“ปู่รู้ดี ว่าปู่ทำผิดต่อพวกหลานเอาไว้!”“อย่าพูดแบบนั้นเลย ผมไม่มีปู่ ตั้งแต่วันที่พ่อผมจากไป ตั้งแต่ที่พวกเราสองแม่ลูกถูกไล่ออกจากบ้านวันนั้น ผมก็ไม่มีปู่อีกแล้ว”เย่เทียนหยู่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“หลานยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ในตอนนั้นดี หากว่าปู่ไม่ทำแบบนั้น ตระกูลเย่ก็จะ......”“พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เหตุการณ์ในตอนนั้นผมเข้าใจทุกอย่างดี เพราะผมเองก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นทั้งหมดแล้ว” เย่เทียนหยู่นึกถึงสิ่งที่แม่ของเขาพูดในวันนั้น“หลานรู้แล้วเหรอ ใครบอกหลานกัน?” ผู้อาวุโสเย่มีอาการตกใจเล็กน้อย“เรื่องนี้ไม่ต้องให้คุณมายุ่งหรอก ยังมีอะไรอีกไหม ตอนนี้ผมกำลังยุ่งอยู่” เย่เทียนหยู่พูดในเชิงไล่แขกอย่างตรงไปตรงมา“ช่างเถอะ หากหลานไม่ยอมรับปู่ นั่นก็ถูกต้องแล้วล่ะ นี่เดิมทีก็เป็นเหมือนบทลงโทษของปู่”ผู้อาวุโสเย่ถอนหายใจ ก่อนที่จะหันหลังเดินจากไปแม้จะเห็นเพียงเงาที่เดินโซเซ แต่กลับมีความรู้สึกเศร้าสร้อยอย่างอธิบายไม่ได้ปนอยู่หลังจากมองตามแผ่นหลังของผู้อาวุโสเย่ที่ค่อย ๆ ลับตาไป เย่เทียนหยูก็กลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ในคอ“บางที เขาอา
“คุณหนู คุณชายเย่!”ในตอนนั้นเอง ก็มีคนรับใช้รีบเดินเข้ามา แล้วพูดขึ้นว่า “ก่อนที่คุณท่านเย่จะจากไป ได้ฝากกล่องใบนี้เอาไว้ให้ บอกว่าให้มอบให้คุณชายเย่”เย่เทียนหยู่รู้สึกตกใจเล็กน้อย เขาคิดจะทำอะไรกันแน่ ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปรับ และเปิดดูด้านใน ภายในนั้นมีโสมอยู่ต้นหนึ่งดูจากลักษณะแล้ว แม้ว่าโสมต้นนี้จะไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น แต่อายุของมันก็ค่อนข้างนานพอสมควร เกรงว่าคงมีอายุราว ๆ พันปีได้“โสมพันปี”แม่ตระกูลหลินเดินเข้ามา และเห็นเข้าพอดี เธอจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บใจจนต้องพูดออกมา ก่อนหน้านี้เดิมทีถูกมอบให้พวกเขาไปแล้ว แต่เขากลับหน้าไม่อายที่จะเอากลับคืนมาเสียอย่างนั้นตอนนี้กลับมอบมันให้เย่เทียนหยู่ ไม่มอบให้เธอ นี่มันมากเกินไปแล้วนะ นี่เขาลืมเหตุผลที่มาไปแล้วเหรอ เขามาเพื่อส่งพ่อสามีของเธอไม่ใช่รึไงพอคิดแบบนั้น ของก็ควรที่จะเป็นของตระกูลหลินสิ!แต่เธอก็ทำได้แค่คิดอยู่ในใจ กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมามากนักในเมื่อไม่อาจให้ความหวังกับเย่เทียนหยู่ได้อีกต่อไป หลังจากที่ทิ้งโสมพันปีเอาไว้ให้ ผู้อาวุโสเย่จึงเตรียมตัวกลับไปที่หลงตู แต่ก่อนที่เขาจะกลับ เขาก็ได้มีโอกาสแวะไปเยี่ยมสหายเก
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องเตรียมตัวสำหรับการประชุมของสำนักศักดิ์สิทธิ์ครั้งต่อไป และคิดหาวิธีที่จะนั่งในตำแหน่งผู้นำสำนักศักดิ์สิทธิ์ เพื่อที่จะทำให้เขาสามารถควบคุมห้าสำนักใหญ่ได้เย่เทียนหยู่เพิ่งจะจากไปได้ไม่นาน ทางด้านของแม่ตระกูลหลินเองก็ได้เรียกรวมตัวคนมาไม่น้อย รวมถึงพ่อตระกูลหลินเองก็เข้าร่วมกับเขาด้วย ไหนจะยังมีบุคคลสำคัญอย่างปู่รองอีกเมื่อเห็นคนเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าอย่างกะทันหัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องพูดหลินหว่านหรูก็พอจะเดาออกถึงความเป็นไปได้เพราะขนาดตอนที่คุณปู่ยังไม่ทันจะถูกฝัง แม่ตระกูลหลินก็ห้ามใจไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้อยู่หลายต่อหลายครั้ง เพียงแต่เธอยังรู้สึกเสียใจอยู่ ทั้งยังมีเรื่องอีกมากมายรอให้เธอจัดการ เธอจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนักแต่คิดไม่ถึงเลยว่า แม่ของเธอจะรีบร้อนขนาดนี้ นี่ตนยังเป็นลูกสาวของเธออยู่รึเปล่าแถมนี่ยังเป็นการเรียกคนนอกมาอีกต่างหาก แม้ว่าปู่รองจะไม่ถือว่าเป็นคนนอก แต่เมื่อเทียบกับลูกสาวของตัวเองแล้ว ก็ถือว่าเป็นคนนอกไม่ใช่รึไง“หว่านหรู งานศพของคุณปู่ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ตอนนี้ พวกเราก็ถึงเวลาที่จะต้องพิจารณาเรื่องหุ้นของบริษัทอย่างจริ
แม่ตระกูลหลินที่ได้ยินดังนั้น ก็ตื่นเต้นสุดขีด ก่อนที่จะรีบพูดขึ้นว่า “นี่แกเป็นคนพูดเอง พวกเราไม่ได้บีบบังคับแกนะ! อีกอย่าง ในเมื่อแกพูดออกมาแล้ว แกก็ห้ามกลับคำเด็ดขาด!”“ทนายหู คุณรีบมานี่หน่อย!”หลังจากที่เสียงเรียกของเธอจบลง ก็มีคนเดินออกมาจากด้านหลังของฝูงชน ทุกคนต่างก็สวมชุดสูท และถือเอกสารเอาไว้ในมือ คนที่นำหน้าคือทนายหู ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมทนายที่บริษัทจ้างมาเป็นทนายความส่วนตัวของบริษัท“พอดีเลย เอกสารที่เกี่ยวกับการโอนหุ้นของบริษัททั้งหมด พวกเราก็ได้ร่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอแค่แกเซ็นชื่อเท่านั้น” แม่ตระกูลหลินรีบพูดขึ้นมาทันที“......”หลินหว่านหรูรู้สึกตกตะลึง เธอเพิ่งจะรู้สึกรับไม่ได้กับการเข้าใจผิดและการดูถูกของพวกเขาเมื่อกี้ ที่พวกเขามองว่าเธอเป็นใคร ถึงกล้าพูดจาแบบนั้นออกมากลับคิดไม่ถึงเลยว่า แม่ตระกูลหลินจะเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แม้กระทั่งทนายความและสัญญาก็เตรียมพร้อมเอาไว้แล้วเช่นกัน“หว่านหรู แกแสดงสีหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไง ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะตอบตกลงก็เปลี่ยนใจแล้วหรอกนะ?” แม่ตระกูลหลินที่เห็นว่าหลินหว่านหรูไม่พูดไม่จา จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป“หว่านห
