ทูตใหญ่ตะโกนออกไปด้วยความร้อนใจ เพื่อที่จะแจ้งข่าวสำคัญให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน ว่าเจวี๋ยเทียนยังใช้เวทอาคมปีศาจคงเพิ่มพลังอย่างบ้าคลั่งไม่แปลกใจเลยที่แววตาของเขาดูโหดเหี้ยมขึ้น ใบหน้าดูบูดเบี้ยว ถึงขั้นแสดงความเจ็บปวดออกมาเลยอีกด้วยเกรงว่านี่อาจจะเกินกว่าขีดจำกัดที่เขาจะสามารถแบกรับเอาไว้ได้แล้วนอกจากนี้จะเห็นได้ว่า เจวี๋ยเทียนยังถูกเจ้าตำหนักหยู่บังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังอีกด้วยเย่เทียนหยู่ได้ยินคำพูดของทูตใหญ่ แต่เขาก็ยังไม่มีการตอบสนองใด ๆ อยู่ดี เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบนิ่ง“เจ้าตำหนัดหยู่ รีบหยุดเขาเถอะ!”เยว่เหลียนหานเองก็สัมผัสได้เช่นกัน เธอกังวลจนแทบบ้า อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไป“ไม่ต้องรีบ!”“ปล่อยให้เขาดูดซับไปเรื่อย ๆ!”ท่าทีของเย่เทียนหยู่ยังคงสงบนิ่ง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบออกมาว่า “เพราะไม่อย่างนั้น เขาอาจจะไม่พอใจเอาได้”ทุกคนต่างรู้สึกหมดคำจะพูด!หมายความว่ายังไงที่บอกว่าเขาจะไม่พอใจ ปล่อยให้เขาเพิ่มพลังไปเรื่อย ๆ รู้รึเปล่าว่ากำลังพูดอะไรออกมา?หรือจะบอกว่า คุณมีความมั่นใจอย่างมากว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะได้โดยไม่มีวันแพ้!แต่
สีหน้าทูตใหญ่เปลี่ยนไปอย่างมาก “อาคมสูงสุดของเวทอาคมปีศาจ มารเทวะสามกระบวน! เป็นไปได้ยังไง เขาสามารถใช้มารเทวะสามกระบวนได้ยังไง!”เมื่อทุกคนได้ยินคำนี้ ต่างก็รู้สึกสั่นสะเทือนในใจขึ้นมาแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่ากระบวนท่านี้น่ากลัวมากแค่ไหน แต่เพียงแค่เห็นสีหน้าตกใจของทูตใหญ่แล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่ามันจะต้องน่ากลัวมากแน่นอนแล้วอีกอย่าง ไม่จำเป็นต้องรอให้ทูตใหญ่บอก แค่ดูแรงกดดันจากพลังที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความน่าสะพรึงกลัวได้แล้วต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเขาเป็นแค่ผู้ชมข้างสนามเท่านั้น จึงได้รับผลกระทบไม่มาก เจ้าตำหนักหยู่ต่างหากที่กำลังเผชิญหน้ากับมันตรง ๆ อยู่ ไม่รู้เลยว่าแรงกดดันที่เขากำลังเผชิญจะน่ากลัวเพียงใดเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ล้วนแล้วแต่เกินกว่าจินตนาการของพวกเขาทั้งสิ้นและในขณะเดียวกันนั้นเอง ในที่สุดเจวี๋ยเทียนก็เริ่มเปิดฉากการต่อสู้ด้วยกระบวนท่าที่น่ากลัวที่สุด พร้อมกับพูดด้วยความโกรธออกมาว่า “ดับสูญ สังหาร!”ทันทีที่เขาพูดจบ ฝ่ามือปีศาจขนาดใหญ่ที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังปีศาจก็พุ่งไปด้านหน้าราวกับต้องการจะฉีกพื้นที่ให้แยกออกจากกันเมื่อ
ตูม ตูม......เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง มวลพลังมหาศาลทั้งแสงและเงามืดแยกออกจากกันจนนับไม่ถ้วน ราวกับคลื่นยักษ์ที่โหมกระหน่ำท่ามกลางทะเลที่เกรี้ยวกราดกำลังอาละวาดอย่างบ้าคลั่งมวลพลังขนาดใหญ่แตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย และกระจัดกระจายออกไปจนนับไม่ถ้วน ลอยปลิวออกไปทั่วทุกสารทิศ จนทำให้เกิดรอยร้าวอันน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้นราวกับมันสามารถกลืนคนเข้าไปได้ทุกเมื่อ ซึ่งน่ากลัวอย่างมากผู้คนโดยรอบที่กำลังตั้งใจสังเกตการณ์อยู่มาตลอดทั้งวัน ต่างก็หน้าถอดสีไปตาม ๆ กัน“ถอย!”มู่หรงอินตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบพาคนที่อยู่รอบ ๆ ถอยออกไปอย่างรวดเร็วเยว่เหลียนหานและศิษย์สำนักดอกไม้คนอื่น ๆ ไม่ต้องรอให้มู่หรงอินบอก พวกเธอก็รีบถอยหลังออกไปกันก่อนแล้ว แม้เป็นแค่เศษของพลังปรานที่ไหลล้นออกมาก็ยังมีความน่ากลัวมากขนาดนี้ได้ทำให้พวกเขาสัมผัสถึงภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อชีวิตได้จริง ๆสีหน้าหลินเจวี๋ยเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจ ก่อนจะรีบพาศิษย์มือใหม่ทั้งสองถอยออกมา ในเวลานี้ เขาเริ่มเสียใจขึ้นมาแล้วที่พามือใหม่สองคนนี้มาด้วยแต่หยางผั่วจวินเพียงแค่โบกมือขวาก็พาทั้งสองออกไปได้ในทันที
ความแข็งแกร่งของลูกชายเธอ อันที่จริงมันเกินกว่าที่เธอคาดเอาไว้มากนี่น่ะเหรอ ระดับเทพยดาแดนดินแข็งแกร่งมากจริง ๆ!สองพี่น้องเยว่เหลียนหานจ้องมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่กลางลานประลอง แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึง และรู้สึกนับถือเขาอย่างมาก พวกเธอไม่เคยเห็นผู้ที่ทั้งสง่างาม และแข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อนแม้ว่าจะมีรูปลักษณ์และรูปร่างจะธรรมดาไปหน่อยแต่ว่า เขาก็เป็นคนที่โดดเด่น และมีเสน่ห์มากจริง ๆ!ราวกับเทพเซียนยังไงอย่างงั้น!ผู้ชายแบบนี้ จะไม่ให้พวกเธอรู้สึกนับถือ หรือรู้สึกชอบได้อย่างไรเดิมทีพวกเธอสองคนมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งมาก พวกเธอมักจะหลงตัวเอง และคิดว่าไม่มีผู้ชายคนไหนที่เหมาะสมกับพวกเธอมาโดยตลอด เพราะพวกเธอได้สาบานเอาไว้ตั้งแต่เด็กแล้วว่า จะอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป แม้จะต้องแต่งงาน พวกเธอก็จะต้องแต่งงานกับผู้ชายคนเดียวกันดังนั้นจนถึงทุกวันนี้ จึงยังไม่มีใครที่สามารถเข้าตาพวกเธอสองพี่น้องได้เลย แม้จะเป็นเจวี๋ยเทียน พวกเธอก็ไม่คิดยินยอมอยู่ดีแต่วันนี้ ผู้ชายคนนี้สามารถทำให้พวกเธอรู้สึกหวั่นไหวได้จริง ๆเยว่หลิงที่อยู่ข้าง ๆ เองก็มีสีหน้าชื่นชมและรู้สึกตกใจด้วยเช่นกันนี่ถึงจ
เจวี๋ยเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจและสิ้นหวัง นั่นก็เพราะพลังที่น่าทึ่งของเย่เทียนหยู่ทำให้เขากลัวได้จริง ๆแต่เขากลับยังคงมีความหวังอยู่บ้างเพราะในใจของเขา ยังมีไพ่ตายสุดท้ายอยู่ใบหนึ่ง แม้ว่าพลังของเจ้าตำหนักหยู่คนนี้จะน่ากลัว หรือแข็งแกร่งมากแค่ไหน สุดท้ายก็ยังไม่ใช่ระดับเทพยดาแดนดินเทพยดาแดนดิน นั่นต่างหากถึงจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงและสำนักเจวี๋ยฉิงของพวกเขา ก็มียอดฝีมือที่กำลังจะบรรลุสู่ระดับเทพยดาแดนดินอยู่หนึ่งคน ขอแค่มีบรรพจารย์เจวี๋ยฉิงอยู่ ทุกสิ่งก็ยังพอมีหวังที่จะสามารถพลิกกลับมาได้ส่วนเรื่องที่ว่าเย่เทียนหยู่จะอยู่ในระดับเทพยดาแดนดินหรือไม่นั้น ในตอนที่เขาเพิ่งจะร่วงลงถึงพื้นก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกันแต่นั่นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเพราะแม้แต่บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงเองก็เพิ่งจะสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับเทพยดาแดนดินได้ ทั้งยังนำพาแรงกดดันที่น่ากลัวมาให้เขาอีกต่างหาก ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะต่อต้านเลยด้วยซ้ำเย่เทียนหยู่เก่งมากก็จริง แต่ก็ยังไม่ได้เก่งถึงขั้นนั้นเพราะไม่เช่นนั้น เขาคงไม่มีโอกาสลงมือได้เลยด้วยซ้ำขณะที
ถึงอย่างไร ตอนนี้สิ่งที่เขาทำก็เท่ากับทรยศสำนักเจวี๋ยฉิงไปแล้ว! แต่เขาเพียงแค่ไม่เข้าใจว่าเย่เทียนหยู่กำลังทำอะไรอยู่ จึงได้แต่หาข้ออ้างลงมือไปเท่านั้น“ตู๋เปียนฝู!”“แกนี่มันช่างไร้ยางอายเสียจริงเลยนะ!”“รอก่อนเถอะ แกจะต้องเสียใจแน่!”สายตาที่เยือกเย็นของเจวี๋ยเทียนจ้องมองไปยังตู๋เปียนฝูอย่างแน่วแน่ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบกลับ ก็หันไปมองยังคนอื่น ๆ ก่อนจะหัวเราะและพูดเสียงดังขึ้นว่า “พวกแกทุกคน คิดจริง ๆ เหรอว่าแบบนี้เรียกว่าชนะแล้ว?”เมื่อคำนี้ถูกพูดออกมา โดยเฉพาะสายตาที่ดูมั่นใจของเจวี๋ยเทียน ซึ่งมันก็ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ หรือเจวี๋ยเทียนจะยังมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้อยู่จริง ๆแต่เจวี๋ยเทียนในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่ากลายเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ไปแล้ว แทบไม่มีแรงต่อสู้เหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย ส่วนเจวี๋ยซิน เมื่อกี้ก็เพิ่งจะถูกทำลายพลังไปแล้วเช่นกันแล้วสำนักเจวี๋ยฉิงจะยังมีไพ่ตายอะไรได้อีก?ระเบิดงั้นเหรอ หรือว่ายังมีอย่างอื่น?แต่พวกเขาเป็นถึงกลุ่มยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเชียวนะ ต่อให้ที่นี่จะถูกระเบิดจนพังทลายลง ก็เกรงว่าคงเอาชีวิตพวกเขาไม่ได้อยู่ดี มิหนำซ้ำยังอาจจะน
ตู๋เปียนฝูยิ่งรู้สึกสั่นสะท้านในใจ ความรู้สึกหวาดกลัวพลุ่งพล่านในใจจนไม่อาจอธิบายได้ ตกลงแล้วเขาคือใครกันแน่ เขาจึงพูดด้วยความโมโหออกไปว่า “ใครกัน รีบโผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!”“ฮ่า ๆ.......”เสียงหัวเราะที่ดูชั่วร้ายก็ดังขึ้น ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็มีเงาเงาหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าตู๋เปียนฝู ราวกับว่าเงานั้นก่อตัวขึ้นมาจากอากาศที่ว่างเปล่าหลังจากนั้นไม่นานก็ปรากฏชายชราสวมผ้าคลุมสีดำคนหนึ่ง ซึ่งใบหน้าของเขาก็ดูเหมือนว่าจะมีหมอกสีดำคอยปกคลุมเอาไว้อยู่ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นรูปร่างของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่ชายชราในชุดดำปรากฏตัวขึ้น พลังอันชั่วร้ายที่น่าสะพรึงกลัวก็พวยพุ่งออกมา ก่อนจะยื่นมือขวาออกไป และบีบเข้าไปที่ต้นคอของตู๋เปียนฝูเอาไว้แน่นน่าสมเพชตู๋เปียนฝูที่เอาแต่หลงตัวเองว่าตนอยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุด และคิดว่าตัวเองเก่งกาจมากแต่เมื่ออีกฝ่ายมาปรากฏตัวต่อหน้าจริง ก็กลับพบว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่สู้ได้หรือไม่ได้ แต่มันเป็นเพราะว่าร่างกายของเขาถูกกักขังอยู่ ซึ่งไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้เลยทำได้เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายบีบคอตัวเองเอาไว้เท่านั้น!ในเวลานี้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความร
หลังจากที่ตำหนิเจวี๋ยเทียนเสร็จ บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงก็ถึงจะหันไปหาเย่เทียนหยู่ พร้อมกับพูดออกไปว่า “เจ้าหนู คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าอายุยังน้อยอยู่แท้ ๆ แต่กลับมีพลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แต่น่าเสียดาย ที่วันนี้แกดันมาเจอกับฉันเสียก่อน ชะตากรรมของแกคงต้องจบลงที่นี่แล้วล่ะ”“พูดได้ไม่อายปากเลยจริง ๆ!”“คิดจะจัดการเจ้านาย งั้นก็ข้ามศพฉันไปก่อน!”ในขณะเดียวกันนั้นเอง หยางผั่วจวินก็ได้กระโจนออกมาอย่างกะทันหัน และตรงขึ้นไปยังลานประลองโดยตรง ก่อนจะเผชิญหน้ากับบรรพจารย์เจวี๋ยฉิงในทันทีไม่ว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน ก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายคุณชายได้ทั้งนั้นอันที่จริงคนตรงหน้าคนนี้น่ากลัวมากจริง ๆ เพราะอีกฝ่ายสามารถทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตราย แต่ยิ่งเป็นแบบนั้น เขาก็ยิ่งต้องเข้าไปรับมือก่อน แบบนี้ถึงจะทำให้คุณชายเข้าใจพลังของอีกฝ่ายได้ และพร้อมที่จะต่อสู้กับอีกฝ่ายจริง ๆเห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้หยางผั่วจวินรู้สึกตรึงเครียดอย่างมาก ถึงอย่างไร หากอิงตามวิธีการลงมือของเขาเมื่อครู่นี้แล้ว พลังของคนผู้นี้ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าตนมากจริง ๆเป็นอย่างที่คิด สีหน้าของบรรพจารย์เจวี๋ยฉิ
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป
“ช่างเถอะ เห็นแก่หน้าหว่านหรู ผมเองก็ไม่อยากจะเถียงกับคุณแล้วเหมือนกัน”เย่เทียนหยู่ส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และกำลังจะกดโทรออกแต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของโจวฉิงก็ดังขึ้น เธอก้มลงมองครู่หนึ่ง ก่อนที่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะรีบพูดออกไปว่า “มะ หม่าต้านโทรมาค่ะ”“โอ้ พอดีเลย จะได้ประหยัดค่าโทรศัพท์ด้วย!”เย่เทียนหยู่พูดด้วยท่าทีเรียบเฉย“......”โจวฉิงจึงรีบกดรับสายอย่างช่วยไม่ได้ และเพื่อให้เย่เทียนหยู่ได้ยินเนื้อหาบทสนทนา เธอจึงกดเปิดลำโพงทันทีที่รับสาย พร้อมกับพูดด้วยความสุภาพออกไปว่า “ค่ะ ประธานหม่า!”แต่หม่าต้านกลับไม่สุภาพเลยแม้แต่น้อย เขาส่งเสียงฮึดฮัดออกมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ประธานโจว คุณพิจารณาข้อเสนอที่เรามอบให้ไปถึงไหนแล้ว?”โจวฉิงเหลือบมองไปยังเย่เทียนหยู่ ก่อนจะพูดอย่างช่วยไม่ได้ออกไปว่า “ประธานหม่าคะ ข้อเรียกร้องของคุณค่อนข้างที่จะเข้มงวดเกินไป พวกเราไม่สามารถยอมรับได้จริง ๆ ค่ะ”“งั้นเหรอ หมายความว่าพวกคุณไม่ยินยอมสินะ?” หม่าต้านโกรธจัดโจวฉิงหันไปมองเย่เทียนหยู่อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร ในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา แต่ก็ย
เมื่อเห็นว่าโจวฉิงเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดสักเท่าไหร่ หลินหว่านหรูเองก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยออกมาว่า “โจวฉิง แค่เงินไม่กี่หมื่นล้าน สำหรับเทียนหยู่แล้ว มันแทบไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยด้วยซ้ำ!”“เอ่อ......”โจวฉิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย ที่เธอพูดออกมาว่าหลายหมื่นล้านนั้น เดิมทีก็เป็นคำพูดที่เกินจริงอยู่แล้ว แน่นอน เกี่ยวกับการสร้างโรงงาน รวมถึงการซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ เงินที่ต้องเตรียมเอาไว้ให้กับค่าใช้จ่ายจำนวนหมื่นล้านมันจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากเมื่อหลินหว่านหรูเห็นว่าโจวฉิงยังไม่ค่อยเชื่อ เธอจึงหยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะเปิดข้อความให้ดู พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบออกไปว่า “ไม่งั้น คุณก็ลองดูสิ่งนี้ก่อนสิ”โจวฉิงอึ้งไปชั่วขณะ เธอพยายามลองมองอย่างละเอียด ก่อนที่ต่อมาสีหน้าจะเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจ และถามออกไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อขึ้นว่า “ห้าแสนล้านเหรอคะ?” ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยเห็นจำนวนเงินมหาศาลจนน่าตกใจมากขนาดนี้มาก่อน“นี่ เขาเป็นคนให้คุณเหรอคะ?”“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ พอเขาเห็นว่าฉันอยากจะลงทุนกับอุตสาหกรร
โจวฉิงรู้สึกสับสนนิดหน่อย ทำไมจู่ ๆ ถึงได้มาพูดเรื่องการร่วมมือได้ หรือว่าอีกฝ่ายจะสามารถแก้ปัญหาได้จริง ๆ เพียงแต่รอดูว่าตนจะสามารถให้ผลประโยชน์อะไรได้บ้างก็เท่านั้นใช่ จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน!เธอจึงรีบพูดออกไปว่า “คุณเย่คะ แล้วคุณคิดว่าเราควรจะร่วมมือกันในรูปแบบไหนถึงจะดีคะ?”“ผมว่าคุณเป็นคนเสนอจะดีกว่านะครับ” เย่เทียนหยู่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบโจวฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงขีดจำกัดที่พ่อเธอมี เธอจึงพูดออกไปว่า “หากเป็นไปได้ พวกเราก็หวังว่าจะได้รับเงินลงทุนประมาณสองพันห้าร้อยล้านค่ะ จากนั้นหุ้นให้พวกคุณถือหุ้นหกสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ว่า การบริหารและการดำเนินงานต่าง ๆ ให้อยู่ในความรับผิดชอบของพวกเราค่ะ”ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างพิเศษเช่นนี้ อันที่จริงเธอเองก็ไม่กล้าที่จะหวังอะไรมากเหมือนกัน“สองพันห้าร้อนล้านมันน้อยเกินไป ทำให้น้ำกระเซ็นยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”“งั้นเอาอย่างนี้นะ พวกเราจะมอบเงินลงทุนให้คุณหนึ่งหมื่นล้าน แลกกับหุ้นแปดสิบเปอร์เซ็นต์! และต้องให้หลินหว่านหรูเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการบริหารด้วย คุณคิดว่าแบบนี้เป็นไงบ้าง?”หนึ่งหมื่นล้านงั้นเหรอ?โจวฉิงรู้สึกตกใจ นี
โจวฉิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย นี่หลินหว่านหรูกำลังจะไปถามใครกันอย่างไรก็ตาม เธอเองก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก ทำได้เพียงรีบเดินตามไปเท่านั้น แม้เรื่องนี้จะเร่งด่วนมากก็ตาม แถมอีกฝ่ายยังกำหนดเวลาให้ถึงแค่ภายในวันนี้อีกต่างหาก ตำแหน่งที่เย่เทียนหยู่ทานข้าวก็อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลมากนัก ใช้เวลาเดินเพียงสามนาทีเท่านั้น ไม่นานทั้งสองก็เดินมาถึงด้านหน้าของห้องอาหารสุดหรูกันแล้วเห็นได้ชัดว่าราคาจะต้องแพงหูฉีกแน่นอน คนธรรมดาไม่มีทางมาทานข้าวในที่แบบนี้ได้ บรรยากาศด้านในเองก็ดีมากเช่นกัน ทั้งสะอาดเรียบร้อยทั้งสะดวกสบายตามห้องอาหารส่วนตัวที่เย่เทียนหยู่บอกเอาไว้ หลินหว่านหรูจึงได้เดินเข้าไปในทันทีโจวฉิงเองก็เดินตามหลังไปติด ๆ ทันทีที่เดินเข้าไป เธอก็เห็นชายหนุ่มอายุราว ๆ ยี่สิบกว่า ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ด้านในรูปลักษณ์ของเขานั้น ทั้งหล่อและมีเสน่ห์อย่างมาก รูปร่างเองก็ได้มาตรฐาน แค่มองแวบแรก ก็รู้ได้เลยว่าเขาจะต้องเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าสาว ๆ อย่างแน่นอนเขาคือใครกัน อย่าบอกนะว่าเขาคือแฟนของหลินหว่านหรู หลินหว่านหรูช่างตาดีเสียจริง แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถมากแค่ไหน คงไม่ได้เป็นแค่ผู้ชาย
และการที่มู่หรงอินทำดีกับตนแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเทียนหยู่ รักรังนกก็ต้องรักตัวนกด้วยเมื่อย้อนกลับมาดูตัวเอง ทำไมตนถึงไม่มีแม่แบบนี้บ้างกันนะพูดถึงความแตกต่าง ความแตกต่างระหว่างเธอกับเทียนหยู่ในตอนนี้มันก็คือความรู้สึกแตกต่างที่แม่ของเธอเคยมองเธอกับเย่เทียนหยู่มาก่อน แต่คุณป้ากลับไม่เคยดูถูกตัวเธอเลยสักครั้ง กระทั่งอาจจะดูแลเอาใจใส่เธอมากกว่าเสียด้วยซ้ำเมื่อนึกถึงแม่ของตัวเอง ไม่รู้เลยว่าช่วงนี้เธอจะเป็นยังไงบ้าง อย่างจะโทรหาอยู่ลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังคงอดทนเอาไว้และต่อให้เธอจะไม่โทร แม่ของเธอก็ไม่คิดจะโทรหาเธออยู่ดีช่างเถอะ ทำไมจะต้องคิดมากขนาดนั้นด้วย อย่างน้อยก็ยังมีเทียนหยู่ที่ดีกับเธอ เมื่อนึกถึงเย่เทียนหยู่ ริมฝีปากหลินหว่านหรูก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อเวลาล่วงเลยจนมาถึงเที่ยงวัน หลินหว่านหรูก็ได้รับสายของเย่เทียนหยู่ ไม่นานเธอก็รีบลงจากตึกเพื่อออกไปข้างนอกทันทีที่เธอเพิ่งจะเดินออกมา เธอก็เห็นโจวฉิงที่ดำลังเดินอย่างเร่งรีบอยู่ด้านนอกเข้าในทันทีโจวชิงสวมใส่ชุดเดรส ร่างกายของเธอเพรียวบาง ขาเรียวยาว แต่สีหน้าของเธอกลับดูอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ใ
หลังจากที่คำนั้นถูกพูดออกมา ทุกคนต่างก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที หนึ่งในพนักงานถึงกับอดไม่ได้จนต้องร้องอุทานออกมาเสียงดัง“ประธานเย่คะ พวกเรารู้ดีค่ะ ว่าประธานหลินมีข้อขัดแย้งกับคุณ แต่ว่าประธานหลินเป็นคนดีมากเลยนะคะ เธอคือความหวังของบริษัท อย่างไล่เธอออกเลยได้ไหมคะ?”“ใช่ค่ะ ประธานเย่คะ ขอร้องล่ะค่ะ ให้ประธานหลินได้ทำงานที่นี่ต่อด้วยเถอะนะคะ”“ใช่แล้วครับ ประธานเย่ พวกเราต้องการประธานหลินครับ!”“ช่วยให้ประธานหลินได้ทำงานที่นี่ต่อด้วยเถอะนะครับ!”“......”เมื่อมีผู้นำ ก็ย่อมมีผู้ตาม ไม่นาน ทุกคนต่างก็พากันพูดขอร้องด้วยความตื่นเต้นเพื่อให้หลินหว่านหรูได้ทำงานที่บริษัทต่อ จะเห็นได้ว่า ในสายตาของพวกเขา หลินหว่านหรูทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมากจริง ๆฉากแบบนี้ อย่าว่าแต่เย่ซานที่ได้รู้เรื่องอะไรยังรู้สึกอึ้งเลย แม้แต่หลินหว่านหรูเองก็รู้สึกสับสนไปด้วยเช่นกันเธอคิดไม่ถึงเลยว่า นี่เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่วัน แต่ทุกคนก็กลับให้การสนับสนุนเธอมากถึงขนาดนี้เย่ซานรู้สึกตกใจ ในเวลานี้เขาเองก็เพิ่งจะเข้าใจ ว่าหลินหว่านหรูยอดเยี่ยมกว่าที่ตนคิดเอาไว้มาก การที่ท่านประธานพูดแบบนั้น เกรงว่าไม่ใช