ในขณะนั้น สีหน้าของชิงหลงเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาคิดว่าเย่เทียนหยู่คงไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ แต่กลับไม่คาดคิดว่าเขายังคงมีพลังเหลือเฟือมากพอที่จะสังหารเขาได้ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งนี้ เขาจะพ่ายแพ้อย่างราบคาบ!ทำให้เขาแทบรับไม่ได้ในทันที“เทียนหยู่ คุณเป็นอย่างไรบ้าง?”เมื่อถึงตอนนี้ มู่หรงอินหยินรีบเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง หลังจากนั้นสักพัก บาดแผลภายในตัวเธอก็ดีขึ้นมาก อย่างน้อยก็สามารถลุกขึ้นยืนและเดินได้โดยไม่มีปัญหา“ไม่เป็นไร แค่ใช้พลังปราณไปบ้าง”เย่เทียนหยู่ส่ายหัว แล้วก้าวไปข้างหน้า มุ่งหน้าไปยังที่ที่ชิงหลงอยู่สีหน้าของชิงหลงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไอ้หนุ่มนี่มันตั้งใจจะเอาชีวิตฉันจริงๆ หรืออดีตราชามังกรก็ตกใจเล็กน้อย รู้สึกกังวล ไอ้หนุ่มนี่ปกติก็เชื่อฟัง แต่บางเรื่องเมื่อมันตั้งใจจริง แม้แต่ตัวเองก็ไม่อาจห้ามได้“เทียนหยู่…”“อาจารย์ ท่านไม่ต้องห่วง! ถ้าผมอยากฆ่าเขาจริงๆ ตอนนี้เขาคงเป็นศพไปแล้ว” เย่เทียนหยู่พูดเสียงเรียบ ไม่ได้พูดเยาะเย้ยแต่อย่างใดแต่ชิงหลงฟังแล้วรู้สึกหูชา มองเย่เทียนหยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ“คุณยังโกรธอีกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าคุณปกป้องอ
ชิงหลงฮึดฮัด ลุกขึ้นแล้วตะโกนสั่ง “ไปกัน!”พร้อมกับสั่งพวกคนของเขาอย่างเร่งด่วนว่า เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ห้ามบอกใครเด็ดขาด มิฉะนั้นพวกเขาจะตายกันหมดเขานั่งอยู่บนบัลลังก์อันดับหนึ่งของโลกมานาน เขาไม่อยากเสียบัลลังก์นี้ไป ก่อนที่เขาจะก้าวไปสู่ขั้นเทพผู้เป็นอมตะ เขาจะไม่ยอมให้ใครมาหัวเราะเยาะเขาเป็นอันขาดเมื่อถึงวันที่ก้าวไปถึงขั้นนั้น เขาจะเอาศักดิ์ศรีของเขากลับคืนมาดวงตาของมู่หรงอินเต็มไปด้วยความปลื้มปิติและตื่นเต้น เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าสักวันหนึ่งลูกชายของเธอจะเติบโตขึ้นมาถึงขั้นที่น่ากลัวเช่นนี้ทูตทั้งสองคนก็มองเย่เทียนหยู่ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายทำให้เย่เทียนหยู่รู้สึกประหม่าเล็กน้อย พวกผู้หญิงแก่สองคนนี้จะคิดอะไร หรือว่าจะหมายปองเขา?ในขณะนั้นเอง หยางผั่วจวินและอีกสองคนก็ก้าวเข้ามาหาเย่เทียนหยู่มู่หรงอินและคนอื่นๆ ตกใจ รีบเตรียมตัวต่อสู้ ที่จริงแล้วพวกเขาทุกคนก็รู้ว่าเย่เทียนหยู่ยังมีพลังเหลืออยู่บ้าง แต่ก็แทบจะหมดแล้วหากเจอกับปรมาจารย์ฝีมือสูงจริงๆ ก็ยังคงอันตรายมากอยู่ดีแต่ผู้เฒ่าราชามังกรกลับแสดงสีหน้าตกตะลึง นิ่งเฉยเย่เทียนหยู่รีบห้ามทูตทั้งสองคนไว้ แล้วส่าย
เมื่อได้เห็นลูกชายที่ไม่ได้พบกันมานาน มู่หรงอินอดไม่ได้ที่จะโอบกอดเขา แล้วร้องไห้กล่าวว่า “เสี่ยวเทียน แม่ไร้ความสามารถ แม่ขอโทษนะลูก ที่ทำให้ลูกต้องลำบาก”ถึงแม้จะอยู่ในช่วงเวลาคับขัน แต่เธอก็ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของเย่เทียนหยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้เรียกชื่อเล่น “เสี่ยวเทียน” แต่เรียกชื่อ “เทียนหยู่” แทน“แม่ครับ อย่าพูดอย่างนั้นเลย เรื่องสมัยเด็กๆ ผมจำได้ดี เราถูกมือสังหารตามล่า แม่ต้องดูแลผมเพียงลำพัง เจออันตรายมาหลายครั้ง สุดท้ายก็จำเป็นต้องทิ้งผมไว้ แม่ไม่ผิดหรอก”“ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ ผมก็คงตายไปตั้งนานแล้ว”“อย่าพูดอย่างนั้น ลูกจะไม่ตายหรอก”มู่หรงอินรีบห้ามไว้“ใช่ ผมจะไม่ตาย แม่ก็จะไม่ตายด้วย ตอนนี้เราปลอดภัยแล้ว และต่อไปนี้ก็จะปลอดภัยด้วย ใครก็ตามที่กล้าแตะต้องเรา ผมจะกำจัดมันให้หมด”เย่เทียนหยู่พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว“อืม ความสามารถของลูก เกินความคาดหมายของแม่จริงๆ”พูดถึงตรงนี้ มู่หรงอินใจเต้น นึกถึงจี้ที่ทุกคนปรารถนา จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “หรือว่าลูกจะ…”“หรือว่าอะไร?”“ไม่มีอะไร!”มู่หรงอินสังเกตเห็นว่ามีคนอยู่ใกล้ๆ ถึงแม้จะเป็นคนที่ไว้ใจที่สุด เธอก็ยังหยุดพูด แ
นี่มันเกินกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้ถ้าหากว่าพลังปราณในร่างกายของพวกเขาเป็นแม่น้ำสายใหญ่ แล้วพลังปราณของนายน้อยประมุขก็เปรียบเสมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะเอาชนะชิงหลงได้อย่างง่ายดายด้วยนายน้อยประมุขเช่นนี้ พวกเขายังจะมีอะไรต้องกังวลอีกโดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ พวกเขากำลังเผชิญกับเรื่องสำคัญที่ยากจะตัดสินใจ และนายน้อยประมุขก็กลับมาพอดี ตำแหน่งประมุขของสำนักศักดิ์สิทธิ์ สมควรเป็นของท่านและก็มีเพียงท่านเท่านั้น ที่จะนำพาสำนักศักดิ์สิทธิ์กลับสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้งหลังจากที่บาดแผลหายเป็นปกติแล้ว พวกเขาก็จากไปทันที แต่ครั้งนี้ มู่หรงอินและคนอื่นๆ ถูกพาไปที่โซนสกายพาเลซหนึ่งเพราะที่นั่นมีพื้นที่กว้างขวาง และเหมาะแก่การฝึกฝน การที่ให้พวกเขาเข้าไปอยู่ที่โซนสกายพาเลซหนึ่ง จึงเป็นทางเลือกที่ดีมากเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มู่หรงอินและเย่เทียนหยู่ก็มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง เธอมองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทรงจำ แล้วกล่าวว่า “เทียนหยู่ แม่รู้ว่าลูกมีคำถามมากมาย”“ก่อนหน้านี้ แม่กลัวว่าลูกจะยังไม่มีความสามารถพอ จึงไม่กล้าบอกลูก แต่ตอนนี้
ในขณะนั้น โทรศัพท์ของเย่เทียนหยู่ก็ดังขึ้น เขาเหลือบไปมองหมายเลขโทรศัพท์ แล้วลังเลเล็กน้อย เพราะเป็นสายจากหลินเจวี๋ย เจ้าตำหนักรองของตำหนักซิวหลัวโดยปกติแล้ว เขาไม่ค่อยโทรมาหาเย่เทียนหยู่หรอก“รับเถอะ เรื่องของเรารอคุยกันทีหลังก็ได้ แม่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี” มู่หรงอินรีบพูด“ครับ!”เย่เทียนหยู่พยักหน้า แล้วรับสาย พูดเสียงเข้มว่า “หลินเจวี๋ย มีอะไรเหรอ?”“เจ้าตำหนัก เมื่อวานนี้ เจวี๋ยซินจากสำนักเจวี๋ยฉิง ได้มาที่ตำหนักซิวหลัว และเอาชนะผมด้วยท่าเดียว” หลินเจวี๋ยหัวเราะอย่างขมขื่น เพราะฝีมือของเขายังอ่อนอยู่แต่ฝีมือของเจวี๋ยซินก็ร้ายกาจเกินไป ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับกลาง แต่ก็รับมือกับอีกฝ่ายไม่ได้เลย เขาไม่รู้ว่าเจ้าตำหนักจะรับมือไหวหรือเปล่า“สำนักเจวี๋ยฉิง?”“ท่าเดียว?”เย่เทียนหยู่ขมวดคิ้ว เขาพอรู้จักสำนักเจวี๋ยฉิง แต่เจวี๋ยเทียนมีฝีมือร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ? หลินเจวี๋ยก็ฝีมือไม่ธรรมดา จึงถามว่า “เขาต้องการอะไร?”“เขาบอกว่าตำหนักซิวหลัวเป็นสาขาของสำนักศักดิ์สิทธิ์ และต้องการให้เรากลับไปอยู่กับสำนักศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อฟังคำสั่งของเขา ใครเชื่อฟังก็รุ่งเรือง ใค
“ยิ่งกว่านั้น มันเพิ่งติดต่อผมมา และก็สั่งให้เราเชื่อฟังคำสั่งของมัน ถ้าไม่เชื่อฟัง มันจะฆ่าล้างสำนักเรา”ถึงแม้ว่าหยางผั่วจวินจะไม่ได้เห็นมันใช้ฝีมือด้วยตาตัวเอง แต่เพียงแค่ดูรอยฝ่ามือ เขาก็รู้ถึงความน่ากลัวของมันแล้ว“ได้ ฉันรู้แล้ว ตกลงไปเถอะ ถึงเวลานั้น เราจะไปพบกับสำนักเจวี๋ยฉิง” เย่เทียนหยู่พยักหน้าหลังจากวางสาย มู่หรงอินก็อึ้งไป เพราะเย่เทียนหยู่ไม่ได้ปกปิดอะไรเธอ ด้วยการได้ยินและการวิเคราะห์ของเธอ เธอก็เดาได้หลายอย่าง และมองเย่เทียนหยู่ด้วยความงุนงงเมื่อเห็นท่าทางของมารดา เย่เทียนหยู่จึงพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายว่า “สำนักราชาผีถูกข้าควบคุมไว้แล้ว พวกเขาก็เป็นสาขาหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์ และถูกสำนักเจวี๋ยฉิงคุกคามอยู่”“สำนักราชาผี ตำหนักซิวหลัวรา เป็นของลูกหมดเลย”มู่หรงอินพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “รวมทั้งสำนักเงาของเราด้วย เท่ากับว่ามีห้าสำนัก เรามีถึงสามสำนักแล้ว”“ใช่ครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าแม่จะเป็นคนของสำนักเงา”เย่เทียนหยู่ไม่รู้มาก่อน แต่จากการแนะนำตัวของทูตทั้งสอง และการแนะนำของมารดา เธอตั้งใจพูดคำว่า “สำนักเงา” เขาจึงเข้าใจทันทีเขาไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ดูแลสำน
เท่าที่เย่เทียนหยู่รู้ ตำหนักซิวหลัวนอกจากเขาแล้ว ก็มีเพียงหลินเจวี๋ยเจ้าตำหนักรองเท่านั้นที่เป็นปรมาจารย์ระดับกลางสำนักราชาปีศาจยิ่งแย่กว่า มีเพียงแต่ประมุขเท่านั้นที่เป็นปรมาจารย์ ถึงแม้ว่าประมุขจะเกือบจะก้าวไปสู่ขั้นสูงสุดแล้ว แต่ก็ถูกเขาทำลายไปแล้วเมื่อเทียบกับสำนักเงา มารดาของเขาเป็นปรมาจารย์ระดับสูง และทูตทั้งสามก็เป็นปรมาจารย์ฝีมือสูง โดยเฉพาะทูตใหญ่ เป็นปรมาจารย์ขั้นสูงสุดถึงแม้ว่าจะเพิ่งก้าวไปสู่ขั้นสูงสุดไม่นาน แต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์ระดับสูงอยู่มากเขาไม่รู้ว่าสำนักเจวี๋ยฉิงมีความสามารถมากแค่ไหน แต่การที่มันกล้าเย่อหยิ่งเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่ามันไม่ธรรมดาถึงแม้ว่าปรมาจารย์ฝีมือสูงจะมีไม่มาก แต่ผู้ยอดฝีมือและทรัพยากรอื่นๆ ก็มีความสำคัญเช่นกันแต่ละสำนักต่างก็มีทรัพยากรและสินทรัพย์มหาศาล ตำหนักซิวหลัวก็เช่นกัน ตระกูลผู้ดีและมหาเศรษฐีหลายตระกูล ก็เป็นเพียงหุ่นเชิดของพวกเขาพวกเขาทั้งหมดให้เงินทุน ยังไม่รวมสินทรัพย์อื่นๆ ที่พวกเขาลงทุนอีกถ้ารวมทั้งหมดเป็นเงิน อาจจะถึงหลายแสนล้านเพราะเพียงแค่เทียนเฟิงกรุ๊ปของมู่หรงอิน ก็มีมูลค่าตลาดเกินล้านล้านแล้ว“เทียนห
“ครับ!”ทูตใหญ่ตอบด้วยความตื่นเต้น ในขณะนั้นเลือดในกายของเขากำลังเดือดพล่าน“งั้นทูตใหญ่ก็ไปทำงานก่อนเถอะ ฉันกับเสี่ยวเทียนยังมีเรื่องต้องคุยกันอีกมาก” มู่หรงอินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา“ครับ ขอโทษที่รบกวนประมุขและนายน้อยประมุขนะครับ”ทูตใหญ่จากไปด้วยความยินดี ในครั้งนี้ ในที่สุดเขาก็สามารถแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่แล้วแต่ทันทีที่ทูตใหญ่จากไป โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นหมายเลขที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงรับสาย“เสี่ยวเทียน ผมเอง ผมคือ...”เย่ไป๋เชิ่งยังพูดไม่จบ ก็พบว่าอีกฝ่ายตัดสายไปแล้วเขาอึ้งไปเล็กน้อย แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ไอ้หนุ่มนี่ มันช่างเด็ดขาดจริงๆดูเหมือนว่าจะต้องหาวิธีไปเจอหน้าเขาเสียแล้ว มิฉะนั้น เขาคงไม่รับโทรศัพท์ของผมแน่ในขณะนี้ เย่เทียนหยู่ตั้งใจอยากรู้เรื่องราวในอดีต ไหนจะมีเวลาสนใจคุณปู่เย่ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องการหาความจริงว่าคุณปู่เย่ทำอะไรไปในอดีตใช่หรือเปล่าว่าเป็นการจงใจทำร้ายแม่ลูกคู่นั้นเมื่อเห็นเย่เทียนหยู่วางสาย มู่หรงอินจึงพูดว่า “เทียนหยู่ เมื่อครู่แม่คงคิดไม่รอบคอบ เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครรู้ความสามารถที่แท้จริงของเจวี๋ยเทียน...”“แม่ครับ ไม
แม้ว่าจะเป็นเพียงกระบวนท่าเดียว แต่ก็สามารถทำให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่น่ากลัวของเย่เทียนหยู่ได้ ประมุกสำนักดอกไม้อย่างเยว่เหลียนหานและศิษย์ในสำนักนอกจากรู้สึกตกใจกับความแข็งแกร่งของเย่เทียนหยู่แล้ว ยังรู้สึกอับอายในใจอีกด้วยตอนแรกพวกเธอต่างพากันดูถูกอีกฝ่ายแทบจะตลอดเวลา กระทั่งยังคิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กไม่รู้จักโตด้วยซ้ำแม้จะสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงก่อนจะลงไปต่อสู้กับเจวี๋ยเทียน แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถืออยู่ดี โชคดีที่ไม่ได้พูดออกไปจริง ๆ ไม่เช่นนั้นคงจะรู้สึกอายมากกว่านี้เป็นแน่ในเวลานี้ เมื่อเห็นท่าทีสง่างามและดูมั่นใจของเย่เทียนหยู่แล้ว ดวงตาของสองพี่น้องเยว่เหลียนหานและเยว่เหลียนเวยต่างก็แสดงออกถึงความชื่นชมอย่างลึกซึ้งออกมาคนที่มีความสง่างามและทรงพลังเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจและรู้สึกชอบได้จริง ๆเพียงแต่น่าเสียดาย ที่หน้าตาอาจจะบกพร่องไปนิดหน่อยเพราะไม่อย่างนั้น ป่านนี้คงทำให้ผู้หญิงนับหมื่นหลงใหลได้แน่ ต่อให้เป็นพวกเธอสองพี่น้องก็อาจจะตกหลุมรักได้เช่นกันหลินเจวี๋ยตาเบิกกว้าง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าตำหนักถึงไม่ต้องการให้เขาช่วย
“งั้นก็เข้ามาเลย!”สีหน้าเจวี๋ยเทียนดูเย็นชา เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะแค่ขู่เฉย ๆ ก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตนยังมีเวทอาคมที่เตรียมเอาไว้อยู่ในมือ ใครหน้าไหนจะสู้กับตนได้กัน?เสียงพูดยังไม่ทันจะจบ เขาก็เคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็วราวกับภูตผี ก่อนจะไปหยุดยืนอยู่ตรงตำแหน่งจุดศูนย์กลางของลานประลองทันทีเย่เทียนหยู่เองก็เช่นกัน เขาเคลื่อนไหวแทบจะในทันที ก่อนจะมายืนอยู่ตรงข้ามกับเจวี๋ยเทียนเพียงแต่ว่า พลังที่ทั้งสองแสดงออกมานั้นไม่ได้ชัดเจนสักเท่าไหร่ จึงยากที่จะบอกได้ว่าใครแข็งแกร่งกว่ากันโดยเฉพาะเย่เทียนหยู่ ดูเหมือนว่าพลังของเขานั้นจะถูกควบคุมเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับน้ำในบ่อที่นิ่งสงบ ซึ่งทำให้เขาดูไม่เหมือนปรมาจารย์ผู้ทรงพลังเลยแม้แต่น้อยแต่ยิ่งมันเป็นแบบนี้ เจวี๋ยเทียนก็ยิ่งไม่กล้าที่จะประมาท เขามองตรงไปข้างหน้า ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาออกไปว่า “เจ้าตำหนักหยู่ ผมจะลงมือแล้วนะ รับเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน!”“เริ่มเลยเถอะ!”เย่เทียนหยู่พูดอย่างใจเย็น ท่าทีดูไม่รีบร้อนแต่อย่างใดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูถูกตนแบบนี้ นั่นจึงทำให้เจวี๋ยเทียนรู้สึกโ
“ครับ เจ้านาย!”เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เทียนหยู่ หยางผั่วจวินก็กลับไม่โต้แย้งเลยแม้แต่คำเดียว เขาเพียงก้มตัวและโน้มศีรษะด้วยท่าทีเคารพเท่านั้น ก่อนจะถอยกลับไปฉากนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงอีกครั้งอย่างอธิบายไม่ได้เมื่อกี้ท่าทีของหยางผั่วจวินดูหยิ่งยโสอย่างมาก แทบจะไม่มีใครสามารถเทียบเคียงเขาได้เลย แต่เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับเจ้าตำหนักหยู่ กลับแสดงท่าทีเคารพออกมาเสียอย่างนั้น ให้เกียรติมากถึงขั้นเรียกว่าเจ้านายเลยด้วยที่สำคัญเลยก็คือ ดูเหมือนว่าเขาจะทำเพราะความเต็มใจเสียด้วยซ้ำนี่จึงยิ่งทำให้ในใจของเจวี๋ยเทียนเกิดความมืดมนขึ้นมานิดหน่อย แต่เมื่อลองนึกดูอีกที ต่อให้เจ้าตำหนักหยู่จะแข็งแกร่งมากแค่ไหน ก็คงไม่มีทางแข็งแกร่งถึงขั้นนั้นแน่นอนเว้นเสียแต่ว่า เขาจะเลื่อนขั้นถึงระดับเทพยดาแดนดินแล้วแต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ในวัยแค่นี้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถทำได้ส่วนหยางผั่วจวิน เจ้าเด็กนั่นมีร่างกายที่แปลกประหลาด เขามีพรสวรรค์ที่โดดเด่น แตกต่างจากคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง นั่นจึงไม่อาจมองเขาเป็นแค่คนธรรมดาได้เพราะด้วยเหตุนี้ เจวี๋ยเทียนจึงคิดว่าเย่เทียนห
แต่สีหน้าของเจวี๋ยซินกลับเริ่มเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาถึงขั้นยอมสละทุกอย่างออกไปจนหมดแล้วแท้ ๆ แต่กลับทำอะไรอีกฝ่ายได้เลยไม่มีกระทั่งบาดแผลเลยแม้แต่น้อย!เป็นไปได้ยังไง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้!ทันใดนั้นเลือดก็พุ่งออกจากปาก ก่อนจะสลบไปในทันที“เจวี๋ยซิน!”เจวี๋ยเทียนตกใจมาก เขาจึงรีบตรวจสอบร่างกายของเขาโชคดี ที่มันเป็นแค่ผลข้างเคียงจากการใช้ยาจนร่างกายอ่อนแอลงก็เท่านั้น ก่อนจะนำยาสองสามเม็ดให้เขากิน จากนั้นจึงเรียกให้ยอดฝีมือคนอื่นพาไปดูแลต่อเมื่อเห็นเจวี๋ยซินกำลังถูกยกลงไปจากสนาม แววตาของหยางผั่วจวินก็เป็นประกาย ก่อนจะพูดว่า “เจวี๋ยเทียน เจวี๋ยซินถูกฉันจัดการจนอยู่ในสภาพนี้แล้ว มันกลายเป็นสวะไปแล้ว งั้นแกก็รีบขึ้นมาแก้แค้นแทนเขาเถอะ มาจัดการฉันซะสิ?”“......”คนอื่น ๆ ต่างก็หมดคำจะพูด หยางผั่วจวินคนนี้ต้องการจะทำให้เจวี๋ยเทียนโกรธจนตายเลยรึไง อวดดีเกินไปแล้วพวกเขาคิดแค่ว่าหยางผั่วจวินกำลังตั้งใจจะดูถูกเจวี๋ยเทียน แต่จริง ๆ แล้วหยางผั่วจวินแค่ต้องการต่อสู้เท่านั้นทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเจวี๋ยเทียน เพื่อดูว่าจะรับมือกับอีกฝ่ายอย่างไรหากเขาปฏิเสธ นั่นก็เท่ากับ
เจวี๋ยซินส่งเสียงคำรามออกมาเสียงดัง ร่างกายของเขากลับมามีพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ทำให้ท่าทีของเขาดูเหมือนคนบ้ายิ่งกว่าเดิม ดวงตาของเขาแดงก่ำสีหน้าของหยางผั่วจวินดูมืดลง เขารู้ ว่าอีกฝ่ายกำลังจะใช้ท่าไม้ตายแล้วหลังจากท่านี้ถูกปล่อยออกมา อีกฝ่ายจะไม่สามารถต่อสู้ได้อีกแน่นอนตัวเขาเองก็ทำการรวบรวมกำลังภายในของตนด้วยเช่นกัน ความน่าสะพรึงกลัวของชี่แท้ถูกหลอมรวมเอาไว้ที่หมัดทั้งสองข้างทันที เพื่อเตรียมพร้อมรับการโจมตีที่ดีที่สุดทุกคนต่างจ้องมองฉากตรงหน้าด้วยความตั้งใจ เพราะพวกเขารู้ดีว่าหลังจากทำการปล่อยท่านี้ออกไป ผลแพ้ชนะของทั้งสองก็จะปรากฏออกมาแล้วเป็นอย่างที่คิด เวลาหลังจากนั้นผ่านไปเพียงชั่วขณะ ความแข็งแกร่งอันทรงพลังทั้งสองก็เข้าปะทะกันอย่างรุนแรงทันใดนั้น บรรยากาศรอบ ๆ ราวกับฟ้าถล่มดินทลาย เสียงระเบิดที่น่ากลัวดังขึ้นซ้อนกันเป็นระยะ ๆ ทั่วทั้งพื้นที่โดยรอบมีเพียงกระแสของกำลังภายในที่น่าทึ่งลอยเต็มไปหมดพื้นที่ทั้งหมดถูกฉีกขาดอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นพายุหมุนที่พัดผ่านไปมาทั้งสองคนติดอยู่ด้านในกับสถานการณ์ที่ไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนผลกระทบที่เกิดจากพลังอันน
“สายเกินว่าที่แกจะเข้าไปขวางแล้วล่ะ”“ก็แล้วแต่แกจะคิด เสร็จรึยัง ฉันแทบรอไม่ไหวแล้วเนี่ย” หยางผั่วจวินพูดด้วยความตื่นเต้น รู้สึกราวกับว่าคนตรงหน้าคือสาวงามที่หาใดเปรียบแทบอยากกระโจนเข้าไปกระชากเสื้อผ้าออกจนเกลี้ยงเขาแทบรอไม่ไหวแล้วจริง ๆคนอื่น ๆ ต่างมองฉากนี้ด้วยความงงงวย และหมดคำจะพูดไปโดยสิ้นเชิงบางครั้งพวกเขาก็อยากจะพูดออกไปว่า เจ้าเด็กนี่กำลังรนหาที่ตายอยู่รึไง ในตอนแรกพวกเขาอาจจะคิดแบบนี้ แต่ผลที่ได้กลับกลายเป็นว่าหมัดที่ทรงพลังนั้นได้ตอบคำถามทั้งหมดกับพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าพวกเขาคิดผิด กระทั่งผิดจนไม่อาจให้อภัยได้เลยทีเดียวแต่คำพูดนี้ กลับทำให้เจวี๋ยซินโกรธจัดทันทีเห็นเพียงกำลังภายในของเจวี๋ยซินที่กำลังพุ่งสูงขึ้นจนถึงจุดที่น่ากลัว ดวงตาสองข้างแดงก่ำ จ้องมองไปทางหยางผั่วจวินอย่างโหดเหี้ยม ก่อนจะพูดด้วยความโกรธออกไปว่า “เจ้าหนู แกตายซะเถอะ!”หลังจากที่เขาพูดจบ เจวี๋ยซินก็พุ่งตรงเข้าหาหยางผั่วจวินทันที พร้อมกับพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวจนน่าตกใจ“เข้ามาเลย!”หยางผั่วจวินเองก็ตรงเข้าไปเผชิญหน้าโดยตรงเช่นกัน เมื่อเขาเห็นพลังที่เพิ
เมื่อเห็นว่าหยางผั่วจวินไม่ได้รับบาดแผลเลยแม้แต่น้อย แถมยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ อีกต่างหาก เจวี๋ยซินกลับแทบพังทลายอยู่รอมร่อ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นคนที่ภูมิใจในตัวเองมาโดยตลอด จะให้ทนอับอายอยู่แบบนี้ได้อย่างไรเมื่อเจวี๋ยเทียนเห็นฉากนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยแย่แล้ว! สถานการณ์แบบนี้เขาไม่มีทางยอมแพ้แน่ เกรงว่าเขาคงจะเปิดใช้เวทอาคมเป็นแน่ จะทำอย่างไรดีเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงแววตาแดงก่ำของเจวี๋ยซิน เขาบ่นพึมพำขึ้นมาว่า “เวรเอ้ย ฉันไม่มีทางยอมแพ้ให้กับเด็กเมื่อวานซืนอย่างแกแน่!”ทันทีที่เขาพูดจบ มือขวาของเขาก็ยาเม็ดหนึ่งออดมา ก่อนจะกลืนมันลงไปทันทีสีหน้าเจวี๋ยเทียนเปลี่ยนไปอย่างมาก คนอื่นอาจจะยังไม่รู้ แต่เขากลับรู้ดีว่าเจวี๋ยซินคิดจะทำอะไรเขาต้องการที่จะหยุดยั้งเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่ทันแม้แต่จะได้เอ่ยปาก เพราะนอกจากสิ่งนี้ ก็แทบจะไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้อีกแล้วทุกคนต่างพากันชะงักไปชั่วขณะ การที่เลือกกินยารักษาบาดแผลในเวลานี้ เกรงว่าคงจะไม่ช่วยอะไรมากนักแต่ในเวลาต่อมา เจวี๋ยซินก็ได้เริ่มทำการใช้วิชามารที่คนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้อย่าง วิชามหาเวทสลายชีพจรทันที ผ่านไป
“เข้ามาเลย!”สีหน้าหยางผั่วจวินเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาเองก็เริ่มด้วยเช่นกันในชั่วพริบตา ทั้งสองต่างก็นำพาพลังอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง ในเวลาอันสั้น ทั้งสองกลับมีการแลกกระบวนท่ากันไปแล้วกว่าสิบกระบวนท่าภายใต้การโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ได้มีการปลดปล่อยพลังที่น่ากลัวออกมาเรื่อย ๆ ทำให้ผู้ชมต้องตกตะลึงไปกับความตื่นตาตื่นใจทุกคนต่างจ้องมองการต่อสู้บนสนามโดยไม่ละสายตาหลัก ๆ แล้วการต่อสู้ของทั้งสองนั้นน่ากลัวและแข็งแกร่งมาก ทั้งชีวิตนี้ เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้เห็นการต่อสู้แบบนี้อีกแล้วนอกจากนี้ พวกเขาต่างก็มีผู้สนับสนุนของตนเองเวลาผ่านไปนานพอสมควร ทั้งสองถึงได้แยกออกจากกันหลังจากการเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง หยางผั่วจวินหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะพูดอย่างมีความสุขออกไปว่า “สะใจ นี่สิ ถึงจะเรียกว่าการต่อสู้!”“คนเมื่อกี้ มารโลหิตอะไรนั่นก็เป็นได้แค่ขยะเท่านั้นแหละ!”“......”ทุกคนที่กำลังตั้งใจดูการต่อสู้ จู่ ๆ พูดแบบนี้ขึ้นมา เสียมารยาทเกินไปไหมถ้าบอกว่ามารโลหิตคือขยะ เช่นนั้นพวกเราล่ะ?สีหน้าเจวี๋ยซินดูเคร่งเครียด แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เขาก็แทบจะใช
ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์พากันตกตะลึงไปตาม ๆ กันทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนพวกเขาไม่มีเวลาให้ได้ตอบสนองเลยด้วยซ้ำในเวลาอันสั้น เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ สถานการณ์ในสนามก็เปลี่ยนแปลงอย่างมาก มารโลหิตถูกสังหารในทันทีไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงว่าหยางผั่วจวินจะลงมือได้อย่างรวดเร็ว คาดไม่ถึงว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวขนาดนี้ แถมยังลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมอีกต่างหากบอกได้เลยว่า ในตอนนั้นมารโลหิตเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าตนจะต้องมาพบกับชะตากรรมเช่นนี้ในใจของตู๋เปียนฝูและบรรพจารย์หวงเฉวียนต่างก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน พลังของพวกเขาต่างจากมารโลหิตก็จริง กระทั่งยังแข็งแกร่งกว่านิดหน่อยด้วยซ้ำ แต่เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากพวกเขาบุกเข้าไป ก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่ในเวลานี้ พวกเขารู้สึกโชคดีมากจริง ๆโดยเฉพาะตู๋เปียนฝู เมื่อกี้เขาเองก็กำลังคิดที่จะลงมือเช่นกันถ้าหากเขาลงมือจริง ๆ ตอนนี้คนที่นอนกองอยู่บนพื้นก็คงเป็นเขาไปแล้วปรมาจารย์ที่แท้จริง น่ากลัวขนาดนี้เชียวเหรอ?พวกเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าระดับปรมาจารย์ที่ตนมีอยู่ตอนนี้จะเป็นของปลอมรึเปล่าเย