เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลินหว่านหรูเต็มไปด้วยความเสียใจ น้ำตาคลอเบ้าพูดว่า “ใช่ เข้าไปผ่าตัดแล้ว!”เย่เทียนหยู่ได้ยินดังนั้น จึงขมวดคิ้ว พูดว่า “นี่ ฉันบอกให้รอฉัน ทำไมถึงรอไม่ได้ เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง?”“ฉัน...”หลินหว่านหรูอ้าปาก นึกถึงคำพูดของแม่เมื่อครู่ ที่สงสัยว่าเขาจะฆ่าคุณปู่ เธอก็อดร้องไห้ไม่ได้คุณแม่ตระกูลหลินเห็นแบบนั้น โกรธมากเด็กคนนี้ ตอนนี้เป็นเวลาไหนแล้ว! เธอยังทำเป็นน่าสงสาร ยิ่งทำให้โกรธเข้าไปอีก เธออยากให้ฉันตายใช่ไหมเย่เทียนหยู่แสดงความสงสาร รีบถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เป็นยังไง โรงพยาบาลบังคับให้ทำแบบนี้ใช่ไหม?”“ไม่ใช่!”หลินหว่านหรูส่ายหัว“แล้วเป็นยังไง?” เย่เทียนหยู่อดไม่ได้ที่จะถาม ไม่เชื่อฉันเหรอ ผ่านเรื่องราวมากมายขนาดนี้ ยังไม่เชื่อฉันอีกเหรอ“หมอบอกว่าถ้าไม่ผ่าตัดทันที พ่อจะตาย หว่านหรูเป็นห่วง จึงแนะนำให้ผ่าตัดก่อน พวกเราคิดว่าเธอพูดถูก จึงต้องสนับสนุนเธอ”คุณแม่ตระกูลหลินรีบพูดก่อนตอนนี้เธอเพิ่งทำให้เย่เทียนหยู่โกรธ หว่านหรูคงไม่มาขัดเธอหรอก ถ้าตอนนี้มาขัด ก็แสดงว่าหว่านหรูไม่รักเธอ อยากให้เธอตายจริงๆถ้าเป็นแบบนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รับผิดชอบ
คุณแม่ตระกูลหลินเห็นว่าหลินหว่านหรูไม่ได้พูดอะไรออกมา จึงโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยส่วนคำพูดของเย่เทียนหยู่นั้น เธอก็ไม่เชื่อสักคำ ถึงแม้ว่าเย่เทียนหยู่จะมีภูมิหลังที่น่าทึ่ง แต่การที่เธอไปด่าเขาว่าเป็นพวกหลอกลวงและเป็นคนโกหกนั้น ก็ไม่ผิดที่เขาพูดโกหกเรื่องไร้สาระแบบนั้นออกมาได้ ก็เพราะลูกสาวของเธอเชื่อเขาคนเดียว เขาคงคิดว่า ถ้าการผ่าตัดสำเร็จ ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเขา แต่ถ้าล้มเหลว มีเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ต้องยอมรับว่า เย่เทียนหยู่นั้นฉลาดแกมโกงมาก แต่เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญแล้ว เพียงแค่ตระกูลและฐานะของเขาก็สำคัญน้อยกว่าการที่เธอจะได้เป็นคุณนายชั้นสูงแรกๆ เขาไม่ได้สังเกต แต่ตอนนี้เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของหลินหว่านหรู จึงหันไปมองคุณแม่ตระกูลหลิน คุณแม่ตระกูลหลินจึงได้แต่ตอบกลับไปด้วยท่าทางที่ดูอึกอักและรู้สึกเขินอายเย่เทียนหยู่รู้สึกว่าอาจเป็นเพราะคุณแม่ตระกูลหลินและพวกเขาขอให้รีบนำเข้าห้องผ่าตัดเวลาผ่านไปทีละนิดทีละหน่อย ถึงแม้ว่าเย่เทียนหยู่จะรู้สึกไม่สบายใจ แต่เขาก็ไม่ได้ไปไหน นั่งรออยู่ที่นั่นและเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปช่วยคุณปู่ได้ตลอดเวลาถ้าไม่ใช่เพราะกำลังผ่าตัดอยู
ไม่รู้ทำไม เขานึกถึงคุณปู่เย่ คุณปู่แท้ๆ ของเขา ตอนเด็กๆ คุณปู่ก็รักเขามาก ใช้เวลาอยู่กับเขาทุกวัน ถึงแม้ว่าจะยุ่งมากก็ตามเพราะตอนนั้นเขายังไม่เกษียณ มีเรื่องให้ทำมากมายผ่านไปเวลานาน เย่เทียนหยู่จึงได้สติ เห็นหหลินหว่านหรูเสียใจมาก รู้สึกสงสารมาก แต่เขาช่วยอะไรไม่ได้จริงๆคุณแม่ตระกูลหลินได้สติ จึงตกใจมาก รีบจับหัวหน้าหยาง ตะโกนว่า “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ คุณบอกว่าผ่าตัดแล้วจะหายไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยก็รอดชีวิตใช่ไหม?”หัวหน้าหยางขมวดคิ้ว ส่ายหัว พูดว่า “คุณนายหลิน กรุณาปล่อยมือ การผ่าตัดมีความเสี่ยงเสมอ ยิ่งคุณปู่ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มีน้อยอยู่แล้ว”“น้อยแล้วทำไมยังให้ผ่าตัด ยังบังคับเราอีก” คุณแม่ตระกูลหลินโกรธมาก รู้แบบนี้ ก็ควรจะรอเย่เทียนหยู่ ถึงแม้ว่าเย่เทียนหยู่จะหลอกลวง แต่ถ้าสำเร็จล่ะ"ผมไม่ได้บังคับพวกคุณ ผมแค่บอกว่าถ้าไม่ผ่าตัดก็จะตาย การตัดสินใจอยู่ที่ตัวคุณเอง ลายเซ็นนี้ก็คุณเซ็นเองด้วย ถ้าคุณยังจะทำเรื่องวุ่นวายแบบนี้ต่อไป ผมจะแจ้งความแล้ว" คุณหมอหยางพูดด้วยความโมโห เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทที่ดีที่สุดของโรงพยาบาลแม้แต่เขาก็ยังทำอะไรไม่ได้ เปลี่ยนใครก็
เย่เทียนหยู่ชะงักไปเล็กน้อย มองไปที่คุณปู่หลินที่เสียชีวิตไปแล้ว แล้วตอบว่า “ได้ ตอนนี้เขาอยู่โรงพยาบาลไหน ยังทนได้อีกนานแค่ไหน?”“ตามที่แพทย์บอก ยังทนได้อีกไม่กี่ชั่วโมง ตอนนี้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งแรกสังกัดมหาวิทยาลัยเทียนไห่!”มู่หรงอินรีบตอบเย่เทียนหยู่ได้ยินดังนั้นรีบบอกว่า “ผมอยู่โรงพยาบาลนี้ เขาอยู่ตึกไหน ห้องไหน?”มู่หรงอินได้ยินดังนั้น รีบแจ้งให้ทราบคุณแม่ตระกูลหลินมองดูเย่เทียนหยู่โทรศัพท์ ไม่กล้าพูดอะไรเลยฝ่ามือเดียวที่ตบไป ถือว่าทำให้เธอตื่นตัว ตอนนี้เย่เทียนหยู่ไม่ใช่คนไร้ค่าเหมือนก่อนแล้ว ถ้าเขาโกรธจริงๆ เธอจะตายอย่างน่าอนาถโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นลูกสาวมีท่าทีเหมือนจะจัดการกับเธอคุณพ่อตระกูลหลินก็เครียดมาก กลัวว่าจะทำให้เย่เทียนหยู่โกรธส่วนหลินหว่านหรู กำลังอยู่ในความเศร้าโศก รวมกับถ้อยคำร้ายกาจของคุณแม่ตระกูลหลิน ครั้งนี้เธอถูกตบ ในใจไม่มีความไม่พอใจ รู้สึกว่าตัวเองสมควรได้รับถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบการกระทำของแม่มาโดยตลอด แต่ถึงอย่างไรแม่ก็คือแม่ เธอไม่เคยเกลียดแม่มากขนาดนี้มาก่อนเมื่อเห็นเย่เทียนหยู่วางโทรศัพท์ คุณแม่ตระกูลหลินก็ไม่กล้าพูดอะไ
“รู้แล้ว ดูเหมือนว่ายังไม่มีใครบอกพวกคุณ” เย่เทียนหยู่ขมวดคิ้ว กำลังจะโทรหาแม่ ไม่งั้นถ้าไปเอง จะถูกคนอื่นขัดขวาง แล้วยังโดนเยาะเย้ยอีก มันน่าเบื่อจริงๆ เรื่องแบบนี้ เขาเคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่งที่บ้านหัวหน้าหยางต้าฝู เขาไม่อยากเจออีกแล้วคุณอธิการกำลังจะพูด จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อได้ยินเนื้อหาในโทรศัพท์ เขาก็วางสายทันที แล้วพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “คุณ... คุณคือแพทย์เซียนเย่ ใช่ไหม?”เรื่องแพทย์เซียนเย่คนนี้ เขาก็เพิ่งได้ยินจากเพื่อนเก่าคุยกัน เพื่อนคนนั้นพูดถึงฝีมือการแพทย์ของแพทย์เซียนเย่จนเกินจริง ถ้าไม่รู้ว่าเพื่อนคนนี้ไม่ชอบโอ้อวด เป็นคนจริงจัง เขาคงไม่เชื่อเลย แต่ชื่อเย่เทียนหยู่ เขาจำได้ขึ้นใจเมื่อกี้มีโทรศัพท์จากห้องคนไข้ เป็นเพื่อนของเหล่าหวัง บอกว่ามีคนเก่งคนหนึ่งมา อาจจะมีวิธีช่วย ชื่อเย่เทียนหยู่ พอได้ยินชื่อเย่เทียนหยู่ คุณอธิการก็จำแพทย์เซียนเย่ที่เพื่อนเก่าพูดถึงได้ทันทีเย่เทียนหยู่ชะงักไปเล็กน้อย เขารู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นแพทย์เซียน แม่เขาบอกเหรอ? แต่เขาก็พยักหน้าทันทีแล้วพูดว่า “ผมไม่กล้าเรียกตัวเองว่าแพทย์เซียนหรอกครับ แต่ผมชื่อเย่เทียนหยู่”“ใช่ เย่เทียนหยู่ ก
ใบหน้าหลินหว่านหรูเผยให้เห็นถึงความขมขื่น ตอบว่า “อืม ไปทำงานเถอะ ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวได้” จากใบหน้าซีดเซียวของเธอ ดูเหมือนว่าเธอยังคงรู้สึกเสียใจอย่างมากแต่คุณอธิการนั้นแอบสงสัยอยู่ลึกๆ ว่าถ้าหากเขาเป็นแพทย์เซียนเย่จริงๆ แล้ว เหตุใดจึงไม่ช่วยเหลือคนของตัวเอง? เพราะจากการสังเกตดวงตาของแพทย์เซียนเย่แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะให้ความสำคัญกับหญิงสาวคนนั้นเป็นอย่างมาก และหัวหน้าหยางก็ได้กล่าวไว้ว่า อาการของคนไข้รายนี้ไม่ร้ายแรงเท่ากับเหล่าหวัง และไม่ซับซ้อนเท่ากับเหล่าหวังด้วยการนำทางของคุณอธิการ เย่เทียนหยู่ก็มาถึงหน้าห้องคนไข้ในเวลาอันรวดเร็วที่บริเวณนั้น มีบุคคลหลายคนเฝ้ารออยู่ แต่เนื่องจากคนในครอบครัวหวังส่วนใหญ่อยู่ที่หลงตู จึงมีจำนวนคนที่มารวมตัวกันที่โรงพยาบาลไม่มากนัก โดยมีหวังซู บุตรชายคนที่สี่ของเหล่าหวังเจิ้นเป็นหลัก พร้อมด้วยภรรยาของหวังซู บุตรชายนามหวังอีฟาน และบุตรสาวนามหวังเมิ่งเฟยทันทีที่ถึงหน้าห้อง คุณอธิการก็รีบพูดขึ้นว่า “เร็วเข้า แพทย์เซียนเย่มาแล้ว”“แพทย์เซียนเย่เหรอ?”ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เร็วขนาดนี้เลยเหรอ เพิ่งโทรศัพท์ไปบอกว่าได้หมอเก่งมา เขาก็มาถ
หวังอีฟานได้ยินแล้ว ก็รู้สึกชื่นชมชายคนนั้นทันที พูดว่า “ผมก็รู้อยู่แล้ว ไอ้หนุ่มคนนี้ดูก็รู้ว่าเป็นคนหลอกลวง พ่อครับ ลุงใหญ่คงถูกหลอกแน่ๆ”ที่แท้พวกเขารู้ว่ามีหมอเก่งมารักษา เป็นการจัดการของลุงใหญ่หวังเต้า ซึ่งก็คือลูกชายคนโตของเหล่าหวังแต่ลุงใหญ่อยู่ที่เมืองหลงตู ไม่สามารถมาถึงที่นี่ได้ในทันทีหวังซูได้ยินแล้วก็โกรธทันที “ไอ้หนุ่ม แกกล้าดีนักนะ กล้ามาหลอกลวงถึงที่นี่ แกนี่มันอยากตายชัดๆ!”“พวกคุณต่างหากที่อยากตาย ไอ้พวกโง่เขลาไร้สมอง!”เย่เทียนหยู่โกรธจัด ด่าออกมาตรงๆ หากไม่ใช่เพราะแม่บอกว่า เมื่อก่อนเคยได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าหวัง ไม่อย่างนั้นคงหนีออกจากเมืองหลงตูไม่ได้ เขาคงเดินจากไปนานแล้ว“แกเป็นใคร กล้าพูดกับเราแบบนี้ ฉันจะทำลายแก!” หวังอีฟานโกรธ เข้าไปจะทำร้ายเย่เทียนหยู่ทันที“ไปให้พ้น!”เย่เทียนหยู่ตบไปหนึ่งทีทันที ตบเข้าที่หน้าของหวังอีฟานโดยตรงหวังอีฟานร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด ล้มกระเด็นออกไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ตะโกนด้วยความโกรธว่า “แกกล้าตีฉัน มาช่วยด้วย มีใครมาช่วยฉันหน่อย!”หวังซูโกรธจัดแต่ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นส
“ไม่เป็นไร ยังไงก็ให้ฉันเข้าไปช่วยคนก่อนเถอะ เพราะยิ่งช้า มันก็จะยิ่งยุ่งยากกว่าเดิม” เย่เทียนหยู่เองก็ไม่อยากจะเสียเวลา พอนึกถึงจุดนี้ เขาถึงได้ขอให้ผู้อำนวยการนำทางกลับคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้อำนวยการแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลยหวังเต้าที่ได้ยินแบบนั้น ก็รีบพูดขึ้นว่า “ใช่ครับ ใช่ เรื่องของคุณพ่อ ต้องรบกวนแพทย์เซียนเย่แล้วล่ะครับ” “ขอแค่ช่วยชีวิตคุณพ่อกลับมาได้ ต่อไป หากแพทย์เซียนต้องการอะไร ก็บอกผมมาได้เต็มที่เลยนะครับ!”“เรื่องพวกนั้นเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะ”เย่เทียนหยู่วางสายโทรศัพท์ ก่อนจะมองไปที่หวังซู แล้วถามอย่างเย็นชาขึ้นว่า “ตอนนี้ หลีกทางได้รึยัง?”สีหน้าของหวังซูดูไม่ดีมากนัก ก่อนที่จะยอมหลีกให้แต่โดยดี และไม่กล้าพูดจาเหลวไหลอีกต่อไป แต่ในใจก็แอบคิดว่า เจ้าหนู แกอย่าได้ใจนักนะ ถ้าแกรักษาพ่อไม่หาย แกได้เห็นดีกันแน่หวังอีฟานเองก็ตกใจมากเช่นกัน ทั้งตกใจทั้งโกรธ ในหัวก็คิดเช่นเดียวกันกับหวังซูท่าทางผู้อำนวยการดูเหม่อลอย แพทย์เซียนเย่คนนี้ฐานะไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ แม้แต่ผู้นำตระกูลหวังแห่งหลงตูยังช่วยเขาขนาดนี้เย่เทียนหยู่ไม่อยากที่จะสนใจพวกเขา จึงเดินตรงเข้าไปข้างใน เห็นได้ช
เป็นอยู่อย่านั้น มีจูเก่อหลิวหลีแค่คนเดียวที่พูดอยู่ตลอดเวลา แม้แต่เธอเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปบ้าง เอาแต่แสดงออกถึงความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อนเย่เทียนหยู่ไม่ได้พูดอะไร แค่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ ฟังอย่างงงงวยก็เท่านั้นเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า จูเก่อหลิวหลีจะมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อเขามากขนาดนี้ จนทำให้เย่เทียนหยู่ต้องรู้สึกผิด และไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกหยางเฉียนเฉียนเองก็เป็นแบบนี้ แต่นั่นเขาก็ได้ทำเพื่อหยางเฉียนเฉียนไปไม่น้อย ช่วยเหลือเธอมากมาย จนทำให้ใจของเย่เทียนหยู่รู้สึกดีขึ้นมาบ้างกลับกัน พอเป็นหลิวหลี นอกจากเรื่องที่ช่วยให้เธอทะลวงถึงระดับปรมาจารย์แล้ว เขาก็ไม่ได้ทำอะไรอีกเลย เพื่อที่จะตามหาเขา กลับเป็นเธอที่คอยช่วยเหลือตน ช่วยเหลือแม่ของตนไปไม่น้อยที่สำคัญเลยก็คือ เย่เทียนหยู่ไม่รู้ว่าจะรับมือกับเธออย่างไร หรือจะปลอบใจเธอยังไงได้บ้างแน่นอน หากยอมหลับนอนกับเธอ ทำให้เธอเป็นผู้หญิงของเขา สำหรับเขาแล้วก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร สำหรับผู้ชายคนหนึ่งแล้ว ก็คงเป็นแค่สิ่งที่ปรารถนาไม่รู้จบแต่ว่า ขืนเขาทำแบบนั้น แล้วหว่านหรูจะทำยังไงหากหว่านหรูรู้เรื
“อืม ฉันรู้แล้ว เห็นว่าเธอยังโพสต์เฟสบุ๊กสนับสนุนพวกเราอยู่ด้วยเลยนี่” เย่เทียนหยู่กล่าวด้วยรอยยิ้มคิดไม่ถึงเลยว่าพี่เย่จะรู้เรื่องนี้ด้วย ซึ่งทำให้เฉินเฟยเฟยดีใจเอามาก ๆ ก่อนที่จะรีบพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ ช่วยอะไรพี่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”“ทำไมจะไม่ช่วยล่ะ ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีความหมายทั้งนั้นแหละ แค่เธอมองไม่เห็นก็เท่านั้นเอง”“จริงเหรอคะ ขอบคุณพี่เย่ที่ให้กำลังใจฉันนะคะ อันที่จริง ที่ฉันโทรหาพี่ครั้งนี้ เป็นเพราะฉันเห็นว่าพี่อยู่ที่ตงเฉิง เลยอยากเชิญพี่มาดูคอนเสิร์ตของฉันน่ะค่ะ”“เธอมีคอนเสิร์ตที่ตงเฉิงงั้นเหรอ เมื่อไหร่?” เย่เทียนหยู่ถาม เขาอาจจะต้องดูเวลาก่อน หากว่าตรงกับการประชุมศักดิ์สิทธิ์ ก็อาจจะไม่ว่างไป“คืนนี้ตอนทุ่มครึ่งค่ะ ที่สนามกีฬา พี่พอจะว่างไหม?” เฉินเฟยเฟยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง เธออยากให้เย่เทียนหยู่ไปงานคอนเสิร์ตของเธอมากจริง ๆ เพื่อให้เขาได้ฟังเพลงที่เธอร้องหากไม่ใช่เพราะเรื่องของปาร์คดาฮยอน เธอก็คงส่งคำเชิญให้เขาไปนานแล้ว พอตอนนี้เห็นว่าไม่มีเรื่องวุ่นวายอะไรแล้ว จึงคิดว่าพี่เย่อาจจะว่างก็ได้ ถึงได้เชิญไป“ว่างสิ!”เย่เทียนห
เย่เทียนหยู่ตกใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าเธอจะเข้ามาใกล้ขนาดนี้ แถมยังโอบกอดเขาแน่น พร้อมกับเปิดปากพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งแบบนี้แม้จะดูเก้งก้างไปบ้าง แต่เขากลับรู้สึกมีอารมร์ร่วมในความเป็นจริงแล้ว ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของเย่เทียนหยู่ เขานั้นไม่ได้ถูกควบคุมแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะเสน่ห์อันเย้ายวนและความงดงามของจูเก่อหลิวหลีทั้งนั้นความรู้สึกต่อจูเก่อหลิวหลีตอนนี้เหมือนกันกับตอนหยางเฉียนเฉียน คือชมชอบ รู้สึกดี และถึงขั้นชอบเสียด้วยซ้ำแต่เนื่องจากความรับผิดชอบที่มีในใจ และความจริงที่ว่าหลินหว่านหรูคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะก้าวข้ามไปแม้แต่ก้าวเดียวแต่ท่าทีของจูเก่อหลิวหลีในตอนนี้ เสน่ห์ของจูเก่อหลิวหลี บวกกับฤทธิ์ยา ไม่นานมันก็ได้กระตุ้นความตื่นตัวของเย่เทียนหยู่ขึ้นมาเขาถึงกับไม่สามารถควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ และเปิดปากออกโดยไม่รู้ตัว มือก็เริ่มเคลื่อนไหวไปบนร่างของจูเก่อหลิวหลี ความรู้สึกนั้น มันทำให้ตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหวสมบูรณ์แบบมาก!ต้องบอกเลยว่า หากพูดถึงแรงดึงดูดต่อผู้ชาย จูเก่อหลิวหลีนั้นไม่แพ้หลินหว่านหรูเลยแม้แต่น้อย เป็นคว
ขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้อยู่ข้าง ๆ คุณชายก็คงไม่เหลือ ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจที่จะทำตัวให้กระตือรือร้นมากขึ้นถึงแม้จะไม่ได้เป็นภรรยาของคุณชาย ขอแค่ได้มีความสัมพันธ์กับคุณชายบ้าง ต่อไปเธอก็จะถือว่าเป็นผู้หญิงของคุณชาย และอย่างน้อยก็สามารถอยู่เคียงข้างคุณชายไปตลอดชีวิตได้เพราะไม่อย่างนั้น สักวันหนึ่งระยะห่างของเธอกับคุณชายก็คงจะไกลกันมากขึ้นเรื่อย ๆเพื่อเหตุนี้ เธอจึงตัดสินใจวางยา ยานี้ไม่ใช่ยาธรรมดา ไม่เพียงแต่ไม่มีสีและรสชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นยาที่หายากอีกด้วย เพียงแต่ผลลัพธ์ของยานั้นกลับไม่ได้มีความเข้มข้นมากนักแต่ก็ไม่เป็นไร โชคดีที่ได้เจอกับมันโดยบังเอิญ บวกกับเสน่ห์ที่ดูแพรวพราวของเธออีกเพื่อเสริมเสน่ห์ของตัวเองแล้ว หลายวันมานี้เธอได้ทำการฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อที่จะทำให้คุณชายหลงใหล และให้คุณชายยอมกลืนกินเธอแม้ว่าวันนี้จูเก่อหลิวหลีจะสวมกระโปรงสีดำแหวกข้าง และเสื้อคอลึก จนทำให้ขาเรียวยาวของเธอโผล่พ้นออกมา ซึ่งความมีเสน่ห์ของเธอทำให้เขารู้สึกใจสั่นเล็กน้อยแต่เย่เทียนหยู่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร ในขณะที่ดื่มน้ำในมือ เขาก็เดินดูรอบ ๆ พร้อมกับเอ่ยชมขึ้นว่า
อันที่จริงแล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่การเตรียมการของเย่เทียนหยู่ แต่เป็นการเตรียมการของมู่หรงอิน อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ามู่หรงอินเองก็ไม่ได้รังเกียจที่จะจัดการเรื่องนี้ กระทั่งเธอยังยินดีที่จะทำเสียด้วยซ้ำเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัทเทียนเฟิงกรุ๊ปสาขาตะวันออก ข้อมูลก็ได้ถูกส่งไปถึงหูของมู่หรงอินแล้ว ใบหน้าของเธอก็ปรากฏรอยยิ้มออกมาแม้จะมีความช่วยเหลือจากเย่เทียนหยู่อยู่แล้ว แต่การแสดงออกของหลินหว่านหรูนั้นก็ทำให้เธอพอใจมากจริง ๆเดิมทีภาพรวมของเทียนเฟิงกรุ๊ปก็ดีมากอยู่แล้ว เพียงแค่ปัญหาร้ายแรงบังเอิญมาเกิดที่สาขานี้ก็เท่านั้น เธอแค่ต้องการอยากจะเห็นการแก้ปัญหาของหลินหว่านหรู และจะใช้เวลานานแค่ไหนในการจัดการคิดไม่ถึงเลยว่าจะจัดการได้เร็วขนาดนี้ แถมยังกระตุ้นความกระตือรือร้นของพนักงานให้มีแรงผลักดันมากขึ้นอีกด้วยไม่เสียแรงที่ตนให้คนเตรียมข้อมูลพนักงานที่ละเอียดขนาดนั้นเอาไว้ให้เธอเลยจริง ๆในตอนที่เย่เทียนหยู่เดินออกจากบริษัท เขาเองก็กำลังคิดว่าจะหาบ้านที่เหมาะสมในบริเวณใกล้เคียง แล้วซื้อเอาไว้สักหลัง ไม่ว่ายังไงก็จะให้หลินหว่านหรูพักอยู่โรงแรมตลอดไปไม่ได้หรอกนี่เห็นได้ชัดว่ามันไม่เ
“เพราะเขาเป็นคนพูดเองว่า ไม่ว่าโลกจะกว้างใหญ่แค่ไหน แต่ภรรยาก็คือที่สุด!”“ถ้าไม่มีการอนุญาตจากฉัน เขาจะทำอะไรบุ่มบ่ามแน่นอน”“ฮ่า ๆ......”พอทุกคนได้ยินคำพูดของหลินหว่านหรู ก็แทบจะหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว จู่ ๆ ก็คิดว่าประธานหลินคนนี้ไม่เลวเลยจริง ๆเห็น ๆ อยู่ว่าอำนาจในมือนั้นเกินคาดเดา แต่เจ้าตัวกลับเป็นคนที่อ่อนโยนเช่นนี้เมื่อพูดถึงว่าภรรยาเป็นใหญ่ สีหน้าของหลินหว่านหรูก็แดงเพราะความเขินอายขึ้นมา สิ่งสำคัญคือเธอรู้สึกว่าควรจะดึงบรรยากาศกลับมาสักหน่อย เพื่อไม่ให้ทุกคนมุ่งคิดแต่จะเอาใจเธออย่างเดียว จนละเลยหน้าที่ในบริษัท แบบนั้นคงไม่ดีแน่เย่เทียนหยู่สามารถที่จะไม่สนใจผลประโยชน์ของบริษัทได้ กระทั่งปล่อยให้บริษัทล้มละลายไปเลยก็ตาม แต่เธอเองกลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ถ้าตั้งใจจะทำแล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด แล้วก็จะต้องแข็งแกร่งยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเพราะไม่เช่นนั้น เธอจะมีหน้าไปพบอนาคตแม่สามีได้อย่างไรเมื่อเห็นปฏิกิริยาของทุกคน หลินหว่านหรูก็รู้สึกว่าตนทำถูกต้องแล้ว จากนั้นจึงกล่าวขึ้นอีกว่า “แต่ว่านะ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้เอาแต่ใจเท่ากับเขา แต่สำหรับเรื่องงานแล้ว ฉันกลับมีความเข้
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงและสั่นสะเทือนในใจขึ้นมาอีกครั้งถึงขนาดไม่สนใจว่าบริษัทจะล้มละลาย แม้แต่การขอร้องจากประธานบริษัทเองก็ยังไม่ได้ผลเลยด้วยซ้ำ!นี่เป็นเผด็จการและการปกป้องที่ไร้เหตุผลชัด ๆ!ในใจหลายคนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าชายหนุ่มคนนี้คือใคร อาจจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานบริษัท หรืออาจจะมีสถานะที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็ได้เมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น พวกเขาก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลินหว่านหรูด้วยความรู้สึกอิจฉาโดยเฉพาะผู้หญิงบางคน ในใจพวกเธอก็อดคิดไม่ได้ ว่าหากพวกเธอมีผู้ชายแบบนี้สักคน ต่อให้จะเป็นเพียงหนึ่งในหมื่น พวกเธอก็คงจะมีความสุขจนตายได้เลยการปกป้องที่ไม่มีเหตุผลแบบนี้ แม้แต่หลินหว่านหรูที่ถูกเย่เทียนหยู่ทะนุถนอมตลอดเวลาก็ยังรู้สึกใจเต้นเช่นกันเทียนหยู่ได้ทุ่มเททุกอย่างให้กับเธออย่างแท้จริง เขาทั้งมุ่งมั่นและตั้งใจทำเพื่อเธอพอนึกย้อนกลับไป เขาก็คอยปกป้องเธออยู่เงียบ ๆ มาโดยตลอดมาเช่นกันเพียงแค่ตัวเองก่อนหน้านี้นั้นกลับโง่เขลาเกินไป ไม่สามารถแยกแยะสถานการณ์ได้ ไม่เพียงแต่ไม่เข้าใจ แถมยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับเขาตั้งหลายครั้งอีกด้วยตอนนี้พอมาคิดดูแล้
ดูท่าแล้ว อนาคตเธอคงจะก้าวหน้ามากแน่นอนพวกเขาอาจจะต้องระมัดระวังในการรับมือเอาไว้ให้ดีเมื่อจัดการเรื่องของจางเฉียงเสร็จ เรื่องของที่นี่โดยทั่วไปก็ถือว่าจบลงแล้ว เย่เทียนหยู่เองก็ไม่อยากอยู่ต่อ เขาจึงกล่าวเสียงต่ำขึ้นว่า “ทุกท่านก็คงเห็นกันแล้ว วันนี้ ที่นี่เกิดเรื่องที่ไม่ค่อยน่าพอใจบางอย่างขึ้น”“แต่โชคดีที่ผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดี ในที่สุดก็ขจัดเนื้อร้ายของบริษัทออกไปได้ ทำให้ทุกคนสามารถตั้งใจแสดงความสามารถของตนเองได้อีกครั้ง”“ผมรู้ดี นอกจากพวกเขาเหล่านี้แล้ว ในบริษัทก็ยังมีปัญหาน้อยใหญ่อยู่อีกมากมาย การเรียกเก็บส่วยใต้โต๊ะก็มีไม่น้อย ตามความคิดเดิมของผม ผมไม่คิดจะปล่อยไปเลยแม้แต่คนเดียว ต้องการจะจัดการให้หมดทุกคน”“อย่างมาก บริษัทก็อาจจะตกอยู่ในวิกฤตสักระยะ เพื่อเผชิญกับผลกระทบบางอย่าง”“อย่าว่าแต่วิกฤตเล็ก ๆ เลย ต่อให้จะขาดทุนไปหลายร้อยล้าน หรือหลายพันล้านก็ตาม มันก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น ผมไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย!”เย่เทียนหยู่ยืนอยู่บนที่สูง แววตาดูมีอำนาจ เขากวาดสายตามองไปทั่วทุกทิศทาง ทุกคนที่ถูกเขามอง ต่างก็รีบก้มหน้าหลบเลี่ยงในทันที ไม่มีใครกล้าสบตาเขาเลยสักคนผ
“พอเถอะ!”เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เย่เทียนหยู่เองก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายแล้ว จึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ผมเคยบอกไปแล้ว ผมไม่ได้สนใจเงินเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ผิดพลาดที่สุดของพวกคุณคือการดูถูกภรรยาของผม!”“ดังนั้น นอกจากจางเฉียงแล้ว พวกคุณที่เหลือ เอาเงินมาชดใช้ให้หมด แล้วไสหัวออกไปจากบริษัทซะ แล้วเราจะไม่ตามเอาความอีก!”“แต่ว่านะ จางเฉียง ไม่ว่าคุณจะแสดงออกยังไงก็ไม่มีประโยชน์ เก็บน้ำตาที่ไม่มีค่าเหล่านั้นเอาไว้เถอะ”“ไสหัวไปซะ แล้วเตรียมตัวรับหมายศาลเอาไว้ให้ดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น หลายคนต่างก็พากันรู้สึกซาบซึ้งจนถึงขั้นน้ำตาไหลเมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้ การที่ตนสามารถถอยกลับมาได้อย่างปลอดภัยนั้น ก็นับว่าโชคดีที่สุดแล้วแต่จางเฉียงกลับรู้สึกอ่อนแรงอย่างสิ้นเชิง คิดไม่ถึงเลยว่าการที่ใบหน้าทั้งสองข้างบวมเป่งนั้นจะไม่มีผลอะไรเลย เมื่อนึกถึงชะตากรรมที่น่ากลัวของตัวเองแล้ว ใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวทันทีเขาหันไปมองหลินหว่านหรูอีกครั้ง ความโกรธเคืองเกิดขึ้นในใจทันที ความชั่วร้ายภายในเองก็ปะทุขึ้นมา เขาจึงควักมีดเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋า แล้ววิ่งตรงไปทางหลินหว่านหรูอ