เมื่อเสียงของชิงหลงเงียบลง ดาบในมือของเขาปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า ดาบมีพลังสูงส่ง จนถึงขั้นที่พลังดาบห่อหุ้มตัวเขาให้กลายเป็นดาบยักษ์ ร่างกายของเขาก็เข้าเป็นหนึ่งกับดาบยาวจากนั้นเขาได้รวมร่างกับดาบและพุ่งตรงไปทางเย่เทียนหยู่ ราวกับว่าพื้นที่รอบข้างได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง แตกสลายไม่หยุดท่าต่อสู้นี้เรียกว่า “การทำลายจักรวาล” ได้รวมพลังทั้งหมดของเขาเข้าไว้ด้วยกัน และปล่อยออกมาหมายถึงการโจมตีที่น่ากลัวที่สุด ในโลกนี้ ไม่มีใครสามารถต้านทานได้!ในช่วงเวลานี้ สีหน้าของผู้เฒ่าราชามังกรงเปลี่ยนไปอย่างมาก ท่าที่ใหญ่โตเช่นนี้ แม้แต่เขาก็ไม่มีวิธีที่จะรับมือ หากเขาเผชิญหน้ากับมัน จะต้องตายแน่นอน“ถอย!” ผู้เฒ่าราชามังกรตะโกนเสียงดัง นำมู่หรงอินที่บาดเจ็บและคนอื่น ๆ ถอยกลับอย่างรวดเร็วจริง ๆ แล้วไม่ต้องรอให้เขาพูด ทุกคนที่มาชมก็ถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นนั้นน่ากลัวเกินไปพวกเขาไม่เพียงแค่ถอยกลับเล็กน้อย แต่ถอยไปมากถึงหลายสิบเมตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เชี่ยวชาญจากผู้อารักขาเฟยหลง ที่ติดตามชิงหลงมาเย่เทียนหยู่ก็รู้สึกถึงพลังและแรงกดดันอันน่ากลัวนั้น ดูเหมือ
ในที่สุด พวกเขาก็ได้เห็นเย่เทียนหยู่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างมั่นคง ถึงแม้เสื้อผ้าจะรุ่มร่าม แต่ชัดเจนว่าเขาอยู่ในสภาพที่ดี ในขณะที่ชิงหลงกลับดูอ่อนแรง คุกเข่าบนพื้นสามารถเห็นได้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักเขาชนะแล้วหรือ?พวกเขาทุกคนรู้สึกถึงความไม่เชื่อในดวงตาของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะกระหายให้เย่เทียนหยู่ชนะ แต่ก็อดที่จะไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าของพวกเขาไม่ได้พวกเขาจึงหันไปมองผู้เฒ่าราชามังกรผู้เฒ่าราชามังกรก็รู้สึกตกใจและงงงวย เขาไม่เคยรู้สึกตกใจขนาดนี้มาก่อนในชีวิต และพูดออกมาว่า “เด็กคนนี้ช่างเป็นอสูรในหมู่ของอสูรจริง ๆ!”“หรือว่า เทียนหยู่ชนะจริง ๆ ?” มู่หลงอินถามผู้เฒ่าราชามังกรพยักหน้า ด้วยพลังของเขา เขาสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ของทั้งสองคนได้อย่างง่ายดาย และดูเหมือนว่าเทียนหยู่เป็นฝ่ายได้เปรียบในขณะนี้หยางผั่วจวินเต็มไปด้วยแสงตาและความชื่นชม “สมแล้วเป็นคุณชาย เพียงแค่พลังเมื่อกี้สามารถทำลายโลกได้ หากเป็นตัวเขาเองก็ต้องตายแน่นอนในหนึ่งท่า”ถังวั่นหลี่ถึงกับตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง นั่นคือชิงหลง อัจฉริยะที่หายากพันปี ที่สามารถถอยจนฆ่าปรมาจารย์ได้ในวัยหนุ่ม
ในขณะนั้น สีหน้าของชิงหลงเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาคิดว่าเย่เทียนหยู่คงไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ แต่กลับไม่คาดคิดว่าเขายังคงมีพลังเหลือเฟือมากพอที่จะสังหารเขาได้ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งนี้ เขาจะพ่ายแพ้อย่างราบคาบ!ทำให้เขาแทบรับไม่ได้ในทันที“เทียนหยู่ คุณเป็นอย่างไรบ้าง?”เมื่อถึงตอนนี้ มู่หรงอินหยินรีบเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง หลังจากนั้นสักพัก บาดแผลภายในตัวเธอก็ดีขึ้นมาก อย่างน้อยก็สามารถลุกขึ้นยืนและเดินได้โดยไม่มีปัญหา“ไม่เป็นไร แค่ใช้พลังปราณไปบ้าง”เย่เทียนหยู่ส่ายหัว แล้วก้าวไปข้างหน้า มุ่งหน้าไปยังที่ที่ชิงหลงอยู่สีหน้าของชิงหลงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไอ้หนุ่มนี่มันตั้งใจจะเอาชีวิตฉันจริงๆ หรืออดีตราชามังกรก็ตกใจเล็กน้อย รู้สึกกังวล ไอ้หนุ่มนี่ปกติก็เชื่อฟัง แต่บางเรื่องเมื่อมันตั้งใจจริง แม้แต่ตัวเองก็ไม่อาจห้ามได้“เทียนหยู่…”“อาจารย์ ท่านไม่ต้องห่วง! ถ้าผมอยากฆ่าเขาจริงๆ ตอนนี้เขาคงเป็นศพไปแล้ว” เย่เทียนหยู่พูดเสียงเรียบ ไม่ได้พูดเยาะเย้ยแต่อย่างใดแต่ชิงหลงฟังแล้วรู้สึกหูชา มองเย่เทียนหยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ“คุณยังโกรธอีกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าคุณปกป้องอ
ชิงหลงฮึดฮัด ลุกขึ้นแล้วตะโกนสั่ง “ไปกัน!”พร้อมกับสั่งพวกคนของเขาอย่างเร่งด่วนว่า เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ห้ามบอกใครเด็ดขาด มิฉะนั้นพวกเขาจะตายกันหมดเขานั่งอยู่บนบัลลังก์อันดับหนึ่งของโลกมานาน เขาไม่อยากเสียบัลลังก์นี้ไป ก่อนที่เขาจะก้าวไปสู่ขั้นเทพผู้เป็นอมตะ เขาจะไม่ยอมให้ใครมาหัวเราะเยาะเขาเป็นอันขาดเมื่อถึงวันที่ก้าวไปถึงขั้นนั้น เขาจะเอาศักดิ์ศรีของเขากลับคืนมาดวงตาของมู่หรงอินเต็มไปด้วยความปลื้มปิติและตื่นเต้น เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าสักวันหนึ่งลูกชายของเธอจะเติบโตขึ้นมาถึงขั้นที่น่ากลัวเช่นนี้ทูตทั้งสองคนก็มองเย่เทียนหยู่ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายทำให้เย่เทียนหยู่รู้สึกประหม่าเล็กน้อย พวกผู้หญิงแก่สองคนนี้จะคิดอะไร หรือว่าจะหมายปองเขา?ในขณะนั้นเอง หยางผั่วจวินและอีกสองคนก็ก้าวเข้ามาหาเย่เทียนหยู่มู่หรงอินและคนอื่นๆ ตกใจ รีบเตรียมตัวต่อสู้ ที่จริงแล้วพวกเขาทุกคนก็รู้ว่าเย่เทียนหยู่ยังมีพลังเหลืออยู่บ้าง แต่ก็แทบจะหมดแล้วหากเจอกับปรมาจารย์ฝีมือสูงจริงๆ ก็ยังคงอันตรายมากอยู่ดีแต่ผู้เฒ่าราชามังกรกลับแสดงสีหน้าตกตะลึง นิ่งเฉยเย่เทียนหยู่รีบห้ามทูตทั้งสองคนไว้ แล้วส่าย
เมื่อได้เห็นลูกชายที่ไม่ได้พบกันมานาน มู่หรงอินอดไม่ได้ที่จะโอบกอดเขา แล้วร้องไห้กล่าวว่า “เสี่ยวเทียน แม่ไร้ความสามารถ แม่ขอโทษนะลูก ที่ทำให้ลูกต้องลำบาก”ถึงแม้จะอยู่ในช่วงเวลาคับขัน แต่เธอก็ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของเย่เทียนหยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้เรียกชื่อเล่น “เสี่ยวเทียน” แต่เรียกชื่อ “เทียนหยู่” แทน“แม่ครับ อย่าพูดอย่างนั้นเลย เรื่องสมัยเด็กๆ ผมจำได้ดี เราถูกมือสังหารตามล่า แม่ต้องดูแลผมเพียงลำพัง เจออันตรายมาหลายครั้ง สุดท้ายก็จำเป็นต้องทิ้งผมไว้ แม่ไม่ผิดหรอก”“ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ ผมก็คงตายไปตั้งนานแล้ว”“อย่าพูดอย่างนั้น ลูกจะไม่ตายหรอก”มู่หรงอินรีบห้ามไว้“ใช่ ผมจะไม่ตาย แม่ก็จะไม่ตายด้วย ตอนนี้เราปลอดภัยแล้ว และต่อไปนี้ก็จะปลอดภัยด้วย ใครก็ตามที่กล้าแตะต้องเรา ผมจะกำจัดมันให้หมด”เย่เทียนหยู่พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว“อืม ความสามารถของลูก เกินความคาดหมายของแม่จริงๆ”พูดถึงตรงนี้ มู่หรงอินใจเต้น นึกถึงจี้ที่ทุกคนปรารถนา จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “หรือว่าลูกจะ…”“หรือว่าอะไร?”“ไม่มีอะไร!”มู่หรงอินสังเกตเห็นว่ามีคนอยู่ใกล้ๆ ถึงแม้จะเป็นคนที่ไว้ใจที่สุด เธอก็ยังหยุดพูด แ
นี่มันเกินกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้ถ้าหากว่าพลังปราณในร่างกายของพวกเขาเป็นแม่น้ำสายใหญ่ แล้วพลังปราณของนายน้อยประมุขก็เปรียบเสมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะเอาชนะชิงหลงได้อย่างง่ายดายด้วยนายน้อยประมุขเช่นนี้ พวกเขายังจะมีอะไรต้องกังวลอีกโดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ พวกเขากำลังเผชิญกับเรื่องสำคัญที่ยากจะตัดสินใจ และนายน้อยประมุขก็กลับมาพอดี ตำแหน่งประมุขของสำนักศักดิ์สิทธิ์ สมควรเป็นของท่านและก็มีเพียงท่านเท่านั้น ที่จะนำพาสำนักศักดิ์สิทธิ์กลับสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้งหลังจากที่บาดแผลหายเป็นปกติแล้ว พวกเขาก็จากไปทันที แต่ครั้งนี้ มู่หรงอินและคนอื่นๆ ถูกพาไปที่โซนสกายพาเลซหนึ่งเพราะที่นั่นมีพื้นที่กว้างขวาง และเหมาะแก่การฝึกฝน การที่ให้พวกเขาเข้าไปอยู่ที่โซนสกายพาเลซหนึ่ง จึงเป็นทางเลือกที่ดีมากเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มู่หรงอินและเย่เทียนหยู่ก็มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง เธอมองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทรงจำ แล้วกล่าวว่า “เทียนหยู่ แม่รู้ว่าลูกมีคำถามมากมาย”“ก่อนหน้านี้ แม่กลัวว่าลูกจะยังไม่มีความสามารถพอ จึงไม่กล้าบอกลูก แต่ตอนนี้
ในขณะนั้น โทรศัพท์ของเย่เทียนหยู่ก็ดังขึ้น เขาเหลือบไปมองหมายเลขโทรศัพท์ แล้วลังเลเล็กน้อย เพราะเป็นสายจากหลินเจวี๋ย เจ้าตำหนักรองของตำหนักซิวหลัวโดยปกติแล้ว เขาไม่ค่อยโทรมาหาเย่เทียนหยู่หรอก“รับเถอะ เรื่องของเรารอคุยกันทีหลังก็ได้ แม่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี” มู่หรงอินรีบพูด“ครับ!”เย่เทียนหยู่พยักหน้า แล้วรับสาย พูดเสียงเข้มว่า “หลินเจวี๋ย มีอะไรเหรอ?”“เจ้าตำหนัก เมื่อวานนี้ เจวี๋ยซินจากสำนักเจวี๋ยฉิง ได้มาที่ตำหนักซิวหลัว และเอาชนะผมด้วยท่าเดียว” หลินเจวี๋ยหัวเราะอย่างขมขื่น เพราะฝีมือของเขายังอ่อนอยู่แต่ฝีมือของเจวี๋ยซินก็ร้ายกาจเกินไป ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับกลาง แต่ก็รับมือกับอีกฝ่ายไม่ได้เลย เขาไม่รู้ว่าเจ้าตำหนักจะรับมือไหวหรือเปล่า“สำนักเจวี๋ยฉิง?”“ท่าเดียว?”เย่เทียนหยู่ขมวดคิ้ว เขาพอรู้จักสำนักเจวี๋ยฉิง แต่เจวี๋ยเทียนมีฝีมือร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ? หลินเจวี๋ยก็ฝีมือไม่ธรรมดา จึงถามว่า “เขาต้องการอะไร?”“เขาบอกว่าตำหนักซิวหลัวเป็นสาขาของสำนักศักดิ์สิทธิ์ และต้องการให้เรากลับไปอยู่กับสำนักศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อฟังคำสั่งของเขา ใครเชื่อฟังก็รุ่งเรือง ใค
“ยิ่งกว่านั้น มันเพิ่งติดต่อผมมา และก็สั่งให้เราเชื่อฟังคำสั่งของมัน ถ้าไม่เชื่อฟัง มันจะฆ่าล้างสำนักเรา”ถึงแม้ว่าหยางผั่วจวินจะไม่ได้เห็นมันใช้ฝีมือด้วยตาตัวเอง แต่เพียงแค่ดูรอยฝ่ามือ เขาก็รู้ถึงความน่ากลัวของมันแล้ว“ได้ ฉันรู้แล้ว ตกลงไปเถอะ ถึงเวลานั้น เราจะไปพบกับสำนักเจวี๋ยฉิง” เย่เทียนหยู่พยักหน้าหลังจากวางสาย มู่หรงอินก็อึ้งไป เพราะเย่เทียนหยู่ไม่ได้ปกปิดอะไรเธอ ด้วยการได้ยินและการวิเคราะห์ของเธอ เธอก็เดาได้หลายอย่าง และมองเย่เทียนหยู่ด้วยความงุนงงเมื่อเห็นท่าทางของมารดา เย่เทียนหยู่จึงพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายว่า “สำนักราชาผีถูกข้าควบคุมไว้แล้ว พวกเขาก็เป็นสาขาหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์ และถูกสำนักเจวี๋ยฉิงคุกคามอยู่”“สำนักราชาผี ตำหนักซิวหลัวรา เป็นของลูกหมดเลย”มู่หรงอินพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “รวมทั้งสำนักเงาของเราด้วย เท่ากับว่ามีห้าสำนัก เรามีถึงสามสำนักแล้ว”“ใช่ครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าแม่จะเป็นคนของสำนักเงา”เย่เทียนหยู่ไม่รู้มาก่อน แต่จากการแนะนำตัวของทูตทั้งสอง และการแนะนำของมารดา เธอตั้งใจพูดคำว่า “สำนักเงา” เขาจึงเข้าใจทันทีเขาไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ดูแลสำน
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป