะใช้เวลากับมันไปเพียงไม่กี่วัน แต่เขาก็ไม่ได้พบกับอะไรในตำรานี้เป็นพิเศษ นอกจากหญ้าวิญญาณและของอื่น ๆแต่ไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากค้นคว้าลูกบอลหินทั้งเจ็ดนี้เป็นระยะเวลานาน ลำแสงที่เปล่งออกมาจากลูกบอลหินทั้งเจ็ดนี้จะสามารถดึงดูดตำราโบราณเล่มนี้ได้ทุกคนตกตะลึงเมื่อตำราโบราณถูกดูดกลืนเข้าไป มันลอยอยู่เหล่าเหนือลำแสงอยู่อย่างนั้นในไม่ช้าแสงสีทองก็ส่องออกมาจากตำราโบราณอึก!คนรอบข้างเงียบลงจนได้ยินเสียงคนกลืนน้ำลาย มันเงียบจนน่ากลัวทุกคนสงสัยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอึกใจต่อจากนี้หรือไม่ในไม่ช้าลำแสงก็หายไปโดยไม่มีมีมีขลุ่ย ลูกบอลหินทั้งเจ็ดลูกคืนสภาพเป็นปกติอีกครั้งเมื่อตำราโบราณตกลงสู่พื้นพรึ่บ!เจ้าตำหนักอินทรีทะยานเป็นคนที่เร็วที่สุด ในพริบตาเดียวเขาพุ่งไปข้างหน้าและหยิบตำราโบราณขึ้นมาพรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!สมาชิกของตระกูลอื่น ๆ ล้อมเขาไว้ในทันที เพราะกลัวเขาจะหนีกริฟฟินยิ้มเจื่อน ๆ เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “ทุกท่านอย่ากลัวไปเลย ผมแค่อยากจะดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในตำราเล่มนี้ห
แมทธิวกำหมัดแน่นและตอบอย่างไม่เต็มใจว่า “รอดูกันไปก่อน ถ้ารีบร้อนเข้าไปตอนนี้เราคงบ้าไปแล้ว มาดูกันว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรหลังจากนี้”ไม่ห่างไปจากกันนัก โจเอลและคนอื่น ๆ จากตำหนักนภาก็งงงวยเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดอะไรขึ้นข้างใน อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถรอได้เท่านั้นในทางกลับกันเฟนด์และคนอื่น ๆ จ้องมองไปที่ตำราโบราณขณะที่พวกเขาเริ่มอ่านมัน“โอสถและข้อมูลเกี่ยวกับโอสภแบบเม็ดหายไปหมดแล้ว!” หลังจากพลิกอ่านตำราโบราณไปหลายหน้า ใบหน้าของเควินดูประหลาดใจ จากนั้นเขาก็พูดต่อไปว่า “บนนั้นเขียนว่าอะไร?”ทุกคนเริ่มมองดูมันไปด้วยกัน และต่างก็ประหลาดใจหลังจากที่พวกเขาได้วิเคราะห์มัน"ถึงตัวฉันเอง… มีบันทึกในตำราเล่มนี้ว่าเมื่อหลายปีก่อนบนโลกนี้มีพลังฉีอยู่มากมาย และมีคนที่ได้ทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุดหลายคน ยังมีระดับพลังยุทธที่สูงขึ้นอีกระดับหนึ่งและเป็นที่รู้จักกันในชื่อระดับทะลวงวิญญาณ ระดับเทพสูงสุดและระดับทะลวงวิญญาณนั้นแบ่งออกเป็นเก้าระดับ เริ่มตั้งแต่ระดับที่หนึ่งถึงระดับที่เก้า!”"ยิ่งไปกว่านั้น คนที่อยู่ในระดับเทพสูงสุดสามารถอยู่ได้ถึงสองร้อยปี ในขณะที่คนที่อยู่ในระด
“ป่าไอเมฆา?” หลายคนงุนงงเมื่อได้ยินคำนี้ ป่าไอเมฆาเป็นสถานที่ที่พิเศษอย่างยิ่ง และแม้ว่ามันจะไม่ได้มีอันตรายมาก แต่หลังจากเข้าไปในป่านั้นหลายคนก็ไม่ได้กลับออกมา ยิ่งเดินเข้าไปในป่าลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งยากที่จะกลับออกมาที่สำคัญกว่านั้น เมื่อเข้าถึงส่วนที่ลึกของป่าไอเมฆาแล้วก็จะไม่สามารถบินได้ เนื่องจากแรงโน้มถ่วงของที่นั่นแตกต่างจากโลกภายนอกราวฟ้ากับเหวขณะที่สีหน้าของเขาดูงุนงงและมืดมน เขาหันไปหาเฟนด์และสารภาพว่า “แลนซ์และคนอื่น ๆ ไปที่ป่าไอเมฆา”เขายังคงมีความรู้สึกที่ซับซ้อนต่อแลนซ์ การกระทำของลิลลี่ทำให้เขาอับอาย และเขาก็ลงโทษลิลลี่ไปแล้วด้วยแต่ไม่คาดคิด ลิลลี่จะไม่สำนึกผิด แถมยังร่วมมือกับตระกูลลาโกริโอมาแว้งกัดตระกูลวู๊ดอีก นั่นคือเหตุผลที่ตระกูลลาโกริโอต้องหายไปทว่าแลนซ์ไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด ดังนั้นแนชจึงไม่รู้สึกเกลียดแลนซ์แน่นอน แลนซ์และคนอื่น ๆ จากตระกูลทั้งหลายได้หายตัวไป หลังจากที่พวกเขาไปที่ป่าไอเมฆา มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาคงจะตายอยู่ข้างในป่านั้นนานแล้วเขาไม่คิดว่าปลายทางสุดท้ายที่ลูกบอลหินทั้งเจ็ดลูกนี้นำ
“ใช่ และดูเหมือนว่าจะมีปรมาจารย์คนหนึ่งแอบฝึกฝนทักษะยุทธให้ลูกชายของตัวเอง และเขายังบอกลูกชายถึงหนทางการไปยังสถานที่นั้น เขาไม่คิดว่าลูกชายจะเป็นผู้นำของผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะยังไง การที่เราได้รับข่าวนี้และจะพบกับลูกบอลหินทั้งเจ็ดลูก เราก็พอมีหวัง!” แนชพยักหน้าและไม่อาจซ่อนความตื่นเต้นในดวงตาของเขาได้“เพื่อความปลอดภัย ทุกท่านโปรดนำลูกบอลหินของตัวเองกลับไปด้วย!” เฟนด์พูดขึ้นทันทีหลังจากที่เขาตระหนักได้ถึงความสำคัญของลูกบอลหินเหล่านั้น และตระกูลที่เป็นเจ้าของลูกบอลหินก็นำพวกเขากลับคืนไปเฟนด์มองไปที่บันทึกหน้าที่เหลือในตำราอีกครั้งและพูดว่า "ในตำราโบราณเล่มนี้ไม่ได้บันทึกอะไรไว้มากนัก มีการวาดแผนที่ในการเดินทางไปยังป่าไอเมฆาและเส้นทางคร่าว ๆ ของที่นั่น ด้วยการนำทางเหล่านี้ จะช่วยให้ปฏิบัติตามได้ไม่ยาก”“ฮ่า ฮ่า! มันยอดไปเลย! เราจะไปกันเมื่อไหร่? ไปกันเลยสิ! เพราะผมได้นำสมาชิกทุกคนในตระกูลที่อยู่ในระดับกึ่งเทพมาจนหมดแล้ว ทำไมเราไม่ไปเสียตั้งแต่ตอนที่เรามีกองกำลังใหญ่โตอยู่ด้วยล่ะ?” หัวหน้าตระกูลของหนึ่งในตระกูลลึกลับชั้นสองที่ทำข้อตกลงกับเฟนด์และคนอื่น ๆ ต้องการที่จะออกเดินทางอย่างรีบร้
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