แต่อย่างชัดเจน มันไม่ได้แค่ดูเหมือนจะร้อน สิ่งนี้ได้รับการยืนยันเมื่อคริสโตเฟอร์เริ่มกรีดร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดในทันทีขณะที่เขาปล่อยกริชสั้นที่ร้อนจนลวกมือนั้น ทันทีที่เขาทำแบบนั้น กริชสั้นจึงบินกลับเข้าไปอยู่ในมือของเจอรัลด์ทันที “นี่คือ…นี่คือสิ่งประดิษฐ์วิเศษ?!” คริสโตเฟอร์ตะคอกออกมา ยังคงรู้สึกช็อกไม่หาย ไม่นานหลังจากนั้น สายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายขณะที่เขาพึมพำ “เช่นนั้นรูปวาดดวงอาทิตย์ก็ไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์วิเศษเพียงอย่างเดียวที่ตระกูลคลอฟอร์ดเป็นเจ้าของ…ช่างน่าประหลาดใจนัก…ถ้าฉันเอากริชสั้นนั้นมาได้ และเรียนรู้ที่จะควบคุมมันอย่างไร กำลังของฉันจะเพิ่มเป็นสองเท่าได้อย่างง่ายดายแน่! ฉันจะอยู่ยงคงกระพัน! เมื่อฉันได้มันมา ฉันจะสามารถแสดงทักษะและความสามารถพิเศษที่ดีเยี่ยมของฉันได้อย่างแน่นอน ในระหว่างการปฏิญาณน้ำศักดิ์สิทธิ์!” เมื่อเห็นว่าชายชราเริ่มพึมพำเหมือนคนบ้า เจอรัลด์จึงค่อย ๆ เริ่มก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว “สวรรค์เมตตาฉันอย่างแท้จริงในคราวนี้…ไม่เพียงแต่ฉันควบคุมกระจกลึกลับได้แล้ว แต่ฉันยังจะได้ทั้งเจอรัลด์ที่มีร่างกายพิเศษ และสิ่งประดิษฐ์วิเศษอันใหม่ในไม่ช้านี้อ
เจอรัลด์จดจ่ออยู่กับการค้นพบใหม่ของเขามาก จนเขาลงเอยด้วยการฝึกฝนมันอยู่หลายวัน เพื่อให้เชี่ยวชาญเทคนิคทั้งสี่ที่สร้างโดยร่างดำนั้น เมื่อเขาตระหนักได้ หนึ่งสัปดาห์ก็ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อปากริชสั้นออกไปอีกครั้ง ไม่นานก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นขณะที่หินขนาดใหญ่แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ขณะที่กริชบินร่อนอยู่ในอากาศ เจอรัลด์ก็ใช้จิตสั่งดอนเบรกเกอร์ให้กลับมาอยู่ในมือของเขา เมื่อมันมาอยู่ในมือของเขาแล้ว เจอรัลด์ก็คิดกับตัวเอง ‘ดอนเบรกเกอร์มีศักยภาพในการโจมตีมหาศาล…จากสิ่งที่ฉันบอกได้ มันอาจแข็งแกร่งพอ ๆ กับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งได้เลย! แม้ฉันอาจจะยังคงเป็นกึ่งปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ แต่เนื่องจากตอนนี้ฉันก็รู้แล้วว่าจะใช้กริชสั้นนี้อย่างเหมาะสมได้อย่างไร ฉันก็น่าจะสามารถต่อสู้ได้ถ้าฉันบังเอิญพบคริสโตเฟอร์อีกครั้ง!’ ตลอดสัปดาห์นั้น เจอรัลด์ก็เชี่ยวชาญอีกสามวิธีแล้วเช่นกัน แต่ เนื่องจากโดยรวมแล้วเขาไม่ชอบใช้ดาบยาว เขาจึงไม่ได้ใส่ใจในการฝึกฝนอีกสามกระบวนท่ามากนัก โดยไม่คำนึงถึง เขารู้ว่าเขาล่าช้าในการค้นหาโลงศพนิรันดร์นานมากเกินไปเล็กน้อยแล้วในตอนนี้ เช่นนั้นเขาจึงตัดสิน
