ไม่รู้ทำไม เขานึกถึงคุณปู่เย่ คุณปู่แท้ๆ ของเขา ตอนเด็กๆ คุณปู่ก็รักเขามาก ใช้เวลาอยู่กับเขาทุกวัน ถึงแม้ว่าจะยุ่งมากก็ตามเพราะตอนนั้นเขายังไม่เกษียณ มีเรื่องให้ทำมากมายผ่านไปเวลานาน เย่เทียนหยู่จึงได้สติ เห็นหหลินหว่านหรูเสียใจมาก รู้สึกสงสารมาก แต่เขาช่วยอะไรไม่ได้จริงๆคุณแม่ตระกูลหลินได้สติ จึงตกใจมาก รีบจับหัวหน้าหยาง ตะโกนว่า “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ คุณบอกว่าผ่าตัดแล้วจะหายไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยก็รอดชีวิตใช่ไหม?”หัวหน้าหยางขมวดคิ้ว ส่ายหัว พูดว่า “คุณนายหลิน กรุณาปล่อยมือ การผ่าตัดมีความเสี่ยงเสมอ ยิ่งคุณปู่ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มีน้อยอยู่แล้ว”“น้อยแล้วทำไมยังให้ผ่าตัด ยังบังคับเราอีก” คุณแม่ตระกูลหลินโกรธมาก รู้แบบนี้ ก็ควรจะรอเย่เทียนหยู่ ถึงแม้ว่าเย่เทียนหยู่จะหลอกลวง แต่ถ้าสำเร็จล่ะ"ผมไม่ได้บังคับพวกคุณ ผมแค่บอกว่าถ้าไม่ผ่าตัดก็จะตาย การตัดสินใจอยู่ที่ตัวคุณเอง ลายเซ็นนี้ก็คุณเซ็นเองด้วย ถ้าคุณยังจะทำเรื่องวุ่นวายแบบนี้ต่อไป ผมจะแจ้งความแล้ว" คุณหมอหยางพูดด้วยความโมโห เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทที่ดีที่สุดของโรงพยาบาลแม้แต่เขาก็ยังทำอะไรไม่ได้ เปลี่ยนใครก็
เย่เทียนหยู่ชะงักไปเล็กน้อย มองไปที่คุณปู่หลินที่เสียชีวิตไปแล้ว แล้วตอบว่า “ได้ ตอนนี้เขาอยู่โรงพยาบาลไหน ยังทนได้อีกนานแค่ไหน?”“ตามที่แพทย์บอก ยังทนได้อีกไม่กี่ชั่วโมง ตอนนี้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งแรกสังกัดมหาวิทยาลัยเทียนไห่!”มู่หรงอินรีบตอบเย่เทียนหยู่ได้ยินดังนั้นรีบบอกว่า “ผมอยู่โรงพยาบาลนี้ เขาอยู่ตึกไหน ห้องไหน?”มู่หรงอินได้ยินดังนั้น รีบแจ้งให้ทราบคุณแม่ตระกูลหลินมองดูเย่เทียนหยู่โทรศัพท์ ไม่กล้าพูดอะไรเลยฝ่ามือเดียวที่ตบไป ถือว่าทำให้เธอตื่นตัว ตอนนี้เย่เทียนหยู่ไม่ใช่คนไร้ค่าเหมือนก่อนแล้ว ถ้าเขาโกรธจริงๆ เธอจะตายอย่างน่าอนาถโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นลูกสาวมีท่าทีเหมือนจะจัดการกับเธอคุณพ่อตระกูลหลินก็เครียดมาก กลัวว่าจะทำให้เย่เทียนหยู่โกรธส่วนหลินหว่านหรู กำลังอยู่ในความเศร้าโศก รวมกับถ้อยคำร้ายกาจของคุณแม่ตระกูลหลิน ครั้งนี้เธอถูกตบ ในใจไม่มีความไม่พอใจ รู้สึกว่าตัวเองสมควรได้รับถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบการกระทำของแม่มาโดยตลอด แต่ถึงอย่างไรแม่ก็คือแม่ เธอไม่เคยเกลียดแม่มากขนาดนี้มาก่อนเมื่อเห็นเย่เทียนหยู่วางโทรศัพท์ คุณแม่ตระกูลหลินก็ไม่กล้าพูดอะไ
“รู้แล้ว ดูเหมือนว่ายังไม่มีใครบอกพวกคุณ” เย่เทียนหยู่ขมวดคิ้ว กำลังจะโทรหาแม่ ไม่งั้นถ้าไปเอง จะถูกคนอื่นขัดขวาง แล้วยังโดนเยาะเย้ยอีก มันน่าเบื่อจริงๆ เรื่องแบบนี้ เขาเคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่งที่บ้านหัวหน้าหยางต้าฝู เขาไม่อยากเจออีกแล้วคุณอธิการกำลังจะพูด จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อได้ยินเนื้อหาในโทรศัพท์ เขาก็วางสายทันที แล้วพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “คุณ... คุณคือแพทย์เซียนเย่ ใช่ไหม?”เรื่องแพทย์เซียนเย่คนนี้ เขาก็เพิ่งได้ยินจากเพื่อนเก่าคุยกัน เพื่อนคนนั้นพูดถึงฝีมือการแพทย์ของแพทย์เซียนเย่จนเกินจริง ถ้าไม่รู้ว่าเพื่อนคนนี้ไม่ชอบโอ้อวด เป็นคนจริงจัง เขาคงไม่เชื่อเลย แต่ชื่อเย่เทียนหยู่ เขาจำได้ขึ้นใจเมื่อกี้มีโทรศัพท์จากห้องคนไข้ เป็นเพื่อนของเหล่าหวัง บอกว่ามีคนเก่งคนหนึ่งมา อาจจะมีวิธีช่วย ชื่อเย่เทียนหยู่ พอได้ยินชื่อเย่เทียนหยู่ คุณอธิการก็จำแพทย์เซียนเย่ที่เพื่อนเก่าพูดถึงได้ทันทีเย่เทียนหยู่ชะงักไปเล็กน้อย เขารู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นแพทย์เซียน แม่เขาบอกเหรอ? แต่เขาก็พยักหน้าทันทีแล้วพูดว่า “ผมไม่กล้าเรียกตัวเองว่าแพทย์เซียนหรอกครับ แต่ผมชื่อเย่เทียนหยู่”“ใช่ เย่เทียนหยู่ ก
ใบหน้าหลินหว่านหรูเผยให้เห็นถึงความขมขื่น ตอบว่า “อืม ไปทำงานเถอะ ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวได้” จากใบหน้าซีดเซียวของเธอ ดูเหมือนว่าเธอยังคงรู้สึกเสียใจอย่างมากแต่คุณอธิการนั้นแอบสงสัยอยู่ลึกๆ ว่าถ้าหากเขาเป็นแพทย์เซียนเย่จริงๆ แล้ว เหตุใดจึงไม่ช่วยเหลือคนของตัวเอง? เพราะจากการสังเกตดวงตาของแพทย์เซียนเย่แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะให้ความสำคัญกับหญิงสาวคนนั้นเป็นอย่างมาก และหัวหน้าหยางก็ได้กล่าวไว้ว่า อาการของคนไข้รายนี้ไม่ร้ายแรงเท่ากับเหล่าหวัง และไม่ซับซ้อนเท่ากับเหล่าหวังด้วยการนำทางของคุณอธิการ เย่เทียนหยู่ก็มาถึงหน้าห้องคนไข้ในเวลาอันรวดเร็วที่บริเวณนั้น มีบุคคลหลายคนเฝ้ารออยู่ แต่เนื่องจากคนในครอบครัวหวังส่วนใหญ่อยู่ที่หลงตู จึงมีจำนวนคนที่มารวมตัวกันที่โรงพยาบาลไม่มากนัก โดยมีหวังซู บุตรชายคนที่สี่ของเหล่าหวังเจิ้นเป็นหลัก พร้อมด้วยภรรยาของหวังซู บุตรชายนามหวังอีฟาน และบุตรสาวนามหวังเมิ่งเฟยทันทีที่ถึงหน้าห้อง คุณอธิการก็รีบพูดขึ้นว่า “เร็วเข้า แพทย์เซียนเย่มาแล้ว”“แพทย์เซียนเย่เหรอ?”ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เร็วขนาดนี้เลยเหรอ เพิ่งโทรศัพท์ไปบอกว่าได้หมอเก่งมา เขาก็มาถ
