แนชโกรธจัด เขาไม่เคยคิดว่าทุกคนจะเริ่มเถียงกันขนาดนี้ เพราะเฟนด์กลับมาเขามองไปที่ฝูงชน “เราจะมาตัดสินใจกันในวันพรุ่งนี้” เขาพูดต่อว่า “เฟนด์เพิ่งจะมาถึง วันนี้ให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ก่อน ค่อยคุยเรื่องธุระกันพรุ่งนี้!”"ก็ได้!"ทุกคนต่างกำหมัด ก่อนจะก้มหัวแสดงความเคารพ"ให้ตาย ฉันได้ยินมาว่าภรรยาคนที่สามของแนชกลับมาแล้วล่ะ ไหนนายน้อยเฟนด์นะ? ขอดูหน่อยสิ…”ในตอนนี้ ลิซซี่ ภรรยาคนที่สองของแนช เพิ่งลงมาจากภูเขาพร้อมกับคนอื่น ๆ เธอเพิ่งจะได้ข่าว เลยแวะมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น“ลิซซี่ นี่คือลูกชายของผม นี่คือโจแอน เธอคือภรรยาของผมจากนี้ไป!”แนชยิ้มเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นว่าลิซซี่กำลังเดินเข้ามา ก่อนจะแนะนำพวกเขาให้เธอรู้จัก“จุ๊จุ๊ นี่เองเหรอนายน้อยเฟนด์? ช่างรูปงาม ยังหนุ่มยังแน่นจริง ๆ !”หลังจากลิซซี่มองเฟนด์อย่างพิถีพิถัน เธอก็มองไปที่โจแอน “ไม่แปลกใจเลยที่แนชหลงรักคุณ คุณดูไม่เหมือนคนที่บ่มเพาะพลังฉีเลย แต่คุณมีประกายที่ต่างจากคนอื่นมากเลย! คนธรรมดาคงไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก”โจแอนยิ้มอย่างอ่อนหวาน “คุณพูดถึงประกายอะไรกัน” เธอถาม “ฉันมันก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ฉันเทียบกับคุณไม่ได้หรอกค
ในเมื่อแนชเองสั่งให้ลิลลี่และคนอื่น ๆ เงียบ ทุกคนก็แยกย้ายกันไป มีเพียงคนใช้ไม่กี่คนนั้นที่ช่วยกันจัดการซากศพไม่นานหลังจากนั้น เฟนด์ โจแอน และเซเลน่าก็เข้าไปที่ห้องของแนช ขณะที่ลาน่าและคนอื่น ๆ กำลังพักผ่อนอย่างดี หลังจากถูกพาไปที่ห้องพักของแต่ละคน"วันนี้วันดีจริง ๆ ลูกโตขึ้นมากเลยนะ ลูกพ่อ แถมยังเป็นคนที่มีชื่อเสียงอีก!”แนชนั่งลงบนเตียง พลางมองไปที่เฟนด์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจเฟนด์มองไปรอบ ๆ มีเพียงพ่อบ้าน เบธ โยลันดา ลิซซี่ ผู้อาวุโสลำดับหนึ่ง และคนอื่นๆ เท่านั้นที่อยู่ที่นี่เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "นายไททัส เราเชื่อใจทุกคนในนี้ได้ไหม?”ไททัสพยักหน้า “ทุกคนที่นี่เป็นคนใน ส่วนลิซซี่ก็เป็นคนดี อย่าห่วงไปเลย เธอกับโยลันดาไม่ใช่คนนอก!”หลังจากได้ยินคำตอบของไททัส เฟนด์ก็ถามขึ้นมาอีกว่า “ในสวนมีคนคอยจับตาดูเรารึเปล่า?”ไททัสสัมผัสได้ว่าเฟนด์ต้องมีเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ที่ต้องพูดแน่นอน เขาส่ายหัว “ไม่ต้องห่วงครับ ผู้ชายที่เฝ้าตรงทางเข้า ก็เป็นคนของเราเหมือนกัน และพวกเขาก็เป็นคนดีครับ นายน้อยเฟนด์ คุณมีอะไรจะพูดรึเปล่า?”“ที่นั่นมีคนเยอะเก
ไททัสพูดแทรกขึ้นมา “ใช่ มันก็นานมากแล้ว เธอยืนหยัดว่าอย่างน้อยเธอต้องได้เห็นศพ เหอะ ถ้าเขาตายไปแล้วจริง ๆ นะ คงไม่มีทางหาศพเขาเจอหรอก คงถูกสัตว์ป่ากินไปนานแล้วล่ะ!”ตอนนี้ เซเลน่าก้าวไปข้างหน้า “ถ้าเฟนด์พูดว่าพ่อสามีของฉันโดนวางยา ก็หมายความว่าเขาโดนว่ายาแล้ว ฉันไม่รู้ว่าตระกูลสันโดษแบบพวกคุณจะรู้เรื่องนี้รึเปล่า แต่อีธาน เฮยส์เป็นที่รู้จักในนาม 'หมอปาฏิหาริย์' ในดินแดนมนุษย์ เฟนด์คืออาจารย์ของเขา ฉันมั่นใจว่า มันน่าจะเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าเฟนด์มีทักษะทางการแพทย์อย่างมาก!”"จริงหรือ? นั่นดีเลย! ในเมื่อเฟนด์บอกได้ว่าเขาโดนวางยา เขาต้องรู้วิธีรักษาแน่ สุดท้ายแล้ว มันคงจะแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้นเพราะเรารู้แล้วว่าเขาเป็นอะไร!”ดวงตาของผู้อาวุโสลำดับหนึ่งเป็นประกายขึ้นมา เมื่อได้ยินเช่นนั้นถึงท่าทีของแนชจะแข็งกร้าวราวกับหินก็ตาม “ตอนนี้เฟนด์เรียกฉันว่าพ่อแล้ว'” เขาพูดกับเซเลน่า “ทำไมเธอยังเรียกฉันว่า 'พ่อสามี' อยู่ล่ะ? เธอควรเรียกฉันว่าอะไรนะ?”เซเลน่ารู้สึกอับอายขึ้นมาทันที "พ่อ!" เธอพูดออกมาเบา ๆ แนชดีใจมากเมื่อลูกสะใภ้เรียกเขาว่า 'พ่อ' เขาพลิกฝ่ามือ และเม็ดสมุนไพรสามสี่เม็ดก็ปรากฏข
“ฮ่า ตอนนี้ผมก็อายสิ เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ให้อะไรเลยน่ะ!”ผู้อาวุโสลำดับหนึ่งหัวเราะออกมา ก่อนพลิกฝ่ามือของเขาเช่นกัน เขาหยิบคัมภีร์วิชายุทธออกมา แล้วให้มันกับเซเลน่า “เทคนิคอันนี้เหมาะกับผู้ชายมากกว่า เอาให้น้องชายของคุณนะ! ถือซะว่าเป็นการแสดงน้ำใจจากผม”“ฉัน-ฉันไม่รู้จะขอบคุณทุก ๆ คนยังไงดี!”เซเลน่ารับของทุกอย่าง รู้สึกเขินอายมาก ของขวัญทั้งหมดที่พวกเขาให้มาช่างเป็นสมบัติล้ำค่าจริง ๆ แถมเธอและเบ็นยังเก็บมันไว้ใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย“ฮ่า มันง่ายจะตาย ถ้าคุณอยากขอบคุณเราออกมาจากใจ”ผู้อาวุโสลำดับหนึ่งหัวเราะ เขามองไปทางเฟนด์ “คุณเซเลน่า ได้โปรดช่วยเราโน้มน้าวเฟนด์ให้เป็นทายาทตระกูลวู๊ดที” เขาพูด “คุณอยู่ข้างเขาตลอด แค่ช่วยพูดอย่างมีเหตุผลให้เขาฟังก็พอ!”ลิซซี่ยิ้ม ก่อนจะพูดว่า “หนูเซเลน่า ช่วยเราโน้มน้าวเฟนด์ให้เป็นทายาทตระกูลวู๊ดเถอะนะ เขาฟังเธอมากกว่าพวกเรา ถ้าเขาสานต่อธุรกิจตระกูลวู๊ด และเป็นนายท่านคนต่อไป เธอจะได้ทรัพยากรการฝึกมากเท่าที่เธอต้องการ และจะไม่ต้องกังวลเรื่องการฝึกอีกต่อไป!”พวกเขาคิดจริง ๆ ว่าเซเลน่าจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ทันที เพราะเธอรู้สึกได้ถึงความเมตตาของพวก
เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออก เขารู้ดีว่าไข่มุกน้ำแข็งเป็นสมบัติของตระกูลวู๊ด ถึงผู้อาวุโสลำดับหนึ่งและคนอื่น ๆ ในตระกูลวู๊ดจะสนับสนุนให้เขายืมสมบัติได้ แต่มันก็คงไม่สำเร็จสุดท้ายแล้ว เขาคงบอกไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ถ้ามีคนขัดจุดมุ่งหมายของเขามากเกินไป“แต่ถ้าจู่ ๆ เขาก็ขึ้นมาเป็นทายาท ต้องมีคนไม่พอใจแน่!”ริมฝีปากของไททัสบิดเบี้ยว เขายิ้มอย่างไม่มีความสุขเอาซะเลยเมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น “ไม่เพียงแต่ลิลลี่และคนอื่นๆ เท่านั้น ที่จะไม่ยอมรับเขา แต่พวกหนุ่มสาวและผู้อาวุโสของตระกูลวู๊ดทั้งหลายก็คงไม่เห็นด้วยเช่นกัน สุดท้ายแล้ว แลนซ์ชนะใจหนุ่มสาวก็เพราะเขามีความสามารถ แถมทักษะการต่อสู้ของเขาก็เก่งมากด้วย!”“งั้นผมก็ไม่มีทางเลือกนอกจากให้พวกเขาสนับสนุนผมสินะ!”เฟนด์กำหมัดแน่น “ผมจะเป็นทายาท เพราะเห็นแก่เฟอร์นันโด เราจะประกาศในวันพรุ่งนี้ แล้วเราก็จะจัดการแข่งขันต่อสู้สำหรับพวกหนุ่มสาวในวันต่อไป ตราบเท่าที่ผมเอาชนะพวกเขาได้ ก็จะไม่มีใครต่อต้านผมอีก!”เฟนด์ไม่อยากเปิดเผยพลังของเขา แต่ดูจากสถานการณ์ เขาคงไม่มีทางเลือกนอกจากแสดงมันออกมา“คุณพูดจริงรึเปล่า นายน้อย? สมาชิกหนุ่ม ๆ สาว ๆ
“ลูกศิษย์ของลูกงั้นเหรอ? จริงเหรอ?"เมื่อแนชได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเขาก็สดใสขึ้นมาถ้าลาน่าและคนอื่น ๆ เป็นลูกศิษย์ของเฟนด์จริง ๆ และถ้าพวกเขาฆ่าผู้พิทักษ์ที่เก้าที่อยู่ขั้นแรกของระดับกึ่งเทพได้ มันหมายความว่า อย่างน้อยเฟนด์ต้องอยู่ในขั้นกลางของระดับกึ่งเทพแน่ ถ้าเขาแข็งแกร่งขนาดนั้น ทักษะการต่อสู้ของเขาคงต้องแข็งแกร่งมากแน่ ๆ อย่างน้อย เขาก็คงสู้กับอัจฉริยะจากตระกูลวู๊ดได้“ฮ่า ดีเลย!"ผู้อาวุโสลำดับหนึ่งตื่นเต้นมาก “ในเมื่อมันเป็นแบบนั้น ผมจะประกาศในวันพรุ่งนี้เช้า แล้วเราจะจัดงานแข่งขันการประลองยุทธสำหรับสมาชิกหนุ่มสาวของตระกูลวู๊ด ใครก็ตามที่อายุต่ำกว่าสามสิบสามารถเข้าร่วมได้! และคนที่ชนะ จะได้เป็นทายาทของตระกูลวู๊ด!”แนชครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ทำไมเราไม่เพิ่มรางวัลนี้ล่ะ? ผู้ชนะไม่เพียงแต่จะได้เป็นทายาทเท่านั้น แต่จะได้ใช้ไข่มุกน้ำแข็งตามเท่าที่ต้องการได้ด้วย ว่าไงล่ะ?”ผู้อาวุโสลำดับหนึ่งตาเป็นประกายทันที เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น “ก็ได้ครับนายท่าน เราจะทำตามแผนนั้น ถ้าเราเพิ่มเงื่อนไขนั้นไป ก็จะไม่มีใครว่านายน้อยเฟนด์ที่จะใช้สมบัติเมื่อเขาเป็นผู้ชนะ!”“ฮ่า ใช่ ถ้าเราเพิ่มเงื
