“ใช่ และดูเหมือนว่าจะมีปรมาจารย์คนหนึ่งแอบฝึกฝนทักษะยุทธให้ลูกชายของตัวเอง และเขายังบอกลูกชายถึงหนทางการไปยังสถานที่นั้น เขาไม่คิดว่าลูกชายจะเป็นผู้นำของผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะยังไง การที่เราได้รับข่าวนี้และจะพบกับลูกบอลหินทั้งเจ็ดลูก เราก็พอมีหวัง!” แนชพยักหน้าและไม่อาจซ่อนความตื่นเต้นในดวงตาของเขาได้“เพื่อความปลอดภัย ทุกท่านโปรดนำลูกบอลหินของตัวเองกลับไปด้วย!” เฟนด์พูดขึ้นทันทีหลังจากที่เขาตระหนักได้ถึงความสำคัญของลูกบอลหินเหล่านั้น และตระกูลที่เป็นเจ้าของลูกบอลหินก็นำพวกเขากลับคืนไปเฟนด์มองไปที่บันทึกหน้าที่เหลือในตำราอีกครั้งและพูดว่า "ในตำราโบราณเล่มนี้ไม่ได้บันทึกอะไรไว้มากนัก มีการวาดแผนที่ในการเดินทางไปยังป่าไอเมฆาและเส้นทางคร่าว ๆ ของที่นั่น ด้วยการนำทางเหล่านี้ จะช่วยให้ปฏิบัติตามได้ไม่ยาก”“ฮ่า ฮ่า! มันยอดไปเลย! เราจะไปกันเมื่อไหร่? ไปกันเลยสิ! เพราะผมได้นำสมาชิกทุกคนในตระกูลที่อยู่ในระดับกึ่งเทพมาจนหมดแล้ว ทำไมเราไม่ไปเสียตั้งแต่ตอนที่เรามีกองกำลังใหญ่โตอยู่ด้วยล่ะ?” หัวหน้าตระกูลของหนึ่งในตระกูลลึกลับชั้นสองที่ทำข้อตกลงกับเฟนด์และคนอื่น ๆ ต้องการที่จะออกเดินทางอย่างรีบร้
เมื่อแฮร์รี่พูดเช่นนี้ ออเรียลและกริฟฟินก็ไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ และเห็นด้วยอย่างไร้ข้อกังขาในไม่ช้าเหล่าปรมาจารย์ในห้องโถงก็เดินออกไปข้างนอกทีละคนผู้ที่รออยู่ข้างนอกซึ่งรอมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าข้างในนั้นเกิดอะไรขึ้น พวกเขาต้องการรู้ว่ามีใครสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับเทพสูงสุดหรือพบเบาะแสเกี่ยวกับระดับเทพสูงสุดบ้างหรือไม่“เจ้าวิหาร เป็นอย่างไรบ้าง? ได้เรื่องอะไรหรือไม่? พวกคุณทะลวงข้ามขั้นไปแล้วหรือยัง?”“เจ้าวิหาร คุณได้ข้อมูลเกี่ยวกับระดับเทพสูงสุดหรือไม่? มีเบาะแสอะไรที่เป็นประโยชน์หรือเปล่า? ผมเห็นว่าพวกคุณทุกคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า เช่นนั้นคงต้องมีข่าวดีแน่ ๆ ใช่ไหม?”เมื่อเห็นสมาชิกของพวกเขาออกมา สมาชิกของวิหารแห่งทวยเทพและราชาที่ไม่ได้ติดตามพวกเขาเข้าไปข้างในรีบเดินไปถามด้วยความคาดหวัง“หัวหน้าตระกูลเป็นยังไงบ้าง?” สมาชิกของตระกูลคาเบลโลเองก็ก้าวไปถามด้วยความตื่นเต้นอเล็กซานเดอร์มองไปที่ฝูงชนและพูดว่า “เราไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย ไว้ค่อยกลับไปคุยกัน”"อะไรนะ? คุณไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยแม้แต่น้อยเหรอ?!” สมาชิกของตระกูลคาเบลโลรู้สึกผิดหวังเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจาก
ชายคนหนึ่งยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “เจ้าตำหนัก” เขาหัวเราะเบา ๆ “ผมมีข่าวดี! ข่าวดี!""ข่าวดี?" โจเอลขมวดคิ้วและกวนทันที “บอกฉันมาเลยสิ!”“ฮ่าฮ่า! พวกเขาไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ผมเห็นพวกเขาบางคนดูเศร้าหมองมาก” ชายคนนั้นพูด ความสุขปรากฏชัดในน้ำเสียง “ผมคิดว่าลูกบอลหินทั้งเจ็ดก็แค่ของไร้ประโยชน์ และเป็นไปได้ว่ามันคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการทะลวงเข้าสู่ระดับเทพสูงสุดเลย ทุกคนล้วนแล้วแต่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์!”“นี่หมายความว่าไม่มีใครทะลวงไปถึงระดับเทพสูงสุดใช่หรือไม่? ถือเป็นข่าวดีจริง ๆ!” โจเอลรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อยทว่าเขารู้สึกผิดหวังอยู่ลึก ๆ เมื่อนึกไปได้ว่าดูเหมือนจะไม่มีโอกาสที่จะก้าวไปสู่ระดับเทพสูงสุดได้ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้วไม่ใช่หรือ?‘ระดับเทพสูงสุดไม่มีอยู่จริงงั้นหรือ?’ผู้อาวุโสคนหนึ่งยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “กลับกันเถอะ เจ้าตำหนัก ดูคนพวกนั้นสิ พวกเขาเริ่มจากไปแล้ว ผมคิดว่าเราควรกลับไปที่ชนเผ่าโบราณของเราดีกว่าจะมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ แน่นอนว่ายังดีที่ไม่มีใครทะลวงไปถึงระดับเทพสูงสุดได้ เพราะหากสมาชิกในตระกูลวู๊ดคนใดคนหนึ่งทะลวงเข้าสู่ระดับ
ในขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสโมสลีย์จากวิหารราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ก็พบความผิดปกติเช่นกัน ในไม่ช้าหลังจากหารือกันเป็นการภายในแล้ว พวกเขาก็แอบติดตามตระกูลลึกลับชั้นสามกลุ่มเล็ก ๆ ไปเช่นกันหลังจากบินไปครึ่งวัน สมาชิกของตระกูลลึกลับชั้นสามก็ถูกโจเอลและพรรคพวกขวางทางไว้“เจ้าตำหนักโจเอล อะไรกัน...ช่างบังเอิญจริง ๆ! บังเอิญเจอคุณในสถานที่แบบนี้ใช่ไหม?” ผู้คนจากตระกูลลึกลับชั้นสามต่างชะงักงันเมื่อสังเกตเห็นสมาชิกจำนวนมากจากตำหนักนภามาอยู่ต่อหน้าพวกเขา พวกเขาประหม่ามาก คนเหล่านี้มาที่นี่ด้วยเจตนาชั่วร้าย ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้มาพบพวกเขาในพื้นที่รกร้างเช่นนี้?“ฮ่า ฮ่า… มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ!” โจเอลพูดพลางหัวเราะในขณะที่เขาพินิจมองอีกฝ่าย “นายท่านเวสต์ ผมจะไม่อ้อมค้อมและเข้าประเด็นเลยแล้วกัน พวกคุณเพิ่งออกมาจากตระกูลวู๊ดและเราติดตามคุณมาตลอดทาง เพราะผมรู้ว่ามีพวกคุณไม่กี่คนที่ได้เข้าไป บอกผมเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในมา”หัวหน้าตระกูลเวสต์มีสีหน้ามืดลงเล็กน้อยทันทีหลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ เขาเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะตอบอย่างยิ้มแย้มว่า “เจ้าตำหนักโจเอล เราไปหาตระกูลวู๊ดก็จริง พวกเขาอนุญาตให้พวกเราเข
เมื่อตกใจกับพฤติกรรมของโจเอล นายท่านเวสต์ก็ยังยึดมั่นในความมีเมตตาที่เฟนด์มีต่อเขาและคนอื่น ๆอย่างไรก็ตาม โจเอลไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกง่าย ๆ เพียงแค่เขาออกแรงบีบที่มือ เขาก็หักคอผู้อาวุโสได้แล้วพลั่ก!“ผู้อาวุโสลำดับที่ห้า!” หลายคนโกรธเมื่อเห็นสถานการณ์นี้และบางคนกำหมัดแน่น แต่พวกเขารู้ว่าพวกเขามีจำนวนคนไม่มากเมื่อเทียบกับคนของโจเอล พวกเขาไม่มีนักฝึกยุทธที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงด้วยซ้ำคน ๆ เดียวที่มีพลังยุทธสูงสุดในหมู่พวกเขาคือหัวหน้าตระกูลในขั้นสูงของระดับเทพแท้จริง พวกเขาจะต่อสู้กับผู้คนจากตำหนักนภาได้อย่างไร?“ฮึ่ม! ไม่อยากบอกเหรอ?” โจเอลเพิกเฉยต่อสายตาอันโกรธเกรี้ยวที่ส่งมาทางเขา ขณะที่เขาคว้าคอของผู้อาวุโสหญิงและยกเธอขึ้นจากพื้น “บอกเรามาให้หมดว่าพวกคุณรู้อะไรมาบ้าง หากคุณไม่พูด เธอจะต้องตายเป็นรายต่อไป!”"คุณยาย!" หญิงสาวกระวนกระวาย ดวงตาของเธอแดงก่ำ“เรา...เราไม่ได้โกหก!” นายท่านเวสต์ตวาด“ฮึ่ม!” โจเอลยิ้มเยาะในขณะที่เขากำมือแน่นและฆ่าผู้อาวุโสหญิง “คุณนี่ใจเย็นดีจริง ๆ เลยนะ นายท่านเวสต์ เขาจะเป็นรายต่อไป!”โจเอลสะบัดร่างของหญิงชราทิ้ง แล้วคว้าชายหนุ่มขึ้น
“ไปป่าไอเมฆาในอีกหนึ่งอาทิตย์เหรอ?” โจเอลทั้งพอใจและตื่นเต้นกับข่าวที่เขาได้รับ ดูเหมือนว่าการไปเยือนป่าไอเมฆาจะเป็นความหวังในการก้าวไปสู่ระดับเทพสูงสุด และดูเหมือนว่านี่จะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขาและคนอื่น ๆนายท่านเวสต์มองไปที่โจเอลและอ้อนวอน “เจ้าตำหนักโจเอล ผมบอกคุณทุกอย่างที่ผมรู้แล้ว ปล่อยลูกชายผม แล้วปล่อยเราไปได้ไหม?”โจเอลคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และปล่อยชายหนุ่มออกจากมือก่อนจะพูดว่า “พวกคุณลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปได้เลย เฟนด์และคนอื่น ๆ จะไม่รู้ว่าคุณเป็นคนเป็นคนบอกเรื่องพวกนี้แก่เรา พวกคุณจะไม่เสียหายอะไร ทั้งสิ้น!”โจเอลหยุด ก่อนที่จะพูดต่อ “แน่นอน ถ้าคุณบอกพวกเขา ผมก็จะไม่เดือดร้อนหรอก ตรงกันข้ามตระกูลวู๊ดหรือชนเผ่าโบราณอื่น ๆ จะมองว่าคุณเป็นพวกทรยศที่ปากโป้ง จะไม่มีใครให้อภัยคุณและตระกูลเวสต์ของคุณ!”ลิลลี่ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ พวกเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และพูดกับโจเอลว่า “ที่รัก ฉันคิดว่าเราควรพาคนของพวกเขาไปด้วยหลาย ๆ คนหน่อยเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทรยศเรา จะดีกว่าหากเราจับพวกเขาไปเป็นตัวประกัน”“คุณบอกว่าจะ...ปล่อยเราไปหลังจากที่เราบอกข้อมูลแก่พวกคุณ!” นายท่านเวสต์โกรธม
ผู้อาวุโสถอนหายใจและคร่ำครวญถึงชะตากรรมของพวกเขา“เราจะจำการกระทำที่น่ารังเกียจเหล่านี้ของพวกเขาไว้ เมื่อเรามีโอกาสทะลวงไปสู่ระดับเทพสูงสุดหรือกลายเป็นปรมาจารย์เมื่อไหร่ เราจะล้างแค้นให้คนของเรา!” ลูกชายของนายท่านเวสต์คำรามลอดไรฟันนายท่านเวสต์พยักหน้า แต่จากนั้นเขาก็พึมพำ “ใช่ แต่ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้นอกจากตามน้ำไป”“พ่อ เราควรพาพรรคพวกของเราไปที่ป่าไอเมฆากี่คนดี?” ลูกชายของนายท่านเวสต์เอ่ยถาม “ยิ่งเข้าไปลึกก็จะยิ่งออกจากป่าได้ยากขึ้น การเดินทางทั้งขาไปและขากลับนั้นล้วนยากลำบาก และเราก็ไม่รู้ว่าปรมาจารย์ในอดีตเหล่านั้นท้ายที่สุดไปอยู่ที่ใดกัน การไปที่นั่นกับพวกมันจะไม่อันตรายเหรอ? เราไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง!”“ลูกพูดถูก ระดับเทพระดับสูงสุดนั้นล่อตาล่อใจเหลือเกิน และเราควรพยายามให้ดีที่สุดและส่งคนไปที่นั่นให้มากขึ้น ถึงกระนั้นผมก็คิดว่าเราควยทิ้งให้คนในระดับเทพแท้จริงอยู่ที่นี่จะดีที่สุด เพราะมันอันตรายเกินไป เราควรแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในขั้นต้นและขั้นกลางระดับกึ่งเทพอยู่ที่นี่ด้วย แต่ถ้าพวกเขายืนกรานก็ตามแต่พวกเขาจะต้องการ แน่นอนว่าไม่มีใครยืนยันได้ว่าพวกเขาจะได้กลับบ้านหลักจากออกเดินท
“มันพัฒนาขึ้นนิดหน่อย แต่ผมยังไม่ประสบความสำเร็จในการฝึกปรุงเม็ดโอสถ” เฟนด์ตอบ ริมฝีปากเม้มแน่น “ผมยังไม่ได้วางแผนที่จะบ่มเพาะโอสถในช่วงสองสามวันนี้ เพื่อที่ผมจะได้ใช้เวลากับไคลี่และคนอื่น ๆ แต่ผมจะกลับมาฝึกต่อทุกครั้งที่ทำได้ และจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อที่จะได้เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับสามหรือสี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"ไม่กี่วันถัดมา ทั้งเฟนด์และเซเลน่าก็พา ไคลี่ โจแอน และคนอื่น ๆ ไปเดินเล่นในเมืองใกล้ ๆ ในเวลาว่างสำหรับเบ็น เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอยู่ต่อไปเพราะเขายังทะลวงเข้าสู่ระดับกึ่งเทพไม่ได้ ในทางกลับกัน ฟิโอน่าและคนอื่น ๆ ก็ต้องการให้เขาอยู่เป็นเพื่อนด้วย สำหรับเอเลน เฟนด์ขอให้เธอกลับมาดูแลตระกูลวู๊ดเพราะเบ็นยังอยู่พวกเขายังได้จัดเตรียมคนที่มีทักษะยุทธสูงกว่าให้ไปที่ป่าไอเมฆากับพวกเขาด้วยเพื่อความปลอดภัย เฟนด์ได้ทิ้งสมาชิกที่อยู่ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงไว้เพื่อปกป้องตระกูลวู๊ดราวสองสามคนหลายวันต่อมา เมื่อเฟนด์และคนอื่น ๆ สังเกตเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาแล้ว ในที่สุด พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางมีคนเกือบ 20,000 คนไปกับพวกเขา และคนเหล่านั้นอย่างน้อยก็อยู่ขั้
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