เมื่อคำถามนี้ผุดขึ้นมาในหัว ซังหนี่ก็นึกถึงคู่สามีภรรยาของตระกูลซังขึ้นมาทันทีทุกครั้งที่เธอเผชิญหน้ากับพวกเขา ซังหนี่เคยถามคำถามนี้กับตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนแต่ความจริง เธอรู้อยู่แล้วว่าคำตอบคืออะไรเพียงแต่ว่าไม่ว่าจะผ่านความผิดหวังมากี่ครั้ง พอแผลเหล่านั้นสมานดีแล้ว เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะมีความหวังขึ้นมาใหม่จนกระทั่งพวกเขาทำลายหัวใจของเธอลงกับพื้นและบดขยี้จนแหลกละเอียดก็ใช่ เธอกำลังหวังอะไรอยู่กันแน่?หวังว่าพวกเขาจะรักเธอ หรือหวังว่าฟู่เซียวหานจะมองเธอต่างออกไปจริง ๆ?ตลอดสองปีที่ผ่านมา เธอยังไม่อาจละลายหัวใจที่เย็นชานั้นได้ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่จู่ ๆ เขาจะเข้ามาใกล้ชิดเธอได้?เป็นเธอเองที่ประเมินตัวเองสูงเกินไป หรือบางที...คิดเพ้อเจ้อไปเองมันเหมือนกับตอนเด็ก ๆ ที่เธอเคยยืนมองคุณปู่คนหนึ่งตั้งแผงขายอยู่หน้าประตูโรงเรียนบนแผงขายของเขา มีขนมสายไหมหลากสีสันและหลายรสชาติตอนนั้นเธออยากกินมันมาก ๆแต่ว่าเธอไม่มีเงินดังนั้น เธอทำได้แค่ยืนมองอยู่ห่าง ๆวันแล้ววันเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่าเธอรู้อยู่เต็มอกว่า ต่อให้ยืนรอจนฟ้ามืด ขนมสายไหมบนแผงนั้นก็ไม่มีวันเป็นของเธอ แ
ถังเหยาไม่เปิดโอกาสให้ซังหนี่ปฏิเสธเลยซังหนี่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันไม่นาน ทั้งสองคนก็มาถึงร้านกาแฟ“คุณมาถึงเมือง S ตั้งแต่เมื่อไหร่?”ถังเหยาถามเธอตรง ๆซังหนี่ถือถ้วยกาแฟไว้ ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “ไม่กี่วันก่อน”“อ้อ? มาคนเดียวเหรอ?”ซังหนี่ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่เงยตามองถังเหยาถังเหยาจ้องเธอสักพักก่อนจะยิ้ม แล้ววางรูปถ่ายสองสามใบลงตรงหน้าซังหนี่ “คนในรูปนี้ ใช่คุณหรือเปล่า?”——โชว์ดอกไม้ไฟ บนดาดฟ้าที่เต็มไปด้วยความคึกคัก มีคนสองคนที่กำลังกอดจูบกันในรูปนั้นใบหน้าของฟู่เซียวหานชัดเจนมากในตอนนั้นซังหนี่ถูกเขาโอบอยู่ในอ้อมแขน มือของเขากำลังประคองใบหน้าของเธออยู่พอดี ทำให้หน้าตาเธอในรูปดูไม่ชัดเจนแต่ในเมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว การปฏิเสธ...คงจะไม่มีความหมายอะไรดังนั้นหลังจากกำมือแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ซังหนี่ก็พยักหน้าช้า ๆ “ใช่ค่ะ”“งั้นคุณหนูซังก็คงรู้ดีใช่ไหมว่า ตอนนี้ฟู่เซียวหานไม่ใช่สามีของคุณอีกแล้ว แต่เขาเป็นคู่หมั้นของฉัน?”ถังเหยาพูดต่ออย่างช้า ๆ “ก่อนหน้านี้ฉันเคยเจอคุณสองครั้ง ก็คิดมาตลอดว่าคุณเป็นคนที่มีเหตุผล แต่ตอนนี้ดูเหมือนฉันจะคิดผิดไปแล้ว”“หรือว่าก
“ประธานฟู่?”คนปลายสายยังรอคำตอบจากเขาอยู่ จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย“ผมเข้าใจแล้ว”เมื่อพูดจบ ฟู่เซียวหานก็วางสายทันที ก่อนหันมามองไปที่ซังหนี่แล้วถามว่า “คุณกำลังทำอะไร?”เสียงของเขาฟังดูนิ่ง ๆ แต่กลับแฝงความตึงเครียดเล็กน้อย“เก็บของกลับเมืองถง”ซังหนี่กลับดูเหมือนไม่รู้สึกอะไร ตอบไปพร้อมกับก้มหน้าล็อกกระเป๋าเดินทางฟู่เซียวหานยังคงทำหน้าไร้อารมณ์ “หมายความว่ายังไง?”ซังหนี่จึงเงยหน้าขึ้นในที่สุด พร้อมส่งยิ้มให้เขา “ในเมื่อคุณถังมาแล้ว ถ้าฉันยังอยู่ต่อ...มันคงไม่เหมาะใช่ไหม?”คำพูดของเธอนี้ทำให้ฟู่เซียวหานหรี่ตาลงเล็กน้อย“เธอไม่ใช่คู่หมั้นของคุณเหรอ?” ซังหนี่ถามต่อหลังจากคำพูดเธอจบลง ฟู่เซียวหานจึงหัวเราะเบา ๆ “นี่คุณกำลังหึงอยู่เหรอ?”“เปล่า”ซังหนี่ก้มตาลง——เธอจะมีสิทธิ์อะไรแบบนั้นล่ะ?ฟู่เซียวหานไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงโยนเสื้อคลุมที่ถอดออกทิ้งไว้ข้าง ๆ ก่อนก้มจุดบุหรี่ในมือควันบุหรี่ถูกพ่นออก ลอยขึ้นกลางอากาศอย่างช้า ๆ ก่อนค่อย ๆ จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่กลิ่นเย็นสดชื่นของมิ้นต์คละคลุ้งในอากาศซังหนี่เพียงยืนมองเขาอยู่ตรงนั้นไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ฟู่เซียวหา
“ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา...ต้องขอบคุณประธานฟู่สำหรับความช่วยเหลือ ฉันซาบซึ้งใจมาก แต่เพื่อไม่ให้คุณถังรับรู้และเข้าใจผิดในเรื่องนี้ พวกเรา...อย่าติดต่อกันอีกเลยดีกว่า”ฟู่เซียวหานไม่ได้ตอบอะไรทันที เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น มองซังหนี่ด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์หลังจากเงียบไปพักใหญ่ เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า "ซังหนี่ คุณอยากจะตัดขาดความสัมพันธ์กับผมใช่ไหม?"ซังหนี่ไม่ตอบอะไร เพียงเงียบแล้วลากกระเป๋าเดินทางขึ้นมา——ท่าทีนี้ ชัดเจนในตัวมันเองแล้วฟู่เซียวหานหัวเราะออกมา “ใช่ ที่คุณพูดเมื่อกี้มันถูกต้อง ถ้าผมต้องการ...ผมมีตัวเลือกอีกมากมาย ซังหนี่ อย่าคิดว่าคุณเป็นคนพิเศษอะไรนักเลย”“ฉันรู้ดีอยู่แล้ว” ซังหนี่ยิ้มตอบกลับ “ฉันก็รู้เหมือนกันว่า ในใจของคุณ...ฉันไม่เคยเป็นคนพิเศษคนนั้นเลย เพราะฉะนั้น เราอย่าเสียเวลากันอีกเลย”ฟู่เซียวหานไม่ได้พูดอะไรอีกซังหนี่ก็กล่าวลาตรง ๆ “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอตัวก่อน ขอให้คุณกับคุณถังโชคดีทุกอย่าง และขอให้คุณมีความสุขในชีวิตนะ”เมื่อพูดจบ ซังหนี่ก็ลากกระเป๋าเดินทางแล้วหันหลังเดินออกไปอย่างเงียบ ๆฟู่เซียวหานไม่ได้ห้ามเธอไว้ เพียงนั่งสูบบุหรี่ต่อไปด้วยสีหน้
อีกสองเดือนต่อมาซังหนี่ได้พบกับฟู่เซียวหานอีกครั้งฉินเหยาพาเธอไปร่วมในงานประมูลแห่งหนึ่งด้วยตอนนั้น เธอกำลังอยู่ในสวนหลังบ้าน และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอคือเย่จื่อหลาน ซึ่งไม่ได้พบกันมาหลายเดือนเช่นกันเมื่อเทียบกับครั้งก่อนที่พบกัน เย่จื่อหลานดูเหมือนจะซึมเศร้าลงไปมาก ใบหน้าก็ผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับซังหนี่ เขายังคงพยายามยิ้มออกมาและพูดว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”ในใจซังหนี่บ่นฉินเหยาหลายครั้งที่พาตัวเองมาที่นี่แต่ภายนอกยังคงรักษารอยยิ้มไว้ “ใช่ค่ะ ไม่เจอกันนานเลย”“ช่วงนี้คุณเป็นยังไงบ้างครับ?” เย่จื่อหลานถามต่อ“ก็ดีค่ะ”“คุณกับประธานฟู่...ไม่ได้กลับมาคืนดีกันเหรอครับ?”ทันทีที่เย่จื่อหลานพูดจบ ความทรงจำอันเลวร้ายในรถคืนนั้นก็พุ่งเข้ามาในหัวของซังหนี่ทันทีมือที่ห้อยอยู่ข้างตัวของเธอเผลอกำแน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “ไม่ได้คืนดีค่ะ”เย่จื่อหลานไม่พูดอะไรอีกซังหนี่ทนไม่ได้กับบรรยากาศเงียบงันแบบนี้ จึงพูดออกมาตรง ๆ ว่า “ฉันกลับก่อนนะคะ”หลังจากพูดจบเธอกำลังจะเดินไปข้างหน้า แต่เย่จื่อหลานกลับยื่นมือมาจับข้อมือของเธอไว้“ถ้าอย่างนั้นคุณมาคบกับผมไหมค
เย่จื่อหลานชะงักนิ่งอยู่กับที่อยู่ตรงนั้นขณะที่มือของหญิงสาวก็ชี้ไปที่ซังหนี่ทันที“เพราะนังผู้หญิงไร้ค่าคนนี้ใช่ไหม? รู้ไหมว่าทำไมฟู่เซียวหานถึงหย่ากับมัน? ก็เพราะมันถูกผู้ชายทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี! ตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบก็ไปมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับพ่อเลี้ยงของมัน นายไม่กลัวติดโรคจากมันบ้างหรือยังไง!?"เสียงของหญิงสาวดังก้องไปทั่ว ทุกคนในห้องโถงด้านหน้าต่างพากันมารวมตัวที่นี่คำพูดที่รวดเร็วและหนักแน่นของเธอดังเข้าหูของทุกคนอย่างชัดเจนซังหนี่ชะงักค้างอยู่กับที่ ราวกับถูกแช่แข็งไว้ในทันทีรวมทั้งคำพูดที่เธอตั้งใจจะพูด ก็พลันหายวับไปในพริบตาสีหน้าของเย่จื่อหลานเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หันมามองซังหนี่แววตาอันเต็มไปด้วยความตกตะลึง และเสียงซุบซิบที่ดังระเบิดขึ้นรอบตัว ราวกับคลื่นยักษ์ที่โหมกระหน่ำโดยไม่ทันตั้งตัว กลืนกินซังหนี่จนจมดิ่งทั้งร่างซังหนี่เคยคิดว่าตัวเองจะไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วเพราะเมื่อหลายเดือนก่อน เธอได้เปิดเผยเรื่องราวในอดีตนี้ด้วยตัวเองต่อหน้าผู้คนมากมายในร้านอาหารแห่งนั้นแล้วตอนนั้นเธอก็พอจะคาดเดาได้ว่า เรื่องราวเหล่านี้เมื่อถูกเล่าต่อจากปากคนอื่น ย่อมถ
“ฉิงฉิง! นี่เธอ...”เมื่อรถกำลังจะออกตัว ก็มีใครบางคนรีบวิ่งเข้ามา ราวกับต้องการเตือนอะไรบางอย่างกับซังฉิงแต่ซังฉิงกลับส่ายหัวเบา ๆ พร้อมตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “นี่คือพี่สาวของฉัน ฉันปล่อยเธอไว้แบบนั้นไม่ได้หรอก ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่เป็นไร”ในตอนนั้น ท่าทางอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความห่วงใยของเธอ ในสายตาคนภายนอกดูราวกับเธอเป็นนางฟ้าหลังจากพูดจบ ซังฉิงก็ปิดกระจกรถทันทีในเวลาไม่นาน ภายในรถก็เหลือเพียงเธอ ซังหนี่ และคนขับรถเดิมทีซังฉิงตั้งใจจะเล่นบทบาทนี้ต่อไปอีกสักพัก แต่ในวินาทีถัดมา ซังหนี่กลับพูดขึ้นตรง ๆ ว่า“เธอเป็นคนบอกเรื่องนี้กับผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม?”ในตอนนี้ สติของซังหนี่ค่อย ๆ กลับคืนมาอีกครั้ง เธอยังคงก้มหน้าอยู่ แม้จะพยายามควบคุมน้ำเสียงให้สงบนิ่งมากที่สุด แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความสั่นไหวเล็กน้อยซังฉิงมองเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม “ใช่แล้ว”ซังหนี่เงยหน้าขึ้นสบตาเธอ“เพื่อฉากนี้ในวันนี้ ฉันลงทุนลงแรงไม่น้อยเลยนะ” ซังฉิงกระพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนพูดต่อว่า “แต่พี่คะ ก็ต้องโทษพี่เองที่ซื่อเกินไป ผู้ชายอย่างเย่จื่อหลานน่ะ พี่คิดว่าไว้ใจได้งั้นเหรอ?”“หรือบางที พี่อา
“เธอพูดเหลวไหล!”ซังฉิงพูดออกมาโดยไม่คิด ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย “ซังหนี่ เธออย่าพยายามสร้างความขัดแย้งที่นี่เลย ฉันรู้ว่าเธอก็แค่อิจฉา...”“จริงอยู่ ตอนนั้นแม่ของเขาขอให้เขาแต่งงานกับฉัน แต่ปัญหาคือฟู่เซียวหานเองก็ไม่ได้โต้แย้ง อาจเพราะว่าสำหรับเขาแล้ว...จะแต่งงานกับใครก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ”“เพราะสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ถ้าเขาชอบเธอจริงๆ เขาจะยอมให้เธอหมั้นกับฉินม่อได้ยังไง ซังฉิง เธออย่าประมาทความเสน่หาของผู้ชายเกินไป” “ดังนั้นทั้งหมดนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่า...เขาไม่ได้ชอบเธออย่างที่เธอคิด” “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ฉันกับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่เธอทำอยู่ตอนนี้มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย” ซังหนี่พูดทุกอย่างออกมาจนจบสีหน้าของซังฉิงกลับดูแย่มาก!เธอนั่งจ้องมองซังหนี่อยู่อย่างนั้น ด้วยความรู้สึกเหมือนอกแทบจะระเบิดออกมาซังหนี่ไม่พูดอะไรกับเธออีก เพียงแค่พูดกับคนขับรถด้านหน้าว่า “จอดรถค่ะ” คนขับรถไม่ได้ตอบกลับ แต่ก็ค่อยๆ หยุดรถลงอย่างช้าๆขณะที่ซังหนี่กำลังเตรียมจะลงจากรถ เสียงของซังฉิงก็ดังขึ้น “แม้ว่าสิ่งที่เธอพูดจะเป็นความจริง แล้วยังไง ซังหนี่ ต
คำพูดของฟู่เซียวหานทำให้สีหน้าของซังหนี่เปลี่ยนไปทันที ดวงตาของเธอหันไปมองเขาในพริบตาสีหน้านั้นทำให้ฟู่เซียวหานรู้สึกเจ็บปวดในอกขึ้นมาอย่างกะทันหันดูท่า...จะเป็นอย่างที่เขาเดาไว้จริง ๆถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะมีความสัมพันธ์กันแค่ในฐานะคู่สัญญาแต่ตอนนี้มันไม่ใช่แค่นั้นอีกต่อไป——ซังหนี่ตกหลุมรักจี้อวี้หยวนเข้าแล้วถ้าไม่ใช่แบบนั้น จะอธิบายสายตาที่เธอใช้มองเขาตอนนี้ยังไง?เมื่อกี้ตอนที่พูดถึงตัวเธอเอง รวมถึงซังอวี๋ เธอยังไม่แสดงปฏิกิริยาอย่างนี้เลยความเจ็บปวดนี้แผ่ซ่านไปทั่วอกของฟู่เซียวหานอย่างรวดเร็วพร้อมกับรสฝาดคาวที่คุ้นเคยลอยขึ้นมาในลำคอฟู่เซียวหานกลืนน้ำลายลงคอหลายครั้ง สูดลมหายใจลึก ๆ แล้วพยายามกดความรู้สึกนั้นลง แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “ดูเหมือนว่าคุณจะแคร์เขามากจริง ๆ ““ฟู่เซียวหาน นี่เป็นเรื่องระหว่างเรา นายเลิกใช้วิธีสกปรกแบบนี้ไม่ได้หรือไง อย่าลากคนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องได้ไหม?!”“บริสุทธิ์เหรอ?” ฟู่เซียวหานกลับหัวเราะเยาะ “ดูเหมือนว่าคุณจะรู้จักคู่หมั้นของตัวเองน้อยไปนะ คุณรู้หรือเปล่าว่าเขาทำอะไรลับหลังคุณไว้บ้าง?”ไม่รอให้ซังหนี่ได้พูดอะไร ฟู่เซียวหานย
“อืม แบบนี้สิถึงจะถูก”ฟู่เซียวหานพยักหน้าอย่างพอใจ “ไหน ๆ ครั้งที่แล้วก็ตัดขาดกันไปแล้ว ตอนนี้จะมาทำเป็นเสแสร้งทักทายไปทำไม?”พูดจบ เขาหยิบถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมา “ตอนนี้คุณ คงอยากให้ผมตายเต็มทีแล้วล่ะสิ?”เสียงของฟู่เซียวหานสงบนิ่ง แถมที่มุมปากยังมีรอยยิ้มจาง ๆแต่คำพูดที่ออกมากลับทำให้คนสะอึกจนพูดไม่ออกซังหนี่ชะงักไปเล็กน้อยแต่เธอก็หัวเราะออกมาอย่างรวดเร็ว “ใช่ ที่แท้คุณก็รู้สินะ”“อืม แต่น่าเสียดาย ตอนนี้ผมยังสบายดีและนั่งอยู่ตรงนี้ “ฟู่เซียวหานไม่ได้ใส่ใจนัก เพียงแค่เงยหน้ามาสบตาเธอ “แล้วถ้าดูจากสถานการณ์ตอนนี้ คนที่คิดสั้นก่อน คงไม่ใช่ผมแน่”ซังหนี่ตอบไม่ได้ถึงแม้ก่อนหน้านี้ฟู่เซียวหานจะเคยปฏิบัติต่อเธอแบบนี้มาก่อน——บนโต๊ะเหล้าที่เมืองอิ๋น รสชาติของเหล้าแต่ละแก้ว เธอยังจำได้ขึ้นใจจนถึงตอนนี้แต่ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่เธอเห็นในแววตาของฟู่เซียวหาน คือความเย็นชาที่ไร้จุดสิ้นสุดเสียงของซังหนี่แหบพร่าขึ้น “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ประธานฟู่ยังมาที่นี่ทำไม? หรือแค่อยากตอกย้ำว่าตัวเองเป็นผู้ชนะกันแน่?”“ตอนนี้คุณยังมีโอกาสเปลี่ยนใจ” ฟู่เซียวหานกล่าวซังหนี่เข้าใจคำพูดของเขาทันที
ไม่รู้ว่าทำไม พอได้ยินคำพูดของเลขาแล้ว ซังหนี่ก็เผลอหันไปมองคนในห้องผู้ป่วยโดยไม่รู้ตัว——จี้อวี้หยวนกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบ ๆมองเขาแล้ว จู่ ๆ ซังหนี่ก็นึกถึงอ้อมกอดที่เขาให้เธอเมื่อเช้าเดิมทีซังหนี่กับเขาเป็นเพียงความสัมพันธ์แบบสัญญา รวมทั้งการแต่งงานก็เช่นกันแต่ตอนนั้น ในหัวของเธอกลับมีเพียงความคิดเดียว แค่อยากได้อ้อมกอดอีกสักครั้งซังหนี่ก็รู้ดีว่า นี่มันเกินขอบเขตของสัญญาที่พวกเขาทำไว้แล้วแต่จี้อวี้หยวนไม่พูดถึง เธอเองก็เช่นกันอาจเป็นเพราะซังหนี่มองเขานานเกินไป จี้อวี้หยวนจึงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ แล้วหันมามองทันทีซังหนี่สูดลมหายใจเข้าลึก “ฉันมีเรื่องต้องกลับไปจัดการที่บริษัท เดี๋ยวฉันจะให้พยาบาลมาดูแลแทน ที่นี่...”“ไม่เป็นไร คุณไปเถอะ” จี้อวี้หยวนพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “วันนี้ผมก็ไม่มีธุระอะไรอยู่แล้ว”“แต่ว่า...”“คุณลืมไปแล้วเหรอ? เรากำลังจะแต่งงานกันนะ พ่อของคุณก็คือพ่อตาของผม การที่ผมดูแลเขามันไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำเหรอ?”คำพูดของจี้อวี้หยวนกลับทำให้ซังหนี่ไม่รู้จะตอบอะไรในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าปฏิเสธไปก็คงไม่เหมาะ เธอจึงพูดเพียงว่า “ถ้ามีอะไร โทรหาฉันน
“พี่คะ ฉันกับเขาเป็นแค่เพื่อนธรรมดา ๆ เอง จะไปมีเส้นสายขนาดนั้นได้ยังไง?” ซังฉิงแค่ยิ้มบาง ๆ ก่อนพูดต่อ “ที่จริงแล้ว ถ้าพี่อยากนัดผู้จัดการธนาคารโจว ทำไมไม่ให้พี่เขย…”จี้อวี้หยวนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ยินซังฉิงพูดถึงตัวเอง จึงเงยหน้าขึ้นมามองแต่ซังหนี่กลับไม่สนใจเขา เธอเพียงคว้ามือซังฉิง แล้วลากเธอออกไป“ทำอะไรน่ะพี่! พี่ทำฉันเจ็บ!”ระหว่างทางซังฉิงยังคงทำเสียงออดอ้อน แต่พอซังหนี่ลากเธอมาถึงที่ที่ไม่มีใคร เธอก็ดึงมือออกทันที ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พี่ต้องการอะไร?”“ประโยคนี้ควรเป็นฉันถามเธอมากกว่านะ” ซังหนี่ตอบ “สถานการณ์ของตระกูลซังในตอนนี้ เธอก็น่าจะรู้ดี ถ้าฉันติดต่อโจวหลิงได้เองก็คงดี แต่ปัญหาคือตอนนี้…”“ตอนนี้เป็นอะไรล่ะ? ซังหนี่ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งพี่จะต้องมาขอร้องฉัน”ซังฉิงกลับหัวเราะขึ้นมา พลางเชิดหน้ามองเธอ “งั้นลองขอร้องให้ฉันดูหน่อยสิ ถ้าถูกใจ ฉันอาจจะช่วยพี่ก็ได้นะ”สีหน้าของซังหนี่งเรียบเฉย “ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้พูดเองเหรอว่าตระกูลซังสำคัญกับเธอมาก? ถ้าซังอวี๋ล้มละลายจริง ๆ มันจะมีประโยชน์อะไรกับเธอล่ะ?”“เหอะ ๆ…”ซังฉิงกลับหัวเราะขึ้นมา “น่าตลกจริง ๆ นี่พี
ซังหนี่มองจี้อวี้หยวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ “ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่อยู่เป็นเพื่อนฉันแบบนี้...ก็พอแล้ว”พอเธอพูดจบ จี้อวี้หยวนก็ยื่นมือออกไป โอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแรงกอดของเขาไม่แน่นนัก แต่กลิ่นหอมอ่อน ๆ บนตัวเขากลับอบอวลเข้าสู่ปลายจมูกของซังหนี่ในทันทีซังหนี่ไม่ต่อต้านอีกต่อไป ค่อย ๆ ยื่นมือออกไป โอบรอบเอวของเขาไว้“อาการของคุณอาเป็นยังไงบ้าง?” จี้อวี้หยวนเอ่ยถาม“เส้นเลือดในสมองตีบเฉียบพลัน” ซังหนี่พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ช่วยไว้ได้ทัน หมอบอกว่าถ้าเขาฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”“อืม งั้นคุณกลับไปพักก่อนดีไหม? ผมจะเป็นคนเฝ้าให้เอง”“ไม่ต้องหรอก ฉันกลับไปก็นอนไม่หลับอยู่ดี คุณไม่เห็นเหรอว่าโทรศัพท์ฉันไม่หยุดดังเลย?”จี้อวี้หยวนไม่พูดอะไรอีกซังหนี่ไม่แน่ใจว่าเขากำลังรู้สึกผิดที่ช่วยอะไรเธอไม่ได้หรือเปล่า เลยพูดขึ้นมาก่อนว่า “งานแต่งไม่ต้องเลื่อนนะ คุณตาของคุณรอวันนี้มานานมากแล้ว จะทำให้ท่านผิดหวังไม่ได้”“แต่ว่า…”“ไม่ต้องห่วง แค่วันเดียวฉันยังพอจัดการได้ อีกอย่างตอนนี้ซังอวี๋อยู่ในช่วงสำคัญ ถ้าคุณเลื่อนงานแต่งออกไป คนอื่นอาจคิดว่าคุณเตรียมตัวหนีแล้วก็ได้”พูดจบ ซ
ดังนั้นเมื่อก่อนเขามักเป็นฝ่ายออกคำสั่งต่อหน้าซังหนี่เสมอเขาไม่จำเป็นต้องปรึกษาซังหนี่ และไม่มีวันยอมให้เธอขัดขืนแต่ตอนนี้ เขากลับดูเหมือนเด็กคนหนึ่งที่สับสนหมดหนทาง เอ่ยถามซังหนี่ ว่าควรทำอย่างไร?ซังหนี่หลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ตอนนี้มีใครรู้เรื่องนี้อีก?”พูดจบ เธอก็รู้ตัวทันทีว่าถ้อยคำของตัวเองผิดไป จึงรีบแก้ว่า “ไม่ว่าจะมีใครรู้เรื่องนี้หรือไม่ ต้องปิดข่าวทันที! ถ้าพรุ่งนี้ตลาดหุ้นเปิดเมื่อไหร่ ซังอวี๋คงได้จบสิ้นกันจริง ๆ!’ซังหลินไม่พูดอะไร นั่งนิ่งอย่างเหม่อลอย“ครอบครัวของเกาต๋าล่ะคะ? พวกเขายังอยู่ที่นี่ใช่ไหม? ตอนนี้คุณให้คนไปติดต่อพวกเขาทันที! ถ้าเกาต๋าติดต่อกลับมา แจ้งตำรวจเดี๋ยวนั้นเลย! คุณได้ยินไหม?!”คำพูดสุดท้ายของซังหนี่ ทำให้ซังหลินได้สติกลับมา เขาค่อย ๆ เอื้อมมือที่สั่นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาซังหนี่ไม่มองเขาอีก หันหลังเดินออกไปทันทีแต่ด้านหลังกลับเงียบสนิทเมื่อซังหนี่รู้สึกแปลกใจและหันกลับไปมอง เธอเห็นโทรศัพท์ของซังหลินตกอยู่บนพื้น ส่วนตัวเขากลับฟุบลงไปกับเก้าอี้และหมดสติไปแล้ว……ซังหนี่รีบติดต่อสำนักข่าวใหญ่ เพื่อปิดข่าวเกี่ยวกับซังหลินไว้แต่ในย
คำพูดของซังหนี่ก็กลายเป็นจริงอย่างรวดเร็วเพียงแค่วันรุ่งขึ้นหลังจากที่โครงการถูกส่งมอบให้เกาต๋า ทางจื้อเหอก็แจ้งให้เริ่มงานใหม่ทันทีแม้ว่างานของซังหนี่จะถูกส่งต่อให้เกาต๋าแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทลูก บางกระบวนการยังต้องผ่านเธออยู่ดีสองวันผ่านไป เกาต๋าบอกว่ามีงานที่ส่งต่อบางเรื่องยังไม่ชัดเจน พอดีว่าช่วงนี้ซังหนี่ลาพักเพื่อเตรียมงานแต่ง เขาจึงขอให้เจิ้งชวนไปช่วยงานแทนซังหนี่ไม่ได้ขัดข้องอะไรเพราะสุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นโครงการของบริษัท ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น เธอเองก็ต้องรับผิดชอบไปด้วยเจิ้งชวนถูกเรียกตัวไปช่วยงานทันทีผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เหลือเวลาอีกเพียงสองวันก่อนถึงวันแต่งงานของซังหนี่กับจี้อวี้หยวน ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัด โทรศัพท์ของซังหนี่ดังขึ้น ปลายสายคือเจิ้งชวน“แย่แล้วครับประธานเสี่ยวซัง ติดต่อประธานเกาไม่ได้เลย!”ซังหนี่สะดุ้งตื่นจากความฝันอย่างฉับพลัน สมองยังมึนงงเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?”“ประธานเกาหายตัวไปครับ!” เจิ้งชวนพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้ติดต่อไม่ได้เลย พวกเราลองไปที่บ้านเขาแล้ว แต่ครอบครัวเขาก็บอกว่าติดต่อไม่ได้เช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว”เมื่อได้ยินคำตอบ ฟู่เซียวหานจึงกดวางสายไป ก่อนจะหันไปมองออกไปนอกหน้าต่างในเงาสะท้อนของกระจกรถ เขากลับมองเห็นแก้มที่แดงก่ำของตัวเองอย่างชัดเจนเขายกมือขึ้นเช็ดเบา ๆมันก็เจ็บอยู่บ้าง แต่เขาผ่านเรื่องที่เจ็บกว่านี้มาแล้ว แผลเล็กแค่นี้ ไม่เป็นอะไรเลยสักนิดคิดได้ดังนั้น เขามองรอยฝ่ามือบนแก้ม แล้วกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ……จื้อเหอและซังอวี๋ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เรื่องที่เกาต๋าเข้ามารับช่วงต่อโครงการรู่โจวก็ถูกประกาศภายในบริษัทในเวลาไม่นานทันทีที่ข่าวนี้เผยออกมา ทุกคนต่างประหลาดใจไม่น้อยแม้ว่าตอนนี้ซังหนี่ยังคงเป็นผู้จัดการบริษัทสาขาเมืองอิ๋น แต่ถ้าเกาต๋าถูกย้ายกลับไป คนที่นั่นทั้งหมดก็เป็นลูกน้องเก่าของเขาอยู่ดี แบบนี้ซังหนี่จะต่างอะไรกับผู้นำที่ไร้อำนาจกันล่ะ?แน่นอนว่าซังหนี่ไม่มีทางยอมมอบผลงานของตัวเองให้ใครง่าย ๆแต่ฟู่เซียวหานตั้งใจจะทำให้เธอเสียหน้า และเหมือนที่ซังหลินพูดไว้ เขาเป็นฝ่ายว่าจ้าง โครงการใหญ่อย่างรู่โจว เขาแค่ขอเปลี่ยนผู้รับผิดชอบเท่านั้น ซังอวี๋ที่เป็นฝ่ายถูกเลือกทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องยอมตามดังนั้น เอกสารที่ซังหนี่ตรวจทานซ้ำแล้วซ้ำเ
ฟู่เซียวหานถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่แววตาที่มองซังหนี่กลับไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆมีเพียงแค่...ความเย็นชาเท่านั้นมันเป็นสายตาของนักล่าที่จ้องมองเหยื่อ และยิ่งไปกว่านั้น มันคือสายตาของผู้ที่อยู่เหนือกว่ามองคนเบื้องล่างด้วยความเหยียดหยามร่างกายของซังหนี่สั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว!เขาแสร้งทำต่อหน้าเธอมานานเกินไปแล้วจนถึงตอนนี้ ซังหนี่เพิ่งนึกขึ้นได้——เขาไม่ใช่สุนัขที่เชื่อง แต่เป็นหมาป่าที่กระหายเลือดและเนื้อ!แต่ซังหนี่ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “ฟู่เซียวหาน คุณเป็นถึงผู้จัดการใหญ่ของจื้อเหอ แต่กลับใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ ไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะหรือไง!?”“ไม่เป็นไร ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีใครคานอำนาจผมได้แล้ว” ฟู่เซียวหานพูดช้า ๆ “อีกอย่าง โครงการรู่โจวใหญ่ขนาดนี้ จะให้คุณรับผิดชอบมันไม่ปลอดภัย ผมมีเหตุผลมากพอที่จะทำให้พวกเขาเชื่อ”ซังหนี่ไม่พูดอะไร แต่มือที่วางอยู่บนเข่ากลับค่อย ๆ กำแน่นขึ้น“แล้วไงต่อล่ะ?”ในที่สุด เธอก็เปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง ถามว่า “คุณคิดว่าคำสั่งนี้จะหยุดฉันไม่ให้แต่งงานกับจี้อวี้หยวนได้เหรอ?”“ฉันบอกไว้เลยว่า ไม่มีทาง ตอนนี้ฉันยิ่งต้องแต่งงา