“ฉันไม่ต้องการเองงั้นเหรอ?”“ใช่ ใช่แล้ว!”“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ต้องการหุ้นของหลินซื่อกรุ๊ป?” หลินหว่านหรูถามออกไป“เอ่อคือ ยังไงซะ ความหมายแกมันสื่อว่าไม่ต้องการก็พอแล้วนี่!” แม่ตระกูลหลินพูดออกมาหน้าด้าน ๆ เพราะเรื่องนี้สำคัญมากเพราะไม่เช่นนั้น สิ่งที่พวกเขากำลังจะได้มาในตอนนี้ อาจจะถูกส่งคืนในวินาทีถัดไปก็ได้ อาจถึงขั้นทำให้หว่านหรูเรียกคืนหุ้นทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ“พอที ฉันขี้เกียจจะมาต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว!”“แม่วางใจเถอะค่ะ ทางด้านของเทียนหยู่ หนูจะพูดเอง รับรองได้ว่าเขาจะไม่มาทำให้พวกคุณลำบากใจแน่นอน” หลินหว่านหรูกล่าวแม่ตระกูลหลินที่ได้ยินแบบนั้น สีหน้าก็ดูมีความสุขขึ้นมาทันควัน “ได้ แกเป็นคนพูดเองนะ ถ้าหากเย่เทียนหยู่แอบเล่นอะไรตุกติกล่ะก็ แกต้องเป็นคนรับผิดชอบ”“แม่วางใจเถอะค่ะ เทียนหยู่ไม่ใช่คนแบบนั้น” หลินหว่านหรูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ใช่ ๆ พวกเราแค่มีความกังวลนิดหน่อยก็เท่านั้น งั้น ในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ก็รีบเซ็นชื่อเถอะ จะได้ส่งมอบหุ้นกันสักที” แม่ตระกูลหลินกล่าวอย่างเร่งรีบหลินหว่านหรูไม่พูดอะไร ก่อนจะหยิบสัญญามาอ่านคร่าว ๆ แล้วเซ็นชื่อไปอย่างรวดเร
ทันทีที่เย่เทียนหยู่มาถึงร้านอาหาร เขาก็ได้ยินเสียงเรียกอันเสียงหวานอันแสนเป็นมิตร: “แพทย์เซียนเย่!”เมื่อได้ยินเสียง เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันศีรษะไปมองดูหญิงสาวสวยในชุดกระโปรงยาวสีดำคนหนึ่งใบหน้าของเธองดงามสะคราญโฉมและมีเครื่องสำอางปะอยู่เพียงเล็กน้อย ทำให้เธอดูมีชีวิตชีวากับเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนต้องหลงใหล ดวงตาของเธอดำขลับ รูปร่างเพรียวบางน่าดึงดูด กับเรียวขายาวที่ผิวพรรณขาวละออ พร่างพราวและทรงเสน่ห์เป็นอย่างมากครั้งสุดท้ายตอนอยู่ที่โรงพยาบาลเขาไม่ทันได้สังเกต ไม่ยักนึกเลยว่า สาวน้อยคนนี้มีเสน่ห์ขนาดไหน เห็นที่คงมีชายหนุ่มนับไม่ถ้วนที่พากันหมายปองเธอหวังเมิ่งเฟยเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเย่เทียนหยู่อย่างรวดเร็ว ตัวเธอที่ถูกเย่เทียนหยู่จับจ้องใบหน้าก็เริ่มแดงระเรื่อ ก่อนที่จะเอ่ยปากเสียงแผ่ว: “แพทย์เซียนเย่ มองอะไรอยู่คะ”“ก็มองคุณไง จู่ ๆ ก็ถูกความสวยคุณเข้าตาจนผมเหม่อไปเลยละ” เย่เทียนหยู่ไม่ได้หาข้อแก้ตัว เขาตอบไปตามความจริง“แพทย์เซียนเย่ล้อเล่นอีกแล้ว”หัวใจของหวังเมิ่งเฟยเต้นระรัว เธอทั้งมีความสุขและตื่นเต้น แต่ก็รู้สึกเขินอายเช่นกัน นับแต่คราวก่อน ไม่รู้ว่าทำไมเงาร่างของอีกฝ่ายถ
