ร่างบางในชุดดำยืนอยู่หลังตำหนักฮองเฮา มุมปากยกยิ้มน้อย ๆ นางออกสำรวจทุกซอกมุมของวังหลัง มีหรือจะไม่รู้ว่าเส้นทางลับนั้นอยู่ในสถานที่สำคัญที่สุดในวังหลวงแห่งนี้ นั่นคือตำหนักฮองเฮาจ้าวเหลียน สตรีหนึ่งเดียวที่กุมหัวใจของฮ่องเต้โม่เหยียนเฉา แม้ภายนอกจะดูมิใส่ใจในตัวภรรยาเอก แต่ที่ไหนได้ ความสำคัญทุกอย่างอยู่ที่สตรีผู้นี้ทั้งหมดหวีด ๆ!เสียงเป่าปากของหญิงสาวดังเป็นจังหวะ ผ่านไปเพียงมินาน มีชายในชุดสีดำผูกผ้าสีน้ำเงินเข้มไว้รอบศีรษะเป็นการแบ่งแยกอย่างชัดเจนปรากฏกายขึ้นกลุ่มใหญ่“กำจัดพวกมันทุกคน แล้วส่งสัญญาณให้คนของเรานอกวังหลวงโจมตีได้เลย คืนนี้ ข้าจะจบทุกอย่างให้หมด ตอนที่พวกมันกำลังสับสนและอ่อนแอ ย่อมเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่เราจะช่วงชิงทุกอย่าง”“องค์หญิงทรงพระปรีชายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”“ตอนนี้ ตัวข้าตายไปแล้วสำหรับชาวชีเป่ย เร่งลงมือเถอะ”บุรุษในชุดดำทั้งหมดโค้งให้แก่หญิงสาว ก่อนจะหายไปทำตามแผนการ เหลือเพียงผู้คุ้มกันเพียงสองคนที่คอยติดตามผู้เป็นนายเข้าไปยังภายในตำหนักของฮองเฮา ของสำคัญที่นางต้องการมิใช่ตรามังกร แต่เป็นแผนที่ลับของชีเป่ยต่างหาก สำหรับการเดินทัพทำสงครามนั้น สิ่งสำคัญคือแผ
องค์หญิงกั๋วเชียงหันกายกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตวัดสายตาตามเสียงของใครอีกคน ไม่เคยมีคนนอกเรียกนางว่าแม่ทัพเช่นนี้มาก่อน นอกจากคนที่คลุกคลีในสนามรบและปะทะกับนางมาเท่านั้น‘หรือในกองทัพข้ามีหนอนบ่อนไส้’“ออกมา…อย่าทำตัวเสมือนเต่าหดหัวอยู่อีกเลย หากรู้ว่าข้าคือผู้ใดก็จงแสดงตน”ร่างสูงเพรียวกว่าสตรีทั่วไปของเมี่ยวจ้านก้าวผ่านประตูเข้ามาด้านในอย่างเชื่องช้า เพียงก้าวแรกที่เยื้องย่างสู่ด้านใน ถึงกับสร้างความแตกตื่นให้แก่คนทั้งสามได้โดยมิรู้ตัวใครจะคิดว่าแม่ทัพไร้พ่ายผู้เหี้ยมโหดแห่งจิ้งหนานจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ในเมื่อองค์หญิงผู้นี้มาในฐานะแขกของงาน แล้วไยจึงได้มาอยู่ตรงนี้ได้เล่า องค์หญิงเมี่ยวจ้านมีความสัมพันธ์อันใดต่อชีเป่ยจึงได้คิดช่วยเหลือศัตรูของแคว้นตงเช่นนี้“พอดีข้าถูกไหว้วานให้ตามจับโจรในวัง เลยนึกสนุกมาช่วยอี้กงกงจับโจรไร้น้ำยา ที่ผยองจนลืมไปว่าที่นี่คือวังหลวงชีเป่ย”แส้หนังงูในมือของกั๋วเชียงถูกคลายออกเตรียมพร้อมสำหรับต่อสู้ นางเคยปะทะกับรองแม่ทัพแห่งจิ้งหนานมาครั้งหนึ่ง ตอนนั้น นางได้รับบาดเจ็บมิน้อย แล้ววันนี้ ผู้ที่มาคือแม่ทัพผู้ถูกขนานนามว่าขุนพลไร้พ่าย นางไม่กล้าที่จะประเมิ
“ฮา ๆ จะด่าข้าไยมิมองดูตนเองก่อนเล่า ข้าหรือเจ้ากันแน่…ถึงข้าจะเป็นสุนัขรับใช้ แต่ก็เป็นสุนัขสูงศักดิ์ มิได้ต่ำชั้นถึงต้องคอยแอบวิ่งไปหลบซ่อนกินอาหารบ้านเมืองอื่นแล้วยังมาปากกล้าอีก เช่นนี้ควรตีให้ฟันร่วงใช่หรือไม่”ชายหนุ่มมิได้เอ่ยสิ่งใดตอบโต้ ทว่ากลับพุ่งเข้าหาอี้กงกงอย่างเต็มกำลัง สองร่างกวัดแกว่งอาวุธเข้าห้ำหั่นกันอย่างมิยอมถอยให้อีกฝ่าย ชายหนุ่มเองแม้จะบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย แต่ทุกกระบวนท่านั้นกลับเสมือนไร้ซึ่งความเจ็บปวดฉึบ! ใบหน้าของอี้กงกงมีเลือดไหลซึมออกมาจากรอยแผลบางเฉียบเมื่อถูกปลายกระบี่ของชายหนุ่มพาดผ่านไปในขณะที่มิอาจหลบได้พ้น“อึก!” กึก!ร่างสูงในชุดสีดำใช้มือข้างที่มิได้จับอาวุธ วางทาบไว้บนอกแกร่ง ด้วยตอนนี้ภายในอกนั้นบอกได้เพียงว่าเสมือนมันกำลังจะแหลกเหลวประหนึ่งเต้าฮู้ถูกฝ่ามือบดขยี้ก็มิปาน เท้าหนาพยายามหยุดร่างมิให้ถอยไปชนสิ่งของด้านหลังเอาไว้ให้ได้ผ่านไปมิทันถึงครึ่งก้านธูป ห้องโถงใหญ่ภายในตำหนักฮองเฮาจ้าวเหลียน กลายเป็นสนามรบมิพอยังคงทิ้งเศษซากของสิ่งปรักหักพังเอาไว้ทั่วบริเวณ พร้อมร่างแน่นิ่งของศัตรูต่างแคว้นอีกหนึ่งร่างอี้กงกงมองหาองค์หญิงต่างแคว้นทั้งสอง รวมถึง
น้ำเสียงเย็นเยียบกระซิบข้างหูของคนที่ยังยืนพิงเสาด้วยแส้ทองยังคงพันธนาการเอาไว้อยู่ ทั้งที่ขาสองข้างขององค์หญิงแห่งตงนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะยืนอีกต่อไป สองแขนตกข้างลำตัวมิอาจแม้แต่จะขยับได้อีก ภายในนั้นบอบช้ำมากอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยุติทุกการเคลื่อนไหวของนางคือด้ามแส้หนังงูที่ปักตรึงอยู่ตรงลำคอ“หะ…หุบ ผะ…ผา…ระ”กั๋วเชียงพยายามที่จะเอ่ยถึงสถานที่บางแห่งกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้างามของหญิงสาว ที่แห่งนั้นใช่นางมิรู้จัก นางรู้ดีว่าที่แห่งนั้นคือสถานที่เดียวที่นางจะปลอดภัย แต่เพราะสิ่งที่นางพยายามไขว่คว้ามาไว้ในมือ ทำให้มิคิดถอยตามคำขอของนางกำนัลข้างกาย ‘พวกเจ้าจะจบสิ้นอย่างน่าอนาถ หากข้าสิ้นใจ เมี่ยวจ้าน’“ข้าพร้อมเสมอที่จะสู้ ในเมื่อเจ้าล้ำเส้นของข้า ต่อให้เป็นเทพเซียน ข้าก็มิหวาดหวั่นหากลงมือกระทำต่อคนที่ข้ารัก”ทุกถ้อยคำของเมี่ยวจ้านหนักแน่นมั่นคง ก่อนจะขยับถอยออกห่างจากร่างบางของกั๋วเชียง พร้อมสะบัดคลายแส้ออกจากลำคอระหงของอีกฝ่าย... เมี่ยวจ้านไม่แม้แต่จะสนใจร่างบอบบางที่ล้มลงต่อหน้า หญิงสาวทำเพียงหันหลังให้ก่อนจะก้าวไปยังผู้มาใหม่ที่ยืนมองนางด้วยสายตาตกตะลึ
‘อย่างไร คืนนี้ ทุกอย่างต้องจบสิ้นลง ยังจะให้ข้ามานั่งบริจาคเลือดให้ยุงพวกนี้อยู่อีกนะ ท่านเมี่ยวจ้าน’ครืดดด เสียงหินเคลื่อนตัว นั่นคือมีคนกำลังจะออกมาจากเส้นทางลับ ม่อตูขยับหลบเข้าในเงามืด ปรับลมหายใจให้แผ่วเบาพลางกระชับอาวุธที่อยู่ข้างเอวสอบในทันที เมื่อเห็นคนที่ออกมาได้ถืออาวุธในลักษณะเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้‘ท่าจะมิสู้ดีแล้วกระมัง’เมื่อก้าวพ้นทางลับออกมา ชายหนุ่มก้าวเท้าไปยืนนิ่งรอคนที่ตามมาเบื้องหลังอยู่กลางลานกว้าง เขามิคิดที่จะหนี เพราะถึงอย่างไร คืนนี้ ทุกอย่างต้องจบลงชายหนุ่มยกบางอย่างขึ้นจ่อที่ริมฝีปากก่อนจะเป่าเบา ๆ เป็นจังหวะ พอดีกับที่อี้กงกงติดตามออกมายืนอยู่มิห่าง ขันทีสูงวัยจดจ้องผู้อ่อนเยาว์กว่าด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ต่อให้คืนนี้ เขาไม่อาจเอาชนะคนตรงหน้าได้ก็ยอมตายเสียยังดีกว่าหนีเอาตัวรอดเพียงลำพัง“ท่านชายเสิ่น วังหลังห้ามบุรุษเข้ามาโดยมิได้รับอนุญาต ข้าในฐานะผู้ดูแลขอตัดสินโทษของการบุกรุกในครานี้เสียเลยแล้วกัน”“ฮา ๆ อี้กงกง เจ้ากับข้าไยมิตกลงกันดี ๆ เล่า เจ้าควรเลือกที่จะแก่ตายอยู่ในวังพร้อมตำแหน่งผู้นำขันทีทั่วทั้งวังหลวง มิดีกว่าเอาลมหายใจมามอบให้แก่คมดาบข้า
ม่อตูฉวยจังหวะที่ทั้งหกมิทันตั้งตัว พุ่งเข้าหาในทันทีพร้อมมอบความตายให้เหล่าองครักษ์ไปกว่าสี่คนในเวลาเพียงพริบตา ส่วนอีกสองคนที่หลบหลีกการโจมตีไปได้ ต่างก็เร่งเร้าพลังเพื่อป้องกันตนเอง ทั้งสองอดมิได้ที่จะมองไปยังผู้เป็นนาย ซึ่งสภาพที่เห็นนั้นดูเหมือนจะลำบากอยู่เช่นกัน‘เป็นไปได้อย่างไร คนเพียงสามคนเท่านั้น ไยจึงล้มพวกเราที่มีมากกว่าเท่าตัวลงได้เช่นนี้’ หนึ่งในสององครักษ์รำพันอยู่ภายในใจเมี่ยวจ้านยังคงยืนนิ่งพร้อมแส้ที่สะบัดไปมาด้วยพลังที่ถ่ายทอดลงสู่อาวุธประจำกาย สองปีก่อนนั้นเป็นบทเรียนอันล้ำค่าเมื่อนางพ่ายให้แก่บิดาผู้ให้กำเนิด ด้วยขณะนั้น ร่างกายของนางมิพร้อม ต่างจากครานี้ที่นางเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี แม้จะได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย แต่จะให้นางล้มลงร้องขอชีวิตจากศัตรูนั้นยากยิ่ง มันจะไม่มีวันเกิดขึ้นเป็นอันขาดเสิ่นหลางฉีเองก็มิยอมให้หญิงสาวได้เห็นถึงความเจ็บปวดของตนเช่นกัน นับตั้งแต่เกิด เขาไม่เคยรู้สึกพ่ายแพ้เช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้ง ในสายตาทุกคน เขาคือคนที่สุขุม เก่งกาจเรื่องตำราเหนือสหายรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ครั้งนี้ ผู้ที่ทำให้รู้สึกอับอายกลับเป็นหญิงสาวจากต่างแคว้น ไม่เคยคิดมาก
ชายชุดดำได้ส่งสัญญาณจากกำแพงเมืองให้กับกองทัพฝั่งตนรับรู้ ซึ่งดูเหมือนจะฉวยโอกาสในช่วงก่อนมีงานพิธีเฉลิมฉลองใหญ่ครั้งนี้ไม่กี่วันคอยส่งทหารมือดีที่สุดของแคว้น มิว่าจะเป็นแม่ทัพนายกอง แฝงตัวเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านและเมืองรอบ ๆ เพื่อรอจังหวะเหมาะสมบุกยึดเมืองหลวง โดยมีคนในของชีเป่ยคอยปูทางเอาไว้ให้กองทัพจากแคว้นตงเคลื่อนพลในทันทีเมื่อได้รับสัญญาณจากคนด้านใน ประตูเมืองทั้งสี่ด้านตอนนี้มีกำลังในการป้องน้อยนิด เพราะถูกเกณฑ์เข้าไปช่วยปกป้องประตูวังหลวง ทั้งยังเป็นทหารฝั่งกบฏมากกว่าครึ่งทำให้ง่ายต่อการบุกโจมตี“คุณหนูพวกมันเคลื่อนไหวแล้วขอรับ”“อืม…ลงมือได้ จำไว้ว่าให้พวกมันเข้าไปให้หมด ค่อยจัดการ”ร่างระหงในชุดเกราะยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางกองทัพสกุลหลิวและกองกำลังจากสกุลหลง โดยมีหลงเป่าร่วมเป็นผู้นำในครั้งนี้ด้วย เมื่อแมวน้อยพากันหมายจะมาขโมยปลาถึงในบ้าน ก็จำต้องจับแมวตัวอ้วนมาลงทัณฑ์“ท่านน้า ลำบากท่านแล้ว”“เป่าเอ๋อร์ เพื่อพี่น้องของเรา คำว่าลำบากนั้นมิใช่สิ่งที่มีอยู่ในใจของข้า”“ขอรับ”เมื่อกองทัพจากต่างแคว้นเข้าสู่ประตูเมืองทั้งสี่ด้านจนหมดทุกคนแล้ว ซึ่งดูจะง่ายดายเสียเหลือเกินในสายตาของผ
ครั้งนี้มันกลับระเบิดเสียงดัง ทำให้มีบ้างที่ทหารอีกกลุ่มภายในโล่อื่นแตกกระจายกันออก มีทั้งบาดเจ็บมากน้อยตามแรงระเบิดที่ได้รับ จะมีเพียงโล่ที่ใช้ป้องกันผู้นำเท่านั้นที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ส่วนทหารที่มิได้ยกโล่ทำการเตรียมลูกศรเพื่อยิงเปิดทางให้แก่กองทัพของตนเอง เสียงโล่หนากระแทกพื้นเป็นจังหวะเพื่อให้ทหารที่อยู่ในเกราะกำบังแต่ละคนทำตามอย่างพร้อมเพรียงหลิวเจินเจินไม่อยากที่จะเสียเวลานานไปกว่านี้ และสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังกระทำนั้นนางเข้าใจมันได้เป็นอย่างดี คนของตงกำลังตกเป็นรอง นางไม่อยากที่จะให้เกิดการพลิกหมากกระดานนี้ มือบางยกขึ้นส่งสัญญาณให้ทำตามแผนการขั้นต่อไป‘เจ้าคงลืมไปว่าบิดาข้า สามีข้า แม้แต่บุตรชายหญิงของข้าคือแม่ทัพ’ แม่ทัพหนุ่มผู้นี้ยังอ่อนประสบการณ์อยู่มาก แต่คงมีฝีมือเฉพาะตนอยู่มิน้อย ไม่เช่นนั้น ฮ่องเต้ตงคงมิคิดกำจัดโดยการส่งมาเช่นนี้เป็นแน่ หรือไม่ ชายหนุ่มผู้นี้ก็ต้องเกิดในสกุลที่เป็นปรปักษ์ต่อบัลลังก์สินะหลิวเจินเจินทำเพียงยืนมองเหล่าทหารต่างแคว้นที่ต้องเอาชีวิตมาสังเวยความต้องการของผู้เป็นนาย นางจะไม่ยอมยืนรอให้อีกฝ่ายตอบโต้ได้เป็นอันขาด หากจะว่านางโหดร้ายก็ไม่ผิด เพื่อปก
“มิได้นะพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา”“นี่คือคำสั่ง ไปซะ”จงกงกงที่ถืออาวุธประจำกายผู้เป็นนายมาด้วย ได้ก้าวไปยังเตียงนอนก่อนจะวางกระบี่ไว้ข้างกายผู้เป็นนายหญิงแล้วขยับออกห่างเยว่เหยียนลุกขึ้นโดยยื่นมือไปรับน้องสาวกลับมาผูกติดกายไว้เช่นเดิม ก่อนจะเดินห่างผู้เป็นมารดาด้วยอาการนิ่งเงียบ มิเอ่ยสิ่งใดกับผู้ใดแม้แต่ครึ่งคำสองแม่ลูกเจ้าของบ้านกลับเข้ามาในห้องพร้อมห่อผ้า มารดาของหย่งฉีก้าวไปหยุดตรงหน้าขององค์ชายเยว่เหยียน ก่อนจะย่อกายให้“บุตรชายของข้าจะนำทางองค์ชายเข้าไปหลบซ่อนในป่าเพคะ”“เจ้าไปกับพวกเขา นี่คือคำสั่งของข้า อย่าได้มีใครขัดคำสั่งหากยังเห็นข้าเป็นฮองเฮาอยู่”“เพคะ เช่นนั้น หม่อมฉันจะปกป้องทั้งสองพระองค์ด้วยชีวิตเพคะ”สองแม่ลูกไม่รอช้า โดยหย่งฉีเป็นคนเดินนำหน้า มีเยว่เหยียนเดินตามไป มารดาของหย่งฉีและองครักษ์ติดตามไปอีกหนึ่งคน ส่วนที่เหลืออยู่ดูแลฮองเฮา รวมถึงจงกงกงที่มิห่างกายผู้เป็นนายหญิงไปที่ใด“พวกเจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าหรืออย่างไรกัน”“พระนาง มิว่าอย่างไร พวกข้าก็มิอาจทอดทิ้งพระนางไปที่ใดได้ ได้โปรดอย่างทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”ก่อนที่จะทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เสียงของผู้บุกรุกได้เรียกความสน
ชายป่านอกหมู่บ้านร่างสูงของถงไท่ซินยืนเอามือไพล่หลังมองไปยังอีกด้านของป่าที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆแกร๊บ! เสียงเหยียบใบแห้งมาจากทางด้านหลัง เขามิจำต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร“วันนี้ ข้าหวังว่าจะได้รับข่าวที่ดี”“นายท่าน ตอนนี้ที่เฉินอันยังคงนิ่งเงียบอยู่ขอรับ คนของเราพยายามที่จะสืบหาว่า ข่าวเรื่องนายหญิงยังมีชีวิตอยู่นั้นมาจากที่ใดขอรับ ข้าเกรงว่า…เอ่อ...”“เกรงจะเป็นกลลวงให้ข้าเผยตนสินะ” ถงไท่ซินต่อความให้ผู้มารายงาน“ขอรับ”“ในเมื่อตัวข้าก็ชรามากแล้ว จะตายวันใดก็มิอาจบอกได้ แล้วข้าจะกลัวไปเพื่ออะไรกัน”ถงไท่ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย เขารู้สึกมีความหวังขึ้นมาเมื่อรู้ข่าวว่า แท้จริงแล้ว ภรรยาของเขายังคงมีชีวิตอยู่จากแหล่งข่าวที่ใดสักแหล่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ จึงทำให้ชรารีบลงจากเขาเพื่อที่จะมาพบกับคนขอตนเพื่อฟังความจริงจากปากอีกครั้งภาพใบหน้าภรรยาผู้เป็นที่รักเวียนกลับมาในห้วงความคิด พาให้ถงไท่ซินนึกย้อนไปยังเรื่องราวเมื่อนานมาแล้วด้วยหัวใจอันร้าวรานแคว้นเฉินอันตำหนักหลวงซึ่งเป็นที่พำนักร่วมกันของฮ่องเต้เยว่ไท่ซานกับฮองเฮาเยี่ยซีเซียน เวลานี้ทั่วทั้งแคว้นต่างเฉลิมฉลองการถือกำเนิดขององค์
“ท่านตาขอรับ ไยท่านตาถึงได้ชอบที่จะอยู่บนเขาซินไห่นี่เล่าขอรับ ไยมิลงไปอยู่กับพวกเราขอรับ”ถงเอ่อหลางเอ่ยถามผู้เป็นตาด้วยความสงสัย เขาจะขึ้นมาอยู่บนเขาเพื่อฝึกฝนวิชากับผู้เป็นตา ในช่วงเวลาที่ผู้เป็นตากลับจากเกาะดอกเหมย“ตาจะได้มองเห็นยายเจ้าได้ทุกวันอย่างไรเล่า นางอยู่ทิศนั้น ในที่ที่เราจะไม่มีโอกาสไปถึง”“ท่านตาชรามากแล้วก็ทำใจให้สงบเถิดขอรับ ท่านยายได้หลับไปนานแล้วนะขอรับ”“ฮา ๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้ามันช่างเจรจาเกินไปแล้ว ไม่นาน ตาของเจ้าก็จะหลับไปชั่วกาลเช่นเดียวกับท่านยายของเจ้า”“ท่านตาขอรับ ท่านอาม่งเหยางดงามมากเลยใช่ไหมขอรับ”เมื่อหลานชายเอ่ยถึงบุตรสาวผู้ล่วงลับ แววตาอ่อนแสงเจือความอาลัยพลันฉายบนดวงตาที่เริ่มฝ้าฟาง ถงไท่ซินหันมามองเด็กชายช่างซัก ก่อนปล่อยวางเรื่องโศกเศร้าในอดีตไปกับสายลม ใช้ลมหายใจที่เหลืออยู่กับปัจจุบันทุกเสี้ยวเวลา ยามลาจากโลกนี้ไปแล้วจะได้มิรู้สึกผิดกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ระลึกเช่นนั้นจึงส่งยิ้มกว้างให้หลานชาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมหยอกเย้าเอ็นดู“ใช่แล้ว นางงดงามมิแพ้มารดาของเจ้าเลย เจ้าอยากรู้ไปทำไมรึ”“ก็เพราะใคร ๆ ก็ว่ามู่หลันเหมือนท่านอามาก เอ่อ…จากที่ข้ามองดู
“เสด็จพี่ทั้งสองอย่าทรงกังวลไปเลย อย่างไรเสีย ลูกหลานของเราก็เลือกที่จะทอดทิ้งเราไปแล