ในทางกลับกัน ไททัสก็แกล้งพูดขึ้นมา “ฮ่าฮ่า! ดีเลย เลือดย่อมข้นกว่าน้ำเสมอ!”ทว่า ไททัสหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครั้ง “นายท่านวู๊ด นายท่านเชื่อใจเฟนด์มากไปรึเปล่าครับ? ถ้าเกิดยานี่เป็นยาพิษล่ะ? ทำไมนายท่านไม่ตรวจสอบก่อนจะกลืนมันเข้าไปล่ะครับ!” ไททัสถามด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “นอกจากนี้แล้ว นายน้อยเฟนด์ขอจัดการแข่งขันถึงสองครั้ง นายท่านก็ตอบโดยไม่ลังเลเลยทั้งสองครั้ง! ถ้าเกิดว่านักษะการต่อสู้ของนายน้อยเฟนด์ทำให้เขาไม่ชนะ จะทำยังไงครับ และถ้าตำแหน่งของหัวหน้าตระกูลต้องตกเป็นของคนอื่น?” ไททัสยังคงกังวลแนชไม่ตอบเดี๋ยวนั้น แต่เขาหัวเราะออกมาดัง ๆ ให้กับความกังวลของไททัสแทน “ฉันเป็นหนี้เฟนด์กับแม่ของเขามามาก มากเกินไป และฉันเชื่อว่าเขาจะไม่มีทางทำร้ายฉัน ถึงยาจะมีพิษฉันก็กินอยู่ดีแหละน่า เขาเป็นลูกชายของฉัน และเขาทำยาให้ฉัน ฉันต้องกินอยู่แล้วสิ!” ดวงตาของแนชเต็มไปด้วยน้ำตา เขาพูดต่อว่า “ฉันดีใจจริง ๆ ที่ได้เห็นทั้งคู่ก่อนตาย ที่มากไปกว่านั้น ถ้าพวกเขาไม่มาในวันนี้ นอกจากฉันแทบจะไม่มีโอกาสเห็นหน้าพวกเขาแล้ว ฉันก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าฉันโดนวางยา!”แนชหยุดไปครู่นึง เขาเอนไปข้างหลังเล็กน้อย “สำหรับเรื
“ก็ได้ ก็ได้! หยุดบ่นนะลูก พ่อก็ลำเอียงกับลูกเหมือนกันนะ ไม่ใช่พี่เฟนด์คนเดียว!”แนชอดหัวเราะไม่ได้ ขณะที่เขามองไปที่ลูกสาวสุดน่ารักของเขาที่อยู่ตรงหน้า “ลูกรักของพ่อ ยูล ลูกมีเสน่ห์และสวยขึ้นในทุก ๆ วัน! อีกอย่าง ลูกก็ถือว่าเป็นหนุ่มสาวในตระกูลวู๊ด ลูกจะเข้าร่วมการแข่งขันก็ได้นะ!”“ฮึ่ม! แน่นอน! ความแข็งแกร่งและทักษะการต่อสู้ของหนูก็แข็งแกร่งใช้ได้เลย! พ่อจะมาโทษหนูไม่ได้นะ ถ้าหนูแข่งชนะพี่เฟนด์!”ยูลทำหน้ามุ่ย ก่อนถอนหายใจอย่างหงุดหงิด“ยูล อะไรก็ตามที่ลูกได้ยิน อย่าไปบอกใครนะลูก เข้าใจไหม?"ลิซซี่เตือนยูล หลังจากนึกขึ้นได้ว่าเรื่องนี้จริงจังขนาดไหน “สุดท้ายแล้ว ถ้าเรื่องที่พ่อของลูกถูกวางยาเป็นเรื่องจริง แสดงว่าคนที่ทำแบบนั้นต้องเป็นคนใกล้ตัวมาก ๆ แน่! น่ากลัวจริง ๆ !”“ค่ะแม่ หนูเข้าใจ หนูจะไม่พูดเรื่องนี้ค่ะ หนูจะไม่พูดเรื่องนี้เด็ดขาด!”ยูลพยักหน้าอย่างว่าง่าย เธอพูดต่อว่า “หนูจะรอจนกว่าพี่เฟนด์ว่าง แล้วค่อยหาเวลาคุยกับเขาค่ะหนู อยากรู้จริง ๆ ว่าโลกข้างนอกเป็นยังไง! รู้สึกยังไงที่โตมากับโลกภายนอก? สำหรับคนที่เติบโตในโลกแบบนั้น แถมยังกล้าที่จะแข่งขันเพื่อเป็นทายาทของตระกูลว
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