ภายในอาคารอิฐแห่งหนึ่ง มีชายวัยกลางคนที่น้ำลายไหลขณะอยู่เหนือร่างของหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่บนเตียงและบาดเจ็บ ลำคอของเขาขยับเพื่อกลืนน้ำลาย"เป็นผู้หญิงที่น่าทึ่งมากเลยสินะ ไม่ใช่เหรอ?" ชายกลางคนลูบมือขณะเดินไปที่เตียงพร้อมกับยิ้มชั่วร้าย "ตัวเล็กตัวน้อยของฉัน ฉันคือหัวหน้าแห่งตำหนักลมหวน! ถ้าเธอได้เป็นผู้หญิงของฉัน ทำตามที่บอกและรับใช้ฉันอย่างดี เธอจะได้เป็นภรรยาของหัวหน้าตำหนักลมหวน!" หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยความแค้นและเกลียดชัง "หัวหน้าอะไร ตำหนักอะไร? พวกแกก็เป็นแค่กลุ่มโจรขี่ม้า!" เธอพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด "ตอนนี้แกหน้าด้านเกินไปแล้ว! แกเคยปล้นแต่ของ ตอนนี้กล้าลักพาตัวคนแล้ว! คนอย่างพวกแกก็ได้แค่ชื่อกับอำนาจให้ตัวเอง หน้าไม่อายจริง ๆ! ตำหนักลมหวนเหรอ? ล้อกันเล่นหรือเปล่า? พวกแกควรได้ชื่อแบบนั้นเหรอ?"หัวหน้าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตอบกลับไป "ฮี่ฮี่ฮี่! อย่าตัดสินคนจากภายนอกสิ! แม้ว่าเราจะดูตัวใหญ่และร่างหนา แต่ฉันก็เป็นสุภาพบุรุษที่โรแมนติกและอ่อนโยนคนหนึ่งนะ"จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปลูบแก้มของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา "อย่าห่วงไปเลย ถ้าเธอเริ่มคิดว่าจะตามฉัน ฉันสัญญาได้เลยว่าไม่ต้องกังวลกั
"หัวหน้าเมสัน หมายความว่าไงที่พาคนพวกนี้มา?"เมื่อหัวหน้าของตำหนักลมหวนมาถึงใจกลาง ใบหน้าเขาก็นิ่งลงที่สุดทันที เขาไม่คิดว่าหัวหน้าสาขาของตระกูลวู๊ด เมสัน วู๊ดจะนำผู้อาวุโสและปรมาจารย์มาด้วย เขารู้ดีว่าคนของตระกูลสาขาไม่กล้าต่อกรกับพวกเขามาโดยตลอด เว้นแต่พวกวู๊ดจะมั่นใจในระดับหนึ่งว่าพวกเขาชนะการต่อสู้ นอกจากนั้น เขาก็รู้ดีว่าตระกูลหลักของตระกูลวู๊ดไม่เคยมาสนใจเรื่องนี้เลย ดังนั้นพวกเขาก็เลยไม่กล้าประมาทและโจมตีมา นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายกลัวที่สุดเมื่อสู้กับตำหนักลมหวนคือการสูญเสียของพวกเขาเองที่ใหญ่มากจนกระทบกับตระกูลวู๊ดทั้งหมด มันไม่คุ้มเลย สิ่งเดียวที่หัวหน้าของตำหนักลมหวนไม่ได้คิดไว้คือเมสันพาใครสักคนมาด้วย เมสันสูดลมหายใจ เขาปรบมือเพื่อเป็นสัญญาณ ชายหลายคนของตระกูลวู๊ดก้าวเข้ามาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า พวกเขาโยนหัวของผู้พิทักษ์ลานิชกับพวกอันธพาลลงไปที่พื้น "แก..." ใบหน้าของหัวหน้าตำหนักลมหวนซีดทันที "หัวหน้าเมสัน นี่มันหมายความว่าไง? ฆ่าคนของเราได้ยังไงกัน? และฉันก็จำได้นะว่าไม่ได้ไปปล้นพวกนายเมื่อเร็ว ๆ นี้!" หัวหน้าพูดอย่างโกรธจัด "หัวหน้าเมสัน อย่าคิดนะว
"เวรเอ๊ย! ความแข็งแกร่งของขั้นกลางเทพแท้จริงงั้นเหรอ? นั่นด้วย.."นักสู้ที่ยิ่งใหญ่ของตำหนักลมหวนค่อย ๆ เบ้หน้าเมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าในความเป็นจริง หัวหน้าตำหนักลมหวนเตือนพวกเขามาเสมอว่าเพราะตระกูลวู๊ดอยู่ใกล้กับพวกเขา จึงเป็นที่ยอมรับได้หากพวกเขาปล้นทรัพยากรไปบางส่วน แต่ก็ไม่ควรข้ามเส้นไปและทำให้พวกนั้นโกรธจัด อีกฝ่ายตัดสินใจต่อสู้กับพวกเขาเมื่อไหร่ พวกเขาก็สู้ไม่ได้เลยหัวหน้าเชื่อถ้าถ้าเป็นการปล้นเล็ก ๆ น้อย ๆ เมสันก็จะอดทนเอาไว้ ในทางตรงกันข้าม สำหรับหลาย ๆ ตระกูล ถ้าพวกเขาออกไปตามทรัพยากรและวัสดุ คนในตำหนักลมหวนอาจจะทำตัวหยาบคายและประสาท เมื่อคนของตำหนักลมหวนเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่คนเดียวหรือเป็นกลุ่มเด็ก ๆ พวกเขาก็จะปล้นอย่างไม่ปราณี หลังจากที่ตระกูลอื่น ๆ และอีกหลายตระกูลไม่รู้ว่าตำหนักลมหวนอยู่ที่ไหน ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะอยากล้างแค้น มันก็จะไม่ง่ายที่จะทำเช่นนั้น หัวหน้าของตำหนักลมหวนไม่คิดว่าที่ผู้พิทักษ์ลานิชและคนอื่น ๆ มุ่งไปที่ผู้อาวุโสของตระกูลวู๊ดนี่ไม่ได้หมายความว่าอยากตายแล้วจะหมายความว่าอะไร? สีหน้าของหัวหน้าซีดลงขึ้นไปอีก "เดี๋ยวก่อน!" เขากางแขนอย่างตื่นตระห
“บ้าเอ๊ย เราจะทำยังไงดีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักสู้ระดับเทพแท้จริง?”บางคนตกใจมากจนน้าซีด สำหรับปรมาจารย์หรือคนที่อยู่ระดับกึ่งเทพ ไม่มีทางที่จะเอาชนะคนที่อยู่ในระดับเทพแท้จริงได้ ออร่าของเขาเพียงคนเดียวยังมีพลังมากขนาดนี้ มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะเข้าใกล้ตัวเขาผู้อาวุโสพลิกฝ่ามือและหยิบวัตถุที่มีลักษณะคล้ายกระดองเต่าขนาดเล็กออกมา เขาถ่ายพลังฉีเข้าไป กระดองเต่าก็เปล่งแสงวาบออกมาก่อนที่จะขยายขนาดใหญ่ขึ้นสิ่งนั้นคือโล่จริง ๆ ด้วยผู้อาวุโสยกโล่ขึ้นตรงหน้าเขาและถอนหายใจอย่างโล่งอก“แกมีสมบัตินี้อยู่จริงด้วย!”มันโรพูดไม่ออกเมื่อเห็นมัน ตามตรรกะแล้ว เขาควรจะเป็นคนที่ได้สมบัตินั้นมา เขาไม่คิดว่าผู้อาวุโสจะซ่อนมันไว้เพื่อตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาตกอยู่ในอันตราย ผู้อาวุโสคงไม่เอามันออกมา และมันโรก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าสมบัติดังกล่าวมีอยู่จริงปัง!มีการโจมตีโดนบนโล่ แต่เมื่อมองไปที่มัน ก็ไม่เห็นเหลือรอยขีดข่วนใด ๆ เหลือบนกระดองเต่าเลยทว่าการโจมตีที่ทรงพลังนั้นก็ทำให้เขาเซถอยหลังไปสองสามเมตรก่อนที่เขาจะกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้งส่วนคนรอบข้าง แม้ว่าพวกเขาใช้ทักษะยุทธอย่าง
“ฉันต้องอดทนไว้!” มันโรพูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ กับตัวเอง แต่ไม่ถึงหนึ่งวินาทีก่อนที่เขาจะได้พูดประโยคนั้นซ้ำ ทุกอย่างก็พังทลาย ทันทีที่ความคิดนั้นยึดมั่นอยู่ในใจของเขา ฉีอสรพิษยักษ์ก็พังทลายลงและค่อย ๆ จางหายไปในอากาศ แม้ว่าอสรพิษของเขาจะลบล้างการโจมตีส่วนใหญ่ของเฟนด์ได้สำเร็จ แต่การโจมตีที่เหลืออยู่ก็ยังคงทรงพลังและแข็งแกร่งอย่างน่าสะพรึงกลัว มันปะทะกับออร่าฉีวงกลมที่ป้องกันตัวของมันโรโดยตรงปัง! เสียงกระแทกเบากว่าเมื่อกี้ แต่โล่ของพลังฉีของมันโรก็ต้านทานการโจมตีของเฟนด์ไว้ได้เพียงสองสามวินาทีก่อนที่มันจะพังทลายลงและแตกละเอียยดเป็นชิ้น ๆ แม้ว่าหลังจากที่จะลบล้างการโจมตีของเฟนด์ด้วยออร่าฉีวงกลมที่ล้อมรอบตัว แต่การโจมตีที่แข็งแกร่งนั้นก็ยังเหลืออยู่เกือบหนึ่งในสิบ มันก็ระเบิดใส่ร่างของมันโรอย่างรุนแรง เลือดไหลทะลักออกมาจากปากของมันโร เขากระเด็นถอยหลังไป เหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่ กระเด็นไปตกบนหลังคาบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหลังของเขา กระแทกบนหลังคาจนเป็นรูแล้วตกลงบนพื้นของบ้าน “ฮึ่ม!” เหตุการณ์ตรงหน้าฟนด์ทำให้มุมปากของเขาหยักขึ้น และในวินาทีต่อมา เขาก็พุ่งตัวเข้าไปในบ้านด้วยความเร็ว
ดังนั้น เห็นได้ชัดว่าคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้ไม่ได้มาจากตระกูลคาเบลโล “อย่าบอกนะว่าเป็นโจรอีกกลุ่มหนึ่งที่จับตาดูพวกเขาอยู่?” ทันใดนั้น หัวใจของคุณหนูลำดับที่สามของตระกูลคาเบลโลก็เต้นอย่างแรงเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เพราะยังไงซะ ไม่ว่าจะเป็นพวกกลุ่มโจรจากตำหนักลมหวนหรือจะเป็นพวกกลุ่มโจรอื่น พวกเขาก็ล้วนเป็นคนไม่ดี ปรากฏการณ์ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้ที่แข็งแกร่งชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า เป็นเรื่องธรรมดาของกลุ่มโจร ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะต้องมีกลุ่มโจรภูเขาอีกกลุ่มหนึ่งมาปล้นตำหนักลมหวนแน่ ภายในสองสามวินาทีนี้ ความคิดของคุณหนูลำดับที่สามของตระกูลคาเบลโลวิ่งพล่านไปหมด หัวใจของเธอรู้สึกไม่สบายใจ ความหวาดกลัวของเธอก็เพิ่มสูงขึ้น เธอมีใบหน้างดงามที่สุดในบรรดาลูกสาวทั้งสามคนของตระกูลคาเบลโล แม้ว่าพี่สาวของเธอจะสวยด้วยเหมือนกันก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น นายน้อยคนอื่น ๆ หลายคนจากตระกูลลึกลับต่างก็ชื่นชอบเธอและอยากจะได้ตัวเธอ ถ้าหญิงสาวหน้าตาดีอย่างนี้ตกไปอยู่ในมือของกลุ่มโจรที่แข็งแกร่งกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะถูกจับไปเป็นภรรยาของหัวหน้าโจร เธอตกอยู่ในความสิ้นหวังและไม่สามารถ
เฟนด์ไม่สนใจเลยสักนิดแม้ว่าคุณหนูลำดับที่สามของตระกูลคาเบลโลจะตกลงมาอย่างแรง เขายังคงเดินตรงไปหาเธอและตวัดดาบไปที่เธอ “ไม่ อย่านะ!” คุณหนูลำดับที่สามของตระกูลคาเบลโลคิดว่านี่คงเป็นวันสุดท้ายของเธอ คิ้วของเธอขมวดเข้าหากัน เธอหลับตาลงและตะโกนออกมาสุดแรง ฟุ่บ! น่าเสียดายที่คุณหนูลำดับที่สามของตระกูลคาเบลโลเข้าใจผิด เฟนด์ตวัดดาบในมือของเขา วินาทีต่อมา เชือกที่มัดเธอไว้ก็ขาดออก ไม่นานคุณหนูลำดับที่สามของตระกูลคาเบลโลก็รู้สึกว่าเชือกที่มัดอยู่นั้นเหมือนจะคลายออก เธอจึงลืมตาขึ้นข้างหนึ่งเพื่อแอบดู ซึ่งเฟนด์ก็ได้ตัดเชือกไปแล้ว “คุณ... คุณไม่ได้จะฆ่าฉันเหรอ?” คุณหนูลำดับที่สามของตระกูลคาเบลโลถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ไม่นานสีหน้าของเธอมืดลงอีกครั้ง “เดี๋ยวก่อน คุณต้องรู้ว่าฉันกินโอสถกระจายฉีและรู้ว่าฉันไม่สามารถควบคุมฉีในร่างกายเพื่อป้องกันตัวเองได้! นั่นคือเหตุผลที่คุณตัดเชือกแล้วปล่อยฉันไปใช่ไหม?” เธอสันนิษฐาน “ขอพูดตรง ๆ นะ ร่างกายอันงดงามที่คุณเห็นอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะสัมผัสได้!” เฟนด์พูดไม่ออกอีกครั้ง “อย่างแรกเลยนะ ผมไม่ใช่ทั้งผู้ร้ายและไม่ใช่กลุ่มโจร อย่างที่สอง ผมแต
“เฮ้ เรื่องนั้นฉันไม่คิดมากหรอกเพราะฉันไม่ใช่คนแบบนั้น!”เฟนด์ยิ้มบาง ๆ หนุมตัวกลับ แล้วเดินออกมาความประหลาดใจแวบผ่านเข้ามาในดวงตาของไดอาเนียลล่าขณะที่เธอมองเงาของเขาลับหลังไปมีผู้ชายหลายคนสนใจในรูปลักษณ์ของเธอ อัจฉริยะหลายคนจากตระกูลคาเบลโลและจากตระกูลอื่น ๆ ต่างหวั่นไหวเมื่อได้เจอเธอถ้าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่โจร ตามตรรกะแล้ว อย่างน้อยเขาก็น่าจะถามชื่อหรือแสดงท่าทีสนใจเธอออกมาบ้าง แต่เขากลับหันหลังกลับและเดินออกไปเลย เธอจึงรู้สึกไม่พอใจเธอรีบวิ่งตามเขาไป “นี่ คุณจะไม่อยากรู้หน่อยเหรอว่าฉันชื่ออะไร?” เธอพูดกับเฟนด์เฟนด์หันไปมองเธอ “ทำไมผมต้องอยากรู้ด้วยล่ะ?” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ“ฉัน...”ไดอาเนียลล่าโกรธจัด ผู้ชายคนนี้ช่างไม่รู้อะไรเลย เขาไม่คิดจะแสดงท่าทีสนใจผู้หญิงที่งดงามแบบเธอบ้างเลยเหรอ?เธอกลอกตาใส่เขา “ฉันไดอาเนียลล่า” เธอพูด “แล้วคุณล่ะ?”“อ๋อ ผมชื่อเฟนด์!”หลังจากที่พูดจบ เขาก็เดินออกไปเลย ในเวลานี้ สมาชิกตระกูลวู๊ดกำลังจัดการกับสมบัติที่ยึดได้จากศัตรูแล้วเก็บไว้เป็นของที่ได้รับจากชัยชนะของพวกเขา“นายน้อย นี่เป็นสมบัติล้ำค่า คุณต้องรับมันไว้นะ!”ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