เย่เทียนหยู่ยิ้มและพูดว่า: “อันที่จริง เหมือนผมจะยังพอคับคล้ายคับคลา ถ้าผมจำไม่ผิด คุณยังให้ถังหูลู่ผมไม้หนึ่งด้วย”ความจริงคือเขานึกออก แต่ไม่ได้ชัดเจนมากนัก หรือก็คือเขาหนึ่งออกแค่เรื่องเดียว ถึงตัวเขาจะมีความสามารถต่างไปจากคนธรรมดา แต่ความทรงจำหลักก็เริ่มเมื่อเขาอายุสามขวบ ก่อนอายุสามขวบล้วนเป็นภาพทรงจำแสนเลือนลาง“ใช่ๆ เด็กคนนี้ความจำดีจริงๆ”เหล่าหวังมีความสุขมากและพูดว่า: “แต่คราวนี้ ปู่รู้สึกขอบคุณที่ช่วยรักษาปู่จริง ๆ ไม่อย่างนั้น เกรงว่าปู่คงได้ลงไปเจอหน้ากับเจ้าแห่งยมโลกนานแล้ว”ยิ่งกว่านั้น เขาเองก็รู้เรื่องการจากไปของปู่ตระกูลหลิน ว่ากันว่า ตอนนั้นโรงพยาบาลไม่กล้าทำการผ่าตัดเลยด้วยซ้ำ เขาก็เลยทำได้แค่นอนรอความตาย“คุณปู่หวังสุภาพเกินไปแล้วครับ ตอนนั้นผมก็ต้องขอบคุณที่คุณปู่ช่วยผมไว้เหมือนกัน”หวังเมิ่งเฟยมีความสุขมากกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าปู่ของเธอกับเย่เทียนหยู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันขนาดนี้ เธอรินไวน์ให้พวกเขาทั้งสองคน ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณปู่ ไม่เห็นปู่ยิ้มมีความสุขแบบนี้มานานแล้วนะคะ”“พี่เย่ ไม่นึกเลยว่าปู่จะชอบพี่มากขนาดนี้ วันนี้ลำบากพี่แล้ว อยู่ดื่มเป็น
เมื่อหวังซูเห็นดังนั้น เขาก็หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาทันทีและพูดด้วยความเคารพ: “แพทย์เซียนเย่ ผมต้องขอโทษด้วยครับ ที่คราวก่อนผมทำให้คุณขุ่นเคืองเพราะความรู้น้อยของผมเอง ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ”หวังอีฟานรีบทำตามและขอโทษเขาเช่นกันแม้เย่เทียนหยู่จะบอกว่าเขาไม่ถือสา แต่แน่นอนว่าเขาไม่ค่อยพอใจทั้งคู่เท่าไหร่นัก เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เรามาลืมเรื่องในอดีตกันเถอะ ผมหวังแค่ว่าต่อไปพวกคุณจะไม่ข่มเหงคนอื่นอีก”“ไม่แล้วครับ ไม่ทำเด็ดขาดเลย!”พวกเขาทั้งสองรีบสัญญา“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว เรื่องนี้ผ่านไปแล้วละ” เมื่อเย่เทียนหยู่พูดจบ เขาก็หันกลับมาหยิบแก้วไวน์และชูแก้วขึ้นให้เหล่าหวัง: “คุณปู่หวัง ผมขอดื่มแก้วนี้เป็นการอวยพรให้คุณ และเป็นการขอบคุณที่เมื่อก่อนคุณปู่เคยช่วยเราไว้”เมื่อเหล่าหวังได้ยินดังนั้น เขาก็รีบยกถ้วยขึ้นและพูดอย่างช่วยไม่ได้: “ทำไมคุณถึงพูดเรื่องนั้นอีกแล้ว ถ้าจะต้องพูดขอบคุณละก็ ปู่ต่างหากที่ต้องขอบคุณ”“แต่พูดถึงเรื่องในตอนนั้นแล้ว อันที่จริงมันยังมีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่อีก”“เรื่องราวที่ซ่อนอยู่เหรอครับ”“ใช่!”เหล่าหวังมองไปที่กลุ่มคนแล้วพูดเหล่าหวัง: “ทุกคนถ้าไม่มีธุระอะไรแ
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป