หลังออกมาจากห้องส่วนตัว ซังหนี่ถึงจะถอนหายใจออกมาหนัก ๆ ด้วยความโล่งอกเธอไม่รู้ว่าตนเองสามารถไปที่ไหนได้บ้าง จึงทำได้เพียงแค่ยืนเหม่ออยู่บนทางเดินเท่านั้นไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด จู่ ๆ ก็มีเสียงจุดไฟแช็กดังขึ้นมาจากข้างหลังเธอเสียง ‘แช๊ะ’ ดังขึ้นด้วยความคมชัดมากเป็นพิเศษซังหนี่หันศีรษะไปมองทันทีอาจเป็นเพราะพวกเขาเพิ่งพบหน้ากันเมื่อคืน เมื่อซังหนี่พบเขาอีกครั้งในเวลานี้ก็ไม่ได้มีความประหลาดใจอีกต่อไป แต่มือที่ห้อยอยู่ข้างตัวก็อดไม่ได้ที่จะกำเอาไว้แน่นแต่ฟู่เซียวหานกลับไม่ได้เหลือบมองเธอเลยมือข้างหนึ่งคีบบุหรี่ และอีกมือก็ถือโทรศัพท์เพื่อดูข้อความทางเดินที่แสนกว้างขวาง มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะนับว่าเป็นคนแปลกหน้ากันแล้ว แต่ซังหนี่ก็ยังคงรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินอยู่ดีดังนั้นหลังจากลังเลอยู่สองวินาที เธอก็ตัดสินใจกลับไปยังห้องส่วนตัวทว่าทันทีที่เธอหันหลังกลับไป พลันมีอีกร่างหนึ่งปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเธอทันทีร่างนั้นซวนเซจนแทบจะชนกับเธอเข้าโดยตรงสิ่งแรกที่ซังหนี่ได้กลิ่นคือกลิ่นแอลกอฮอล์ที่แสนรุนแรงบนร่างของอีกฝ่ายวันนี้ทั้งวันเธอไม่ได้ทานอะไร
หากนับดูแล้ว ประจำเดือนของเธอในเดือนนี้เองก็ล่าช้าไปหลายวันแล้วเช่นกันเมื่อคิดถึงจุดนี้ เธอก็ลืมนึกถึงเรื่องการพินิจพิจารณาไปเสียสิ้น เมื่อฟู่เซียวหานจับมือของเธอ เธอก็ไม่ได้ขัดขืน และเดินตามเขาไปข้างหน้าด้วยความมึนงงเมื่อฉินเหยาเดินออกมาจากห้องส่วนตัว เขาก็เห็นฉากนี้เข้าพอดีเรียวคิ้วของเขาขมวดแน่นทันที และคิดอยากจะก้าวเดินเข้าไปรั้งซังหนี่ไว้โดยไม่รู้ตัวแต่ฟู่เซียวหานก็พลันเหลือบตามองเขา “นี่เป็นเรื่องระหว่างเราสองคน ประธานฉินอย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า”น้ำเสียงของฟู่เซียวหานไม่ได้เจือด้วยอารมณ์ใด ๆ แต่คำเตือนที่แฝงอยู่นั้นกลับชัดเจนฉินเหยาหยุดการกระทำของตนลง ก่อนจะมองซังหนี่อีกครั้ง“ฉัน…ไม่เป็นไรค่ะ”ซังหนี่เอ่ยกับเขาอย่างรวดเร็วเพียงแต่ก่อนที่ฉินเหยาจะกล่าวอะไรอีก ฟู่เซียวหานก็ลากเธอออกจากร้านอาหารไปแล้วก่อนที่จะกลับเข้าโรงแรม ฟู่เซียวหานแวะเข้าร้านขายยาเสียก่อนขณะที่เขายัดสิ่งของบางอย่างใส่มือของซังหนี่ อีกฝ่ายดูราวกับตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะกัดฟันเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าควรไปโรงพยาบาลหรือคะ?”“เวลานี้โรงพยาบาลเหลือแค่แผนกฉุกเฉินที่เปิดอยู่ หรือคุณอยากให้ผมโทรไปให้คนจัดกา
“ซังหนี่”ฟู่เซียวหานเดินไปเคาะประตูซังหนี่ไม่ได้ตอบกลับมาคิ้วของฟู่เซียวหานขมวดแน่นในทันที เมื่อเขาเคาะประตูอีกครั้งและยังไม่มีการตอบกลับมา จึงเริ่มที่จะหมดความอดทน ก่อนจะยกเท้าขึ้นเตรียมจะถีบประตูเข้าไป! แต่วินาทีต่อมา ซังหนี่ก็พลันเปิดประตูฟู่เซียวหานเก็บท่าทางการเคลื่อนไหวของตนไปอย่างรวดเร็ว และจ้องมองเธอเขม็งสีหน้าของเธอกลับคืนสู่ความเรียบนิ่ง “ไม่มีค่ะ”ฟู่เซียวหานหรี่ตาซังหนี่ยื่นแท่งตรวจครรภ์ในมือให้เขาดู “ประธานฟู่วางใจได้แล้วสินะคะ”ฟู่เซียวหานก้มลงมองแวบหนึ่ง บนแท่งตรวจครรภ์มีขีดแดงแค่ขีดเดียวเท่านั้น“พรุ่งนี้ไปโรงพยาบาลสักรอบเถอะ” เขากล่าวต่อว่า “อันนี้อาจจะไม่แม่นยำเท่าไหร่”“ฉันไม่ไปค่ะ”ซังหนี่กล่าวฟู่เซียวหานขมวดคิ้ว“นี่มันก็คือผลลัพธ์แล้วค่ะ” ซังหนี่กล่าว “อีกอย่างฉันก็แค่ปวดกระเพาะเท่านั้น ครั้งก่อน…คงจะไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกค่ะ”“พรุ่งนี้แปดโมงเช้า ผมจะมารับคุณ”ฟู่เซียวหานกล่าวราวกับไม่อยากพูดอะไรให้มากความกับเธออีกต่อไป เมื่อกล่าวประโยคนี้จบเขาก็หันหลังไปทันที“งั้นฉันจะไปเองค่ะ” ซังหนี่กล่าวฟู่เซียวหานหยุดฝีเท้าลงพร้อมมองเธอ“ถ้ามีผลอะ
ฟู่เซียวหานให้เบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งกับเธอโดยตรง “พรุ่งนี้แปดโมงเช้าไปหาเธอที่ชั้นล่าง ห้อง1613 แล้วพาเธอไปโรงพยาบาล”คำสั่งนี้ของเขาทำให้เจนนิเฟอร์ตกตะลึง สายตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ“ห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ถ้ามีข้อมูลรั่วไหลออกไป เธอรู้ผลที่ตามมาดีใช่ไหม?”สีหน้าของฟู่เซียวหานไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม แต่นัยน์ตานั้นยิ่งทวีความเฉียบคมมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้เจนนิเฟอร์ถึงได้รู้ว่าเมื่อกี้ตนเข้าใจผิดไป ในเวลานี้จึงรีบพยักหน้าด้วยความรวดเร็ว “เข้าใจแล้วค่ะ”“ออกไป”ฟู่เซียวหานไม่มองเธออีกต่อไปเจนนิเฟอร์รีบออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว และสภาพแวดล้อมโดยรอบก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้งฟู่เซียวหานเองก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีกแต่ช่วงเวลานอนหลับในค่ำคืนนั้น จู่ ๆ เขาก็ฝันเขาฝันเห็น…เด็กคนหนึ่งฟู่เซียวหานไม่มีความรู้สึกใดต่อลูกเลยตั้งแต่เด็กเขาค่อนข้างไม่สนใจแยแสกับเรื่องราวของความสัมพันธ์ เขาไม่ได้พึ่งพาคุณแม่มาตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อเติบโตครอบครัวก็ไม่สามารถนับได้ว่าสมัครสมานกันนักแต่เขาเองก็ไม่ได้รังเกียจกีดกันลูกด้วยเหมือนกันบางทีอาจเป็นเพราะความเชื่อที่
ซังหนี่เจาะเลือดเสร็จเรียบร้อยแล้วขณะนี้เธอกำลังนั่งรอผลอยู่บนเก้าอี้แม้จะผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว แต่สมองของเธอยังคงว่างเปล่าอยู่บ้างเธอไม่รู้ว่าในใจของเธอนั้นเป็นความคาดหวังหรือหวาดกลัวกันแน่แน่นอนว่าเธออยากมีลูกเพราะนั่นคือการดำรงอยู่ของคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเธอณ วันนี้เธอสามารถพูดได้เต็มปากว่าเธออาศัยอยู่บนโลกใบนี้เพียงตัวคนเดียว หากมีลูก ถ้าอย่างนั้นเธอก็…มีครอบครัวแล้วนี่เป็นสิ่งที่ซังหนี่ต้องการมากที่สุดตั้งแต่เธอยังเด็กแต่เธอเองก็หวาดกลัวเช่นกันเธอกลัวว่าตนจะไม่มีแรงกำลังมากพอที่จะปกป้องเขาได้แม้ว่าเธอจะสามารถคลอดลูกออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่ก็ไม่รู้ว่าตระกูลฟู่จะมาแย่งเขาไปหรือเปล่า?หากดูจากท่าทีของฟู่เซียวหานแล้ว ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่เขาจะให้ลูกอยู่กับเธอเมื่อถึงเวลานั้น แล้วเธอจะใช้สิ่งใดไปแย่งชิงกับฟู่เซียวหานได้กัน?นั่นคือจุดที่เธอคิดได้เมื่อคืนนี้ ดังนั้นซังหนี่จึงใช้น้ำเปล่าในการตรวจกับแท่งตั้งครรภ์เดิมทีเธอคิดว่าฟู่เซียวหานจะล้มเลิกความกังวลนี้ไปแต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าเขายังคงยืนกรานจะพาเธอไปโรงพยาบาลดังนั้น เธอจึงทำได้แค่หลบหนีมาไม
ซังหนี่มองเขาด้วยความแปลกใจแต่ฟู่เซียวหานกลับไม่กล่าวอะไรออกมา เขาเพียงถอดเสื้อคลุมของตนออกก่อนจะนำไปพันรอบเอวของเธอไว้การกระทำที่เข้ามาอย่างกะทันหันนี้ทำให้ซังหนี่ตกใจ“คุณทำ…”ขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยถาม จู่ ๆ คลื่นความอุ่นร้อนบางอย่างก็ไหลพุ่งออกมาจากในตัวของเธอความรู้สึกนั้นคืออะไร…แน่นอนว่าเธอรับรู้ได้อย่างชัดเจนเธอหันขวับไปมองฟู่เซียวหาน นัยน์ตาแฝงไปด้วยความตกตะลึง……“ไม่ได้ตั้งครรภ์นะครับ”แพทย์กล่าวกับเธอ “การที่ประจำเดือนมาล่าช้าอาจเป็นเพราะความกดดันในชีวิตคุณที่มีมากเกินไป หากคุณยังไม่วางใจก็สามารถมาตรวจอัลตราซาวด์สี่มิติหลังจากที่หมดประจำเดือนแล้วได้นะครับ”แม้ว่าเหตุการณ์เมื่อกี้จะทำให้ซังหนี่จะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินข้อมูลที่แน่นอนจากปากแพทย์โดยตรง เธอก็อดไม่ได้ที่จะกำมือแน่น“คุณกำลังเตรียมตัวตั้งครรภ์อยู่หรือเปล่าครับ?” แพทย์ถามขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของเธอ“เปล่า…เปล่าค่ะ”แพทย์เมินคำพูดของเธอไปพร้อมกล่าวว่า “เรื่องแบบนี้รีบร้อนไม่ได้หรอกนะ ยิ่งคุณกังวลมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งล้มเหลวได้ง่ายเท่านั้น ต้องผ่อนคลาย…”ซังหนี่จำไม่ได้อีกว่าเขาพู
เมื่อซังหนี่เดินออกมาจากห้องน้ำ ฟู่เซียวหานยังคงยืนอยู่ที่นั่นเสื้อคลุมของเขาอยู่ที่ซังหนี่ ทำให้บนตัวของเขามีเพียงเสื้อเชิ้ตเท่านั้นกระดูกข้อมือถูกคลายออกพร้อมพับทบขึ้นไป เผยให้เห็นท่อนแขนขาวเนียนแต่แฝงไปด้วยพละกำลังเมื่อประกอบกับท่าทีที่ดูสูงส่งและองค์ประกอบของใบหน้าที่แสนโดดเด่นแล้วก็ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาในบริเวณนั้นอดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองเขาแต่เขาดูเหมือนคุ้นเคยกับการเป็นจุดรวมสายตาเช่นนี้ จึงเพียงแค่ก้มมองลงดูโทรศัพท์ของตนโดยไม่แม้แต่จะช้อนตาขึ้นมองเลยด้วยซ้ำซังหนี่มองดูเขา ฝีเท้าที่แต่เดิมคิดจะก้าวไปข้างหน้ากลับหยุดนิ่งอยู่จุดเดิมฟู่เซียวหานยังคงก้มศีรษะเดิมทีเขาไม่รู้สึกอะไรต่อการจ้องมองของผู้คนที่เดินผ่านไปมา แต่เมื่อซังหนี่มองเขา เขาก็รับรู้ถึงบางสิ่งได้โดยพลันและเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วซังหนี่เม้มริมฝีปากของเธอเบา ๆ ก่อนจะก้าวไปหาเขา“เสื้อของคุณ…มันเปื้อนไปแล้วค่ะ”ซังหนี่กล่าวเสียงแผ่ว “ฉันจะเอากลับไปทำความสะอาดแล้วจะคืนให้คุณนะคะ”เดิมทีเขาคิดจะกล่าวว่าไม่เป็นไรแต่หลังจากมองเธอแวบหนึ่ง เขาก็เปลี่ยนใจกะทันหันและเพียงส่งเสียงตอบรับเบา ๆ ความเงียบง
คำถามของฟู่เซียวหานที่พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้ซังหนี่สะอึกทันใดนั้นเขาเองก็เหลือบมองเธอเช่นกันสายตานั้นทำให้ร่างกายของซังหนี่แข็งเกร็งขึ้นมาในทันที ราวกับเธอกำลังอดทนรอไม่ไหวที่จะ…มีสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับเขาซังหนี่กัดริมฝีปาก และขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดออกไป ฟู่เซียวหานก็เอ่ยว่า “ผมก็แค่ไม่อยากให้คุณสนิทกับฉินเหยามากเกินไป”“ตอนนี้ซังฉิงเองก็หมั้นหมายกับฉินม่อแล้ว ผมไม่อยากเป็นเครื่องมือในการหารือเรื่องทรัพยากรและการสร้างกระแสของตระกูลพวกเขา คุณเข้าใจไหม?”การวิเคราะห์ของเขายังคงเปี่ยมด้วยความใจเย็นเช่นเดิมซังหนี่ยังคิดจะพูดอย่างอื่น แต่ฟู่เซียวหานกลับตัดสินใจแทนเธอไปแล้ว “เอาตามนี้แล้วกัน คุณเก็บนามบัตรใบนี้เอาไว้ หากที่นี่คุณมีเรื่องอะไรก็ติดต่อเธอได้โดยตรง”“ซังหนี่ ตอนนี้ผมมีเพียงคำขอเดียวสำหรับคุณ อย่าสร้างปัญหาให้ผม เข้าใจที่พูดไหม?”……ตอนที่เจนนิเฟอร์โทรมา ซังหนี่กำลังอยู่บนเตียงในโรงแรม“สวัสดีค่ะ คุณหนูซัง”เสียงของหญิงสาวเต็มไปด้วยเสน่ห์เปี่ยมล้น “ฉันคือเจนนิเฟอร์ค่ะ เป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยวที่ประธานฟู่จัดหาให้คุณ ไม่ทราบว่าคืนนี้คุณมีแผนอะไรไหมคะ? ถ้าไม่มีแล้
คำพูดของฟู่เซียวหานทำให้สีหน้าของซังหนี่เปลี่ยนไปทันที ดวงตาของเธอหันไปมองเขาในพริบตาสีหน้านั้นทำให้ฟู่เซียวหานรู้สึกเจ็บปวดในอกขึ้นมาอย่างกะทันหันดูท่า...จะเป็นอย่างที่เขาเดาไว้จริง ๆถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะมีความสัมพันธ์กันแค่ในฐานะคู่สัญญาแต่ตอนนี้มันไม่ใช่แค่นั้นอีกต่อไป——ซังหนี่ตกหลุมรักจี้อวี้หยวนเข้าแล้วถ้าไม่ใช่แบบนั้น จะอธิบายสายตาที่เธอใช้มองเขาตอนนี้ยังไง?เมื่อกี้ตอนที่พูดถึงตัวเธอเอง รวมถึงซังอวี๋ เธอยังไม่แสดงปฏิกิริยาอย่างนี้เลยความเจ็บปวดนี้แผ่ซ่านไปทั่วอกของฟู่เซียวหานอย่างรวดเร็วพร้อมกับรสฝาดคาวที่คุ้นเคยลอยขึ้นมาในลำคอฟู่เซียวหานกลืนน้ำลายลงคอหลายครั้ง สูดลมหายใจลึก ๆ แล้วพยายามกดความรู้สึกนั้นลง แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “ดูเหมือนว่าคุณจะแคร์เขามากจริง ๆ ““ฟู่เซียวหาน นี่เป็นเรื่องระหว่างเรา นายเลิกใช้วิธีสกปรกแบบนี้ไม่ได้หรือไง อย่าลากคนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องได้ไหม?!”“บริสุทธิ์เหรอ?” ฟู่เซียวหานกลับหัวเราะเยาะ “ดูเหมือนว่าคุณจะรู้จักคู่หมั้นของตัวเองน้อยไปนะ คุณรู้หรือเปล่าว่าเขาทำอะไรลับหลังคุณไว้บ้าง?”ไม่รอให้ซังหนี่ได้พูดอะไร ฟู่เซียวหานย
“อืม แบบนี้สิถึงจะถูก”ฟู่เซียวหานพยักหน้าอย่างพอใจ “ไหน ๆ ครั้งที่แล้วก็ตัดขาดกันไปแล้ว ตอนนี้จะมาทำเป็นเสแสร้งทักทายไปทำไม?”พูดจบ เขาหยิบถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมา “ตอนนี้คุณ คงอยากให้ผมตายเต็มทีแล้วล่ะสิ?”เสียงของฟู่เซียวหานสงบนิ่ง แถมที่มุมปากยังมีรอยยิ้มจาง ๆแต่คำพูดที่ออกมากลับทำให้คนสะอึกจนพูดไม่ออกซังหนี่ชะงักไปเล็กน้อยแต่เธอก็หัวเราะออกมาอย่างรวดเร็ว “ใช่ ที่แท้คุณก็รู้สินะ”“อืม แต่น่าเสียดาย ตอนนี้ผมยังสบายดีและนั่งอยู่ตรงนี้ “ฟู่เซียวหานไม่ได้ใส่ใจนัก เพียงแค่เงยหน้ามาสบตาเธอ “แล้วถ้าดูจากสถานการณ์ตอนนี้ คนที่คิดสั้นก่อน คงไม่ใช่ผมแน่”ซังหนี่ตอบไม่ได้ถึงแม้ก่อนหน้านี้ฟู่เซียวหานจะเคยปฏิบัติต่อเธอแบบนี้มาก่อน——บนโต๊ะเหล้าที่เมืองอิ๋น รสชาติของเหล้าแต่ละแก้ว เธอยังจำได้ขึ้นใจจนถึงตอนนี้แต่ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่เธอเห็นในแววตาของฟู่เซียวหาน คือความเย็นชาที่ไร้จุดสิ้นสุดเสียงของซังหนี่แหบพร่าขึ้น “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ประธานฟู่ยังมาที่นี่ทำไม? หรือแค่อยากตอกย้ำว่าตัวเองเป็นผู้ชนะกันแน่?”“ตอนนี้คุณยังมีโอกาสเปลี่ยนใจ” ฟู่เซียวหานกล่าวซังหนี่เข้าใจคำพูดของเขาทันที
ไม่รู้ว่าทำไม พอได้ยินคำพูดของเลขาแล้ว ซังหนี่ก็เผลอหันไปมองคนในห้องผู้ป่วยโดยไม่รู้ตัว——จี้อวี้หยวนกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบ ๆมองเขาแล้ว จู่ ๆ ซังหนี่ก็นึกถึงอ้อมกอดที่เขาให้เธอเมื่อเช้าเดิมทีซังหนี่กับเขาเป็นเพียงความสัมพันธ์แบบสัญญา รวมทั้งการแต่งงานก็เช่นกันแต่ตอนนั้น ในหัวของเธอกลับมีเพียงความคิดเดียว แค่อยากได้อ้อมกอดอีกสักครั้งซังหนี่ก็รู้ดีว่า นี่มันเกินขอบเขตของสัญญาที่พวกเขาทำไว้แล้วแต่จี้อวี้หยวนไม่พูดถึง เธอเองก็เช่นกันอาจเป็นเพราะซังหนี่มองเขานานเกินไป จี้อวี้หยวนจึงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ แล้วหันมามองทันทีซังหนี่สูดลมหายใจเข้าลึก “ฉันมีเรื่องต้องกลับไปจัดการที่บริษัท เดี๋ยวฉันจะให้พยาบาลมาดูแลแทน ที่นี่...”“ไม่เป็นไร คุณไปเถอะ” จี้อวี้หยวนพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “วันนี้ผมก็ไม่มีธุระอะไรอยู่แล้ว”“แต่ว่า...”“คุณลืมไปแล้วเหรอ? เรากำลังจะแต่งงานกันนะ พ่อของคุณก็คือพ่อตาของผม การที่ผมดูแลเขามันไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำเหรอ?”คำพูดของจี้อวี้หยวนกลับทำให้ซังหนี่ไม่รู้จะตอบอะไรในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าปฏิเสธไปก็คงไม่เหมาะ เธอจึงพูดเพียงว่า “ถ้ามีอะไร โทรหาฉันน
“พี่คะ ฉันกับเขาเป็นแค่เพื่อนธรรมดา ๆ เอง จะไปมีเส้นสายขนาดนั้นได้ยังไง?” ซังฉิงแค่ยิ้มบาง ๆ ก่อนพูดต่อ “ที่จริงแล้ว ถ้าพี่อยากนัดผู้จัดการธนาคารโจว ทำไมไม่ให้พี่เขย…”จี้อวี้หยวนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้ยินซังฉิงพูดถึงตัวเอง จึงเงยหน้าขึ้นมามองแต่ซังหนี่กลับไม่สนใจเขา เธอเพียงคว้ามือซังฉิง แล้วลากเธอออกไป“ทำอะไรน่ะพี่! พี่ทำฉันเจ็บ!”ระหว่างทางซังฉิงยังคงทำเสียงออดอ้อน แต่พอซังหนี่ลากเธอมาถึงที่ที่ไม่มีใคร เธอก็ดึงมือออกทันที ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พี่ต้องการอะไร?”“ประโยคนี้ควรเป็นฉันถามเธอมากกว่านะ” ซังหนี่ตอบ “สถานการณ์ของตระกูลซังในตอนนี้ เธอก็น่าจะรู้ดี ถ้าฉันติดต่อโจวหลิงได้เองก็คงดี แต่ปัญหาคือตอนนี้…”“ตอนนี้เป็นอะไรล่ะ? ซังหนี่ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งพี่จะต้องมาขอร้องฉัน”ซังฉิงกลับหัวเราะขึ้นมา พลางเชิดหน้ามองเธอ “งั้นลองขอร้องให้ฉันดูหน่อยสิ ถ้าถูกใจ ฉันอาจจะช่วยพี่ก็ได้นะ”สีหน้าของซังหนี่งเรียบเฉย “ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้พูดเองเหรอว่าตระกูลซังสำคัญกับเธอมาก? ถ้าซังอวี๋ล้มละลายจริง ๆ มันจะมีประโยชน์อะไรกับเธอล่ะ?”“เหอะ ๆ…”ซังฉิงกลับหัวเราะขึ้นมา “น่าตลกจริง ๆ นี่พี
ซังหนี่มองจี้อวี้หยวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง ๆ “ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่อยู่เป็นเพื่อนฉันแบบนี้...ก็พอแล้ว”พอเธอพูดจบ จี้อวี้หยวนก็ยื่นมือออกไป โอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแรงกอดของเขาไม่แน่นนัก แต่กลิ่นหอมอ่อน ๆ บนตัวเขากลับอบอวลเข้าสู่ปลายจมูกของซังหนี่ในทันทีซังหนี่ไม่ต่อต้านอีกต่อไป ค่อย ๆ ยื่นมือออกไป โอบรอบเอวของเขาไว้“อาการของคุณอาเป็นยังไงบ้าง?” จี้อวี้หยวนเอ่ยถาม“เส้นเลือดในสมองตีบเฉียบพลัน” ซังหนี่พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “แต่ช่วยไว้ได้ทัน หมอบอกว่าถ้าเขาฟื้นขึ้นมาก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”“อืม งั้นคุณกลับไปพักก่อนดีไหม? ผมจะเป็นคนเฝ้าให้เอง”“ไม่ต้องหรอก ฉันกลับไปก็นอนไม่หลับอยู่ดี คุณไม่เห็นเหรอว่าโทรศัพท์ฉันไม่หยุดดังเลย?”จี้อวี้หยวนไม่พูดอะไรอีกซังหนี่ไม่แน่ใจว่าเขากำลังรู้สึกผิดที่ช่วยอะไรเธอไม่ได้หรือเปล่า เลยพูดขึ้นมาก่อนว่า “งานแต่งไม่ต้องเลื่อนนะ คุณตาของคุณรอวันนี้มานานมากแล้ว จะทำให้ท่านผิดหวังไม่ได้”“แต่ว่า…”“ไม่ต้องห่วง แค่วันเดียวฉันยังพอจัดการได้ อีกอย่างตอนนี้ซังอวี๋อยู่ในช่วงสำคัญ ถ้าคุณเลื่อนงานแต่งออกไป คนอื่นอาจคิดว่าคุณเตรียมตัวหนีแล้วก็ได้”พูดจบ ซ
ดังนั้นเมื่อก่อนเขามักเป็นฝ่ายออกคำสั่งต่อหน้าซังหนี่เสมอเขาไม่จำเป็นต้องปรึกษาซังหนี่ และไม่มีวันยอมให้เธอขัดขืนแต่ตอนนี้ เขากลับดูเหมือนเด็กคนหนึ่งที่สับสนหมดหนทาง เอ่ยถามซังหนี่ ว่าควรทำอย่างไร?ซังหนี่หลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ตอนนี้มีใครรู้เรื่องนี้อีก?”พูดจบ เธอก็รู้ตัวทันทีว่าถ้อยคำของตัวเองผิดไป จึงรีบแก้ว่า “ไม่ว่าจะมีใครรู้เรื่องนี้หรือไม่ ต้องปิดข่าวทันที! ถ้าพรุ่งนี้ตลาดหุ้นเปิดเมื่อไหร่ ซังอวี๋คงได้จบสิ้นกันจริง ๆ!’ซังหลินไม่พูดอะไร นั่งนิ่งอย่างเหม่อลอย“ครอบครัวของเกาต๋าล่ะคะ? พวกเขายังอยู่ที่นี่ใช่ไหม? ตอนนี้คุณให้คนไปติดต่อพวกเขาทันที! ถ้าเกาต๋าติดต่อกลับมา แจ้งตำรวจเดี๋ยวนั้นเลย! คุณได้ยินไหม?!”คำพูดสุดท้ายของซังหนี่ ทำให้ซังหลินได้สติกลับมา เขาค่อย ๆ เอื้อมมือที่สั่นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาซังหนี่ไม่มองเขาอีก หันหลังเดินออกไปทันทีแต่ด้านหลังกลับเงียบสนิทเมื่อซังหนี่รู้สึกแปลกใจและหันกลับไปมอง เธอเห็นโทรศัพท์ของซังหลินตกอยู่บนพื้น ส่วนตัวเขากลับฟุบลงไปกับเก้าอี้และหมดสติไปแล้ว……ซังหนี่รีบติดต่อสำนักข่าวใหญ่ เพื่อปิดข่าวเกี่ยวกับซังหลินไว้แต่ในย
คำพูดของซังหนี่ก็กลายเป็นจริงอย่างรวดเร็วเพียงแค่วันรุ่งขึ้นหลังจากที่โครงการถูกส่งมอบให้เกาต๋า ทางจื้อเหอก็แจ้งให้เริ่มงานใหม่ทันทีแม้ว่างานของซังหนี่จะถูกส่งต่อให้เกาต๋าแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นผู้จัดการใหญ่ของบริษัทลูก บางกระบวนการยังต้องผ่านเธออยู่ดีสองวันผ่านไป เกาต๋าบอกว่ามีงานที่ส่งต่อบางเรื่องยังไม่ชัดเจน พอดีว่าช่วงนี้ซังหนี่ลาพักเพื่อเตรียมงานแต่ง เขาจึงขอให้เจิ้งชวนไปช่วยงานแทนซังหนี่ไม่ได้ขัดข้องอะไรเพราะสุดท้ายแล้วนี่ก็เป็นโครงการของบริษัท ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น เธอเองก็ต้องรับผิดชอบไปด้วยเจิ้งชวนถูกเรียกตัวไปช่วยงานทันทีผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เหลือเวลาอีกเพียงสองวันก่อนถึงวันแต่งงานของซังหนี่กับจี้อวี้หยวน ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัด โทรศัพท์ของซังหนี่ดังขึ้น ปลายสายคือเจิ้งชวน“แย่แล้วครับประธานเสี่ยวซัง ติดต่อประธานเกาไม่ได้เลย!”ซังหนี่สะดุ้งตื่นจากความฝันอย่างฉับพลัน สมองยังมึนงงเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?”“ประธานเกาหายตัวไปครับ!” เจิ้งชวนพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้ติดต่อไม่ได้เลย พวกเราลองไปที่บ้านเขาแล้ว แต่ครอบครัวเขาก็บอกว่าติดต่อไม่ได้เช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว”เมื่อได้ยินคำตอบ ฟู่เซียวหานจึงกดวางสายไป ก่อนจะหันไปมองออกไปนอกหน้าต่างในเงาสะท้อนของกระจกรถ เขากลับมองเห็นแก้มที่แดงก่ำของตัวเองอย่างชัดเจนเขายกมือขึ้นเช็ดเบา ๆมันก็เจ็บอยู่บ้าง แต่เขาผ่านเรื่องที่เจ็บกว่านี้มาแล้ว แผลเล็กแค่นี้ ไม่เป็นอะไรเลยสักนิดคิดได้ดังนั้น เขามองรอยฝ่ามือบนแก้ม แล้วกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ……จื้อเหอและซังอวี๋ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เรื่องที่เกาต๋าเข้ามารับช่วงต่อโครงการรู่โจวก็ถูกประกาศภายในบริษัทในเวลาไม่นานทันทีที่ข่าวนี้เผยออกมา ทุกคนต่างประหลาดใจไม่น้อยแม้ว่าตอนนี้ซังหนี่ยังคงเป็นผู้จัดการบริษัทสาขาเมืองอิ๋น แต่ถ้าเกาต๋าถูกย้ายกลับไป คนที่นั่นทั้งหมดก็เป็นลูกน้องเก่าของเขาอยู่ดี แบบนี้ซังหนี่จะต่างอะไรกับผู้นำที่ไร้อำนาจกันล่ะ?แน่นอนว่าซังหนี่ไม่มีทางยอมมอบผลงานของตัวเองให้ใครง่าย ๆแต่ฟู่เซียวหานตั้งใจจะทำให้เธอเสียหน้า และเหมือนที่ซังหลินพูดไว้ เขาเป็นฝ่ายว่าจ้าง โครงการใหญ่อย่างรู่โจว เขาแค่ขอเปลี่ยนผู้รับผิดชอบเท่านั้น ซังอวี๋ที่เป็นฝ่ายถูกเลือกทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องยอมตามดังนั้น เอกสารที่ซังหนี่ตรวจทานซ้ำแล้วซ้ำเ
ฟู่เซียวหานถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่แววตาที่มองซังหนี่กลับไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆมีเพียงแค่...ความเย็นชาเท่านั้นมันเป็นสายตาของนักล่าที่จ้องมองเหยื่อ และยิ่งไปกว่านั้น มันคือสายตาของผู้ที่อยู่เหนือกว่ามองคนเบื้องล่างด้วยความเหยียดหยามร่างกายของซังหนี่สั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว!เขาแสร้งทำต่อหน้าเธอมานานเกินไปแล้วจนถึงตอนนี้ ซังหนี่เพิ่งนึกขึ้นได้——เขาไม่ใช่สุนัขที่เชื่อง แต่เป็นหมาป่าที่กระหายเลือดและเนื้อ!แต่ซังหนี่ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “ฟู่เซียวหาน คุณเป็นถึงผู้จัดการใหญ่ของจื้อเหอ แต่กลับใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ ไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะหรือไง!?”“ไม่เป็นไร ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีใครคานอำนาจผมได้แล้ว” ฟู่เซียวหานพูดช้า ๆ “อีกอย่าง โครงการรู่โจวใหญ่ขนาดนี้ จะให้คุณรับผิดชอบมันไม่ปลอดภัย ผมมีเหตุผลมากพอที่จะทำให้พวกเขาเชื่อ”ซังหนี่ไม่พูดอะไร แต่มือที่วางอยู่บนเข่ากลับค่อย ๆ กำแน่นขึ้น“แล้วไงต่อล่ะ?”ในที่สุด เธอก็เปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง ถามว่า “คุณคิดว่าคำสั่งนี้จะหยุดฉันไม่ให้แต่งงานกับจี้อวี้หยวนได้เหรอ?”“ฉันบอกไว้เลยว่า ไม่มีทาง ตอนนี้ฉันยิ่งต้องแต่งงา