เฟนด์มองทั้งสอง เขายิ้มอ่อน ๆ อย่างอ่อนโยน และค่อย ๆ เดินไปหาแม่และลูกสาวเมื่อทั้งสองได้เห็นเฟนด์เดินไปหา หัวใจก็กระโดดเข้าไปในลำคอ "ค-คุณจะทำอะไร?" หญิงวัยกลางคนกัดฟัน ร่างของเธอขยับเข้าใกล้ลูกสาวมากขึ้นโดยสัญชาตญาณพยายาม พยายามปกป้องลูกจากเฟนด์ "คุณ-คุณไม่ใช่คนของตระกูลวู๊ดนี่! คุณเป็นใคร? ต้องการอะไรจากเรา?" เธอถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ตราบใดที่ปล่อยแม่ของฉันไป ฉันก็จะเต็มใจที่จะ..." เธอเสริม หญิงสาวกัดฟันและเสนอ เฟนด์พูดไม่ออก เขาประกาศแล้วว่าเขามาจากตระกูลวู๊ด สองคนนี้ก็ยังคิดว่าเขาเป็นคนเลวแบบพวกนั้นเหรอ? "ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่ใช่คนเลว!" เฟนด์หัวเราะอย่างขมขื่น พยายามอธิบาย "ไอ้หนุ่ม แกไปทำอะไรกับผู้หญิงทั้งสอง?" ที่ไม่เป็นอย่างที่เฟนด์หวังไว้คือเสียงดังไปถึงผู้ชายจากหมู่บ้านใกล้ ๆ นี้เมื่อทั้งสามได้ยินเสียงกระทบกระทั่งพวกเขาก็รีบวิ่งเข้า ทันทีที่เดินไปถึงที่เกิดเหตุ พวกเขาก็เห็นภาพเฟนด์กำลังเดินไปหาผู้หญิงสองคนบนพื้น หนึ่งในสามคนนั้น พวกชายวัยกลางคนตะโกนใส่เฟนด์อย่างโกรธอื่น "นั่นมันมูนกับป้าทิวลิปนี่!" ชายหนุ่มทั้งสามสังเกตว่าเฟนด์ถือดาบไว้ในมือ จากน
จากนั้นผู้คนก็ตอบสนองเช่นนั้น ใบหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความสับสน ตกใจ และประหลาดใจ เหมือนว่าชายคนนี้จะเป็นคนของตระกูลวู๊ดจริง ๆ "อ่า เขาเป็นทายาทของนายท่านเหรอ?"มูนอ้าปากค้างขณะพูด ดวงตาเธอเบิกกว้างเท่าจานรอง ริมฝีปากเธอก็เบิกกว้าง ไม่กี่วินาทีต่อมา เมื่อรู้ตัวแล้วเธอก็คุกเข่าลงต่อหน้าเฟนด์และพูดว่า "ขอบคุณที่ช่วยชีวิตเราไว้ นายน้อยเฟนด์! ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันกับแม่ก็คงจะ...""ใช่! ขอบคุณมากนายน้อยเฟนด์!"หญิงวัยกลางคนคุกเข่าลงกับพื้น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา และเสียงก็สั่น "เราไม่เคยเจอนายน้อยตระกูลวู๊ดเลย เราก็เลยคิดว่าคุณไม่ใช่คนของตระกูลวู๊ด เราเข้าใจผิด ได้โปรดยกโทษให้เราด้วย!""ลุกขึ้นเถอะ ฉันจะโทษพวกคุณได้ยังไงในเมื่อรู้ว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด? ยกโทษให้แน่นอนอยู่แล้ว!"เฟนด์เข้าหาทั้งสองคน พลิกฝ่ามือ และยาสองเม็ดก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา เขายืนยาให้ทั้งคู่และพูดว่า "ทั้งสองคนรับไปคนละเม็ด และรีบกลืนเข้าไปเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บซะ""นี่... ฉัน... ฉันจะรับสมบัติจากนายน้อยเฟนด์มาได้ยังไง!"มูนก้มหัวลงอย่างกระอักกระอ่วนกับท่าทีที่มีต่อเฟนด์เมื่อสักครู่ เธอคิดว่าเฟนด์ไม่ได้ต่า
จากนั้นไม่นาน สีหน้าของมูนก็ดีขึ้นกว่าตอนแรก ยาที่เฟนด์ให้มามีผลอย่างรวดเร็วต่อมูนมากมูนกดริมฝีปากเข้าหากันและยิ้มออกมา "กลุ่มโจรขี่ม้านั่นรู้ว่าเรามาจากตระกูลวู๊ด ดังนั้นในตอนนี้ พวกมันก็ไม่กล้าไปไหนไกลหรอก อย่างน้อยก็จะไม่ฆ่าคนของเรา แต่ดูจากสถานการณ์ ผู้พิทักษ์ลานิชต้องการฆ่าฉันกับแม่!" เฟนด์พยักหน้าและพูด "เธอพูดถูก เพราะพวกมันไล่ตามความสวยเธอมา หลังจากที่ล่วงละเมิดแล้ว มันก็จะฆ่าและทำลายศพแน่นอน ถึงเวลานั้น คนของเราก็จะไม่รู้ว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แม้ว่าจะรู้ เราก็จะไม่รู้ว่าเธอตายังไง พวกมันไม่ยอมรับการกระทำของตัวเองหรอก!" เฟนด์กำหมัดแน่นขณะคิดถึงผลที่เป็นไปได้มากที่สุด "เหมือนว่าจะถึงเวลากำจัดไอ้พวกนี้ซะแล้ว!" เฟนด์ตำหนิ"แต่ นายน้อยเฟนด์ คุณเพิ่งจะอยู่ในระดับขั้นต้นของเทพแท้จริงใช่ไหม? แม้ว่าเราจะร่วมมือกัน ฉันก็เกรงว่าจะเสียครั้งใหญ่อยู่ดี ฉันไม่มั่นใจเท่าไหร่ในเรื่องนี้" เมสันขมวดคิ้วขณะพูดกับเฟนด์ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม อย่างไรก็ตาม เฟนด์ก็ไม่ได้สนใจอะไร "ไม่ต้องห่วง ฉันรับรองได้ว่าจะไม่มีการสูญเสียใหญ่โต พวกนั้นมีนักสู้แค่คนเดียวที่มีพลังระดับขั้นต้นของเทพแท
"เอาล่ะ! ไปกันเถอะ!"เฟนด์โบกมือและฝูงชนก็เดินออกไปอย่างมีระเบียบ ไม่นานพวกเขาก็มาถึงด้านล่างของภูเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับหมู่บ้าน "นายน้อยเฟนด์ บางครั้งกลุ่มโจรขี่ม้าก็จะไปหาทรัพยากรการต่อสู้ แต่ส่วนใหญ่จะมาปล้นพวกเรา บางครั้งพวกเขาก็รอเราตรงทางเข้าป่าที่เราไล่หาทรัพยากร บางคนจากตระกูลอื่นที่ไม่รู้จักพวกเขาก็จะโดนปล้นไปด้วย แต่ในสถานการณ์ปกติแล้ว พวกมันจะปล้นแต่ก็ไม่กล้ารุกรานตระกูลอื่น ดังนั้นส่วนใหญ่ก็ทนการรังแกจากพวกมันได้!"ระหว่างทางไปยอดเขาใหญ่ เมสันก็ไตร่ตรองกับอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา และพูดเสริมว่า "ดังนั้น ผมคิดว่ากลุ่มโจรขี่ม้าพวกนี้ได้เก็บทรัพยากรมากมายเอาไว้ ถ้าเราฆ่าพวกมันทั้งหมด เราก็จะได้ทรัพยากรนั้นมาด้วย!" "นายน้อยเฟนด์ ตอนที่เราบุกเข้าไปได้และจัดการพวกมันได้สำเร็จ คุณคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่จะถือว่าเป็นหนึ่งในภารกิจหาทรัพยากร? และถ้าเราแบ่งครึ่งหนึ่งให้กับตระกูลหลักล่ะ?" ผู้อาวุโสอีกคนพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจ ผู้อาวุโสคนนี้ฉลาดและช่างสังเกต เขาเห็นความตั้งใจของหัวหน้าเมสันที่จะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเฟนด์อย่างตั้งใจ เมสันคิดเรื่องทรัพยากรจำนวนมากนี้อย่างเห็นได้ช
ภายในอาคารอิฐแห่งหนึ่ง มีชายวัยกลางคนที่น้ำลายไหลขณะอยู่เหนือร่างของหญิงสาวที่ถูกมัดอยู่บนเตียงและบาดเจ็บ ลำคอของเขาขยับเพื่อกลืนน้ำลาย"เป็นผู้หญิงที่น่าทึ่งมากเลยสินะ ไม่ใช่เหรอ?" ชายกลางคนลูบมือขณะเดินไปที่เตียงพร้อมกับยิ้มชั่วร้าย "ตัวเล็กตัวน้อยของฉัน ฉันคือหัวหน้าแห่งตำหนักลมหวน! ถ้าเธอได้เป็นผู้หญิงของฉัน ทำตามที่บอกและรับใช้ฉันอย่างดี เธอจะได้เป็นภรรยาของหัวหน้าตำหนักลมหวน!" หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยความแค้นและเกลียดชัง "หัวหน้าอะไร ตำหนักอะไร? พวกแกก็เป็นแค่กลุ่มโจรขี่ม้า!" เธอพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด "ตอนนี้แกหน้าด้านเกินไปแล้ว! แกเคยปล้นแต่ของ ตอนนี้กล้าลักพาตัวคนแล้ว! คนอย่างพวกแกก็ได้แค่ชื่อกับอำนาจให้ตัวเอง หน้าไม่อายจริง ๆ! ตำหนักลมหวนเหรอ? ล้อกันเล่นหรือเปล่า? พวกแกควรได้ชื่อแบบนั้นเหรอ?"หัวหน้าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตอบกลับไป "ฮี่ฮี่ฮี่! อย่าตัดสินคนจากภายนอกสิ! แม้ว่าเราจะดูตัวใหญ่และร่างหนา แต่ฉันก็เป็นสุภาพบุรุษที่โรแมนติกและอ่อนโยนคนหนึ่งนะ"จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปลูบแก้มของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา "อย่าห่วงไปเลย ถ้าเธอเริ่มคิดว่าจะตามฉัน ฉันสัญญาได้เลยว่าไม่ต้องกังวลกั
"หัวหน้าเมสัน หมายความว่าไงที่พาคนพวกนี้มา?"เมื่อหัวหน้าของตำหนักลมหวนมาถึงใจกลาง ใบหน้าเขาก็นิ่งลงที่สุดทันที เขาไม่คิดว่าหัวหน้าสาขาของตระกูลวู๊ด เมสัน วู๊ดจะนำผู้อาวุโสและปรมาจารย์มาด้วย เขารู้ดีว่าคนของตระกูลสาขาไม่กล้าต่อกรกับพวกเขามาโดยตลอด เว้นแต่พวกวู๊ดจะมั่นใจในระดับหนึ่งว่าพวกเขาชนะการต่อสู้ นอกจากนั้น เขาก็รู้ดีว่าตระกูลหลักของตระกูลวู๊ดไม่เคยมาสนใจเรื่องนี้เลย ดังนั้นพวกเขาก็เลยไม่กล้าประมาทและโจมตีมา นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายกลัวที่สุดเมื่อสู้กับตำหนักลมหวนคือการสูญเสียของพวกเขาเองที่ใหญ่มากจนกระทบกับตระกูลวู๊ดทั้งหมด มันไม่คุ้มเลย สิ่งเดียวที่หัวหน้าของตำหนักลมหวนไม่ได้คิดไว้คือเมสันพาใครสักคนมาด้วย เมสันสูดลมหายใจ เขาปรบมือเพื่อเป็นสัญญาณ ชายหลายคนของตระกูลวู๊ดก้าวเข้ามาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า พวกเขาโยนหัวของผู้พิทักษ์ลานิชกับพวกอันธพาลลงไปที่พื้น "แก..." ใบหน้าของหัวหน้าตำหนักลมหวนซีดทันที "หัวหน้าเมสัน นี่มันหมายความว่าไง? ฆ่าคนของเราได้ยังไงกัน? และฉันก็จำได้นะว่าไม่ได้ไปปล้นพวกนายเมื่อเร็ว ๆ นี้!" หัวหน้าพูดอย่างโกรธจัด "หัวหน้าเมสัน อย่าคิดนะว
"เวรเอ๊ย! ความแข็งแกร่งของขั้นกลางเทพแท้จริงงั้นเหรอ? นั่นด้วย.."นักสู้ที่ยิ่งใหญ่ของตำหนักลมหวนค่อย ๆ เบ้หน้าเมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าในความเป็นจริง หัวหน้าตำหนักลมหวนเตือนพวกเขามาเสมอว่าเพราะตระกูลวู๊ดอยู่ใกล้กับพวกเขา จึงเป็นที่ยอมรับได้หากพวกเขาปล้นทรัพยากรไปบางส่วน แต่ก็ไม่ควรข้ามเส้นไปและทำให้พวกนั้นโกรธจัด อีกฝ่ายตัดสินใจต่อสู้กับพวกเขาเมื่อไหร่ พวกเขาก็สู้ไม่ได้เลยหัวหน้าเชื่อถ้าถ้าเป็นการปล้นเล็ก ๆ น้อย ๆ เมสันก็จะอดทนเอาไว้ ในทางตรงกันข้าม สำหรับหลาย ๆ ตระกูล ถ้าพวกเขาออกไปตามทรัพยากรและวัสดุ คนในตำหนักลมหวนอาจจะทำตัวหยาบคายและประสาท เมื่อคนของตำหนักลมหวนเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่คนเดียวหรือเป็นกลุ่มเด็ก ๆ พวกเขาก็จะปล้นอย่างไม่ปราณี หลังจากที่ตระกูลอื่น ๆ และอีกหลายตระกูลไม่รู้ว่าตำหนักลมหวนอยู่ที่ไหน ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะอยากล้างแค้น มันก็จะไม่ง่ายที่จะทำเช่นนั้น หัวหน้าของตำหนักลมหวนไม่คิดว่าที่ผู้พิทักษ์ลานิชและคนอื่น ๆ มุ่งไปที่ผู้อาวุโสของตระกูลวู๊ดนี่ไม่ได้หมายความว่าอยากตายแล้วจะหมายความว่าอะไร? สีหน้าของหัวหน้าซีดลงขึ้นไปอีก "เดี๋ยวก่อน!" เขากางแขนอย่างตื่นตระห
“บ้าเอ๊ย เราจะทำยังไงดีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักสู้ระดับเทพแท้จริง?”บางคนตกใจมากจนน้าซีด สำหรับปรมาจารย์หรือคนที่อยู่ระดับกึ่งเทพ ไม่มีทางที่จะเอาชนะคนที่อยู่ในระดับเทพแท้จริงได้ ออร่าของเขาเพียงคนเดียวยังมีพลังมากขนาดนี้ มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะเข้าใกล้ตัวเขาผู้อาวุโสพลิกฝ่ามือและหยิบวัตถุที่มีลักษณะคล้ายกระดองเต่าขนาดเล็กออกมา เขาถ่ายพลังฉีเข้าไป กระดองเต่าก็เปล่งแสงวาบออกมาก่อนที่จะขยายขนาดใหญ่ขึ้นสิ่งนั้นคือโล่จริง ๆ ด้วยผู้อาวุโสยกโล่ขึ้นตรงหน้าเขาและถอนหายใจอย่างโล่งอก“แกมีสมบัตินี้อยู่จริงด้วย!”มันโรพูดไม่ออกเมื่อเห็นมัน ตามตรรกะแล้ว เขาควรจะเป็นคนที่ได้สมบัตินั้นมา เขาไม่คิดว่าผู้อาวุโสจะซ่อนมันไว้เพื่อตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาตกอยู่ในอันตราย ผู้อาวุโสคงไม่เอามันออกมา และมันโรก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าสมบัติดังกล่าวมีอยู่จริงปัง!มีการโจมตีโดนบนโล่ แต่เมื่อมองไปที่มัน ก็ไม่เห็นเหลือรอยขีดข่วนใด ๆ เหลือบนกระดองเต่าเลยทว่าการโจมตีที่ทรงพลังนั้นก็ทำให้เขาเซถอยหลังไปสองสามเมตรก่อนที่เขาจะกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้งส่วนคนรอบข้าง แม้ว่าพวกเขาใช้ทักษะยุทธอย่าง
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