หลังจากพูดไปแบบนั้น เจอรัลด์ก็กำลังจะหันหลังกลับและจากไป ทันใดนั้นเขาได้ยินหนึ่งในผู้หญิงพูดขึ้นมา “โอ๊ย! ขาฉัน!” เมื่อหันกลับไปมอง เขาก็เห็นว่าผู้หญิงที่ร้องเสียงเสียงแหลมขึ้นมาในเวลานี้กำลังจับข้อเท้าของเธออยู่ มันอาจได้รับบาดเจ็บตอนที่เธอพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองหลุดเป็นอิสระก่อนหน้านี้ “เป็นอะไรหรือเปล่า?” เจอรัลด์และผู้หญิงอีกคนถามในเวลาเดียวกัน ขณะที่พวกเขาทั้งคู่นั่งยอง ๆ โดยรู้สึกประหลาดใจไปชั่วขณะกับปฏิกิริยาที่คล้ายกันของพวกเขา จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ตอบกลับ “ข้อเท้าของฉันเจ็บมากเลย…ฉันไม่คิดว่าฉันจะเดินไปได้!” “หืมม…อืมฉันจะพยุงเธอไปแล้วกัน!” ผู้หญิงสวมแว่นตาที่ดูมีเสน่ห์กล่าว แม้เพื่อนของเธอช่วยเหลือ แต่ขาของหญิงสาวที่ได้รับบาดเจ็บก็เจ็บมากเกินกว่าที่เธอจะเดินไปได้ทีละหลายก้าว หลังจากเฝ้ามองพวกเธอหยุดพักสองสามครั้ง เจอรัลด์ก็พูดขึ้น “…นี่จะใช้เวลานานมากเกินไป…ให้ผมดูเถอะ!” “แน่นอน! แต่…มันจะไม่ดีกว่าเหรอถ้าคุณจะตรวจเช็คข้อเท้าของเธอในสถานที่ของเรา? ฉันเกรงว่าพวกอันธพาลเหล่านั้นจะย้อนกลับมา!” หญิงสาวที่สวมแว่นตอบกลับด้วยโทนเสียงอ่อนโยน “ได้” เจอรัลด์กล่
“ผู้ชายคนนี้ช่วยพวกเราไว้ คุณล็อคฮาร์ท!” กีย่ากล่าว ขณะที่เธอค่อย ๆ ลงมาจากหลังของเจอรัลด์ “ผมบอกคุณกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกผมแบบนั้น กีย่า…แค่เรียกผมวินน์ก็พอ…เรียกผมว่าคุณล็อคฮาร์ทมันทำให้รู้สึกแปลกมากนะ!” วินน์ตอบกลับ เธอเลือกที่จะไม่ตอบกลับ จาากนั้นก็หันไปมองเจอรัลด์ก่อนจะพูดขึ้น “…ยังไงซะ พวกเรายังคงไม่รู้ชื่อของคุณเลย ดังนั้น…คุณช่วยบอกพวกเราหน่อยได้ไหมคะ?” ด้วยเหตุผลแปลก ๆ บางอย่าง กีย่ารู้สึกใกล้ชิดกับคนผู้นี้อย่างมาก ตั้งแต่ตอนที่เธอพบเขาครั้งแรกแล้ว เธอไม่อาจบอกได้ว่าทำไมเหมือนกัน มันเกือบจะรู้สึกแปลกจนไม่น่าจะเป็นจริงได้ว่าเขาให้ความรู้สึกที่ใกล้ชิดกับเธอแค่ไหน นอกเหนือจากเขาแล้ว มันก็เป็นเวลานานมากที่สุดแล้วตั้งแต่ที่เธอรู้สึกแบบนี้ต่อผู้ชายคนไหน ๆ ถ้าเธอต้องใช้คำพูดแสดงความรู้สึกล่ะก็ มันก็รู้สึกค่อนข้างคล้ายกับการพบญาติที่หายสาบสูญไปนานแล้วอีกครั้ง “เธอพูดถูก พวกเรายังคงไม่รู้ชื่อของคุณเลย!” สาวแว่นกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ “ไม่จำเป็นหรอก ผมแค่ช่วยด้วยเรื่องเล็กน้อยเอง!” เจอรัลด์ตอบกลับ ขณะที่เขาลดปีกหมวกของเขาลงก่อนจะมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นบน เมื่อเห็
เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ชายผิวแทนก็เริ่มนำพวกเขาทุกคนเข้าไปในทะเลทราย หลังจากพวกเขาจากไปได้ค่อนข้างไกลแล้วเท่านั้น เมื่อเจอรัลด์เดินออกมาจากโรงแรม เขาไม่คาดคิดเลยจริง ๆ ว่าจะบังเอิญเจอกีย่าที่นี่ได้จากทั่วทุกแห่งหลังจากทั้งปีผ่านไป ยังไงซะ เธอได้เริ่มทำงานแล้วและเธอก็ยังดีขึ้นกว่าเดิมมากเช่นกัน ในขณะที่เจอรัลด์ถูกหยั่งเชิงให้เปิดเผยตัวตนของเขากับกีย่า แต่มันก็เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้ว และตอนนี้เขารู้แล้วว่าเธอยังคงไม่ได้ลืมเขาเลยจริง ๆ เมื่อตอนที่เขาได้ทำการทดสอบเธอ เขารู้ดีว่าเขาปฏิบัติต่อเธอได้แย่มากแค่ไหนในตอนนั้น และเมื่อรู้ว่าการที่พวกเขาจะได้คบกันนั้นจะไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว เจอรัลด์จึงตัดสินใจที่จะไม่ทำให้เธอเสียเวลาในการตัดใจเริ่มต้นใหม่อีกต่อไป โดยไม่คำนึงถึง เจอรัลด์สังเกตเห็นว่าวินน์ดีต่อกีย่ามากก่อนหน้านี้ แม้เจอรัลด์ไม่ได้ชอบวินน์เป็นพิเศษก็ตาม แต่เขาก็วางใจว่าวินน์เพียงต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กีย่าเท่านั้น มันคือเหตุผลที่ทำไมเจอรัลด์ถึงไม่ได้อยู่ต่อเพื่อรักษาข้อเท้าให้เธอในตอนนั้น อย่างไรซะ เขาก็เห็นได้ว่ามีคนที่จะดูแลเธอเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เขาส่ายหัวของเขา จากน
แม้ว่าการเดินทางผ่านทะเลทรายจะทั้งยาวนานและร้อน แต่นักวิจัยและนักท่องเที่ยวก็ทำได้ดีด้วยความช่วยเหลือของผู้เชี่ยวชาญแห่งทะเลทราย หลังจากสองวันของการเดินทางผ่านไป กลุ่มก็มาถึงจุดศูนย์กลางของทะทราย อย่างที่คาดไว้ จากจุดที่พวกเขาอยู่ในเวลานี้ ไม่มีเห็นแม้แต่คนเดียวภายในแผ่นดินที่เต็มไปด้วยผืนทรายเลย ขณะนั้นไม่นานเวลาพลบค่ำก็มาถึงดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะหยุดพักตรงที่กำบังซึ่งผุพังไปครึ่งหนึ่งแล้ว ขอบคุณ มันยังคงดีพอที่จะให้พวกเขาพักค้างคืนได้อยู่ “ฉันสงสัยว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นยังไงบ้าง…เธอคิดว่าเขามุ่งหน้ากลับไปที่เมืองหรือเปล่า…?” กีย่าพึมพำ ขณะที่เธอนั่งข้างกองไฟ โดยกำลังคิดถึงผู้ชายที่ช่วยเหลือเธอไว้ “ฉันก็สงสัย เขาดูไม่เหมือนว่าจะเป็นคนแบบนั้นนะ! วิธีที่เขาแสดงตัวเอง เขาทั้งเป็นผู้ใหญ่และเชื่อถือได้! จริง ๆ แล้ว เดี๋ยวนะ…ทำไมเธอถึงคอยแต่จะคิดถึงเขาอยู่ร่ำไปล่ะ? เธอไม่ได้พูดว่าเธอรักเจอรัลด์หรอกเหรอ…? อาจเป็นไปได้ไหมว่าเธอหมกมุ่นถึงเรื่องเขาเพราะเขาทั้งคู่ดูเหมือนกัน และทำให้เธอนึกถึงเจอรัลด์หรือเปล่า…?” เมเรดิธตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างไม่พอใจ วิธีที่เธอพูดนั้น มันเหมื
“เป็นเวลาหลังจากพลบค่ำเล็กน้อยในตอนนั้น…ก็เหมือนกับในตอนนี้! ดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไป และมันก็เริ่มมืดลงมากขึ้น…ขณะนั้นพวกเราบังเอิญพบแม่น้ำแห่งหนึ่ง และพ่อของผมก็เล่าให้ผมฟังว่าพวกเราจะตั้งแคมป์กันที่นั่น เมื่อทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าไปที่แม่น้ำเพื่อเก็บน้ำไว้สำหรับวันต่อไป…เมื่อเข้าไปใกล้แม่น้ำด้วยกัน ก็เป็นตอนนั้นเองที่ผมเห็นเธอ!” ขณะที่ทุกคนเบิกตากว้างจ้องมองไปที่ผู้เชี่ยวชาญแห่งทะเลทราย เขาก็เล่าต่อ “พี่เลี้ยงคาปรากำลังดื่มน้ำอยู่ริมแม่น้ำ และแม้ผมไม่สามารถเห็นหน้าเธอได้อย่างเหมาะสมภายใต้แสงแสงจันทร์ แต่ผมจำได้ชัดเจนว่าเธอมีลิ้นยาวมาก และผมของเธอก็ยาวและยุ่งหยิง” “เมื่อพวกเราหยุดชะงักลงระหว่างทาง หญิงชราก็เงยหน้าขึ้นและสบตากับพวกเรา เป็นเวลาแค่ชั่วครู่สั้น ๆ เท่านั้น แต่ตาทั้งคู่ของเธอเป็นสีเขียว! ขอบคุณ พ่อของผมทำให้ผมตื่นจากภวังค์ได้ทันเวลาพอดี ขณะที่เขาตะโกนขึ้น ‘อย่ามองเธอ บิลลี่! หันหลังกลับ เดี๋ยวนี้!’” “เมื่อกล่าวไปแบบนั้นแล้ว พ่อของผมก็หันหลังกลับในทันทีและคุกเข่าลงกับพื้นทราย ผมก็ทำแบบเดียวกัน จำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยบอกผมหากใครได้พบกับพี่เลี้
ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ทุกคนเริ่มมารวมตัวกันรอบ ๆ พวกผู้หญิงที่กำลังกรีดร้องขณะที่พวกเขาถาม “เกิดอะไรขึ้น?!” อย่างไรก็ดี คำตอบสำหรับคำถามนั้นชัดขึ้นในทันที เมื่อพวกเขามองไปยังทิศทางที่พวกผู้หญิงกรีดร้องกำลังเบิกตากว้างจ้องมอง ที่นอนอยู่บนเนินทรายคือร่างที่ตายแล้วสองศพ! ภายใต้แสงจันทร์ ศพเหล่านั้นดูเหมือนว่าพวกเขาถูกดูดเลือดจนแห้ง ด้วยผิวหนังของพวกเขาเกาะติดแนบอยู่กับลำตัวหลังจากของเหลวภายในทั้งหมดถูกดูดออกไปจนสิ้น “พวกนั้น…พวกนั้นคือมินนี่และฮวน!” บางคนร้องออกมาจากภายใน ขณะการค้นหาซึ่งจำเสื้อผ้าที่ศพสวมใส่อยู่ได้ “สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ยังไง…? เป็นเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเองนะ!” ศาตราจารย์เยลกล่าว แม้ศาตราจารย์จะมีประสบการณ์มากมายในสาขาของเขา แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเหตุการณ์พลิกผัน ณ ปัจจุบันช่างน่าเหลือเชื่อโดยสิ้นเชิง ภาพของร่างที่ตายสองศพนั้นอย่างเดียวก็ทำให้เขาขนหัวลุกแล้ว! “…มันเป็น…เป็นพี่เลี้ยงคาปรา…เธออยู่นี่!” ผู้เชี่ยวชาญแห่งทะเลทรายพูดตะกุกตะกักขึ้นด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะกลืนน้ำลายอึก เมื่อได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็เริ่มยิ่งตกใจกลัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้พวกเขาเกา