หวังอีฟานได้ยินแล้ว ก็รู้สึกชื่นชมชายคนนั้นทันที พูดว่า “ผมก็รู้อยู่แล้ว ไอ้หนุ่มคนนี้ดูก็รู้ว่าเป็นคนหลอกลวง พ่อครับ ลุงใหญ่คงถูกหลอกแน่ๆ”ที่แท้พวกเขารู้ว่ามีหมอเก่งมารักษา เป็นการจัดการของลุงใหญ่หวังเต้า ซึ่งก็คือลูกชายคนโตของเหล่าหวังแต่ลุงใหญ่อยู่ที่เมืองหลงตู ไม่สามารถมาถึงที่นี่ได้ในทันทีหวังซูได้ยินแล้วก็โกรธทันที “ไอ้หนุ่ม แกกล้าดีนักนะ กล้ามาหลอกลวงถึงที่นี่ แกนี่มันอยากตายชัดๆ!”“พวกคุณต่างหากที่อยากตาย ไอ้พวกโง่เขลาไร้สมอง!”เย่เทียนหยู่โกรธจัด ด่าออกมาตรงๆ หากไม่ใช่เพราะแม่บอกว่า เมื่อก่อนเคยได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าหวัง ไม่อย่างนั้นคงหนีออกจากเมืองหลงตูไม่ได้ เขาคงเดินจากไปนานแล้ว“แกเป็นใคร กล้าพูดกับเราแบบนี้ ฉันจะทำลายแก!” หวังอีฟานโกรธ เข้าไปจะทำร้ายเย่เทียนหยู่ทันที“ไปให้พ้น!”เย่เทียนหยู่ตบไปหนึ่งทีทันที ตบเข้าที่หน้าของหวังอีฟานโดยตรงหวังอีฟานร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด ล้มกระเด็นออกไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ตะโกนด้วยความโกรธว่า “แกกล้าตีฉัน มาช่วยด้วย มีใครมาช่วยฉันหน่อย!”หวังซูโกรธจัดแต่ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นส
“ไม่เป็นไร ยังไงก็ให้ฉันเข้าไปช่วยคนก่อนเถอะ เพราะยิ่งช้า มันก็จะยิ่งยุ่งยากกว่าเดิม” เย่เทียนหยู่เองก็ไม่อยากจะเสียเวลา พอนึกถึงจุดนี้ เขาถึงได้ขอให้ผู้อำนวยการนำทางกลับคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้อำนวยการแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลยหวังเต้าที่ได้ยินแบบนั้น ก็รีบพูดขึ้นว่า “ใช่ครับ ใช่ เรื่องของคุณพ่อ ต้องรบกวนแพทย์เซียนเย่แล้วล่ะครับ” “ขอแค่ช่วยชีวิตคุณพ่อกลับมาได้ ต่อไป หากแพทย์เซียนต้องการอะไร ก็บอกผมมาได้เต็มที่เลยนะครับ!”“เรื่องพวกนั้นเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะ”เย่เทียนหยู่วางสายโทรศัพท์ ก่อนจะมองไปที่หวังซู แล้วถามอย่างเย็นชาขึ้นว่า “ตอนนี้ หลีกทางได้รึยัง?”สีหน้าของหวังซูดูไม่ดีมากนัก ก่อนที่จะยอมหลีกให้แต่โดยดี และไม่กล้าพูดจาเหลวไหลอีกต่อไป แต่ในใจก็แอบคิดว่า เจ้าหนู แกอย่าได้ใจนักนะ ถ้าแกรักษาพ่อไม่หาย แกได้เห็นดีกันแน่หวังอีฟานเองก็ตกใจมากเช่นกัน ทั้งตกใจทั้งโกรธ ในหัวก็คิดเช่นเดียวกันกับหวังซูท่าทางผู้อำนวยการดูเหม่อลอย แพทย์เซียนเย่คนนี้ฐานะไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ แม้แต่ผู้นำตระกูลหวังแห่งหลงตูยังช่วยเขาขนาดนี้เย่เทียนหยู่ไม่อยากที่จะสนใจพวกเขา จึงเดินตรงเข้าไปข้างใน เห็นได้ช
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหวังเต้าและมู่หรงอินถึงได้มีความสัมพันธ์กัน แต่ก็มีเพียงหวังเต้าและเหล่าหวังเท่านั้น ที่รู้จักมู่หรงอิน ส่วนคนอื่นในตระกูลหวังกลับไม่มีใครทราบเรื่องนี้เลยก็อาจจะกลัวว่าหากข่าวนี้ถูกแพร่ออกไป จะส่งผลเสียต่อตระกูลหวังก็ได้“ผมชื่อเย่เทียนหยู่”“เป็นเธอจริง ๆ ด้วย เธอคือหลานชายของอดีตผู้นำ เย่เทียนหยู่” เหล่าหวังตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆอดีตผู้นำงั้นเหรอ?แต่พอได้ยินคำว่าหลานชาย เย่เทียนหยู่ก็เดาได้ทันทีว่าน่าจะเป็นผู้อาวุโสเย่ เขาไม่ได้พยักหน้า แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะเขาไม่ได้อยากจะยอมรับในตัวของผู้อาวุโสเย่สักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงนี้ได้เช่นกัน“คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเธอจะเป็นคนช่วยฉัน โธ่เอ้ย เสียดายก็แต่พ่อของเธอ!” เหล่าหวังมีความสุขมาก เมื่อก่อนเขาชอบเย่เฟิงมาก มองเขาอย่างกับเป็นลูกแท้ ๆ ของตัวเอง“อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วเลยครับ เหล่าหวัง ผมยังมีธุระ คงจะอย่าพูดคุยด้วยไม่ได้แล้ว”“เร่งด่วนมากเลยเหรอ?”“ค่อนข้างเร่งด่วน!”เย่เทียนหยู่ตอบกลับ“เช่นนั้น เธอก็ไปทำธุระเถอะ” เหล่าหวังกล่าวอย่างเร่งรีบ ส่วนเรื่องของตนนี้ รอให้เขา
หวังซูและลูกชายมองหน้ากันด้วยความไม่เชื่อ พวกเขารีบวิ่งเข้าไปข้างในทันที เมื่อเดินเข้าไปดู ก็เห็นว่าหวังเมิ่งเฟยกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ คุณปู่ด้วยความตื่นเต้นและคุณท่านหวังเองก็ถึงกับลุกขึ้นมานั่งด้วย ท่านนั่งอยู่ตรงขอบเตียง สภาพจิตใจของท่านเองก็ดูดีมากเลยทีเดียว ราวกับว่าท่านจะอ่อนเยาว์ลงไปหลายปีเลยด้วยซ้ำส่วนท่อที่เสียบอยู่ตามร่างกาย แล้วก็อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ในการตรวจค่าต่าง ๆ ก็ถูกนำออกไปหมดแล้วในเวลานี้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึง แทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเลยด้วยซ้ำไม่เพียงแต่โรคที่ถูกรักษาหายดีแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นมากอีกด้วยผู้อำนวยการที่ได้ยินเสียงนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดู แม้ว่าจะยืนอยู่ด้านหลัง แต่ก็มองเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดกเจน ตัวเขาเองได้ตรวจคุณท่านมาแล้วตั้งหลายครั้ง แน่นอนว่าเขาจะต้องรู้จักสภาพร่างกายของคุณท่านดีแต่หลังจากที่เขาเห็นสถาพร่างกายของคุณท่านในตอนนี้แล้ว เขากลับรู้สึกตกใจอย่างสิ้นเชิงแพทย์เซียน!แพทย์เซียนเก่งกาจมากจริง ๆ!แต่ฝีมือระดับนี้จะเป็นแค่แพทย์เซียนได้อย่างไร นี่มันเทพเซียนชัด ๆหวังซูไม่สามารถเชื่อได้ เขามักจะรู้สึกว่านี่มันไม่สมเ
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป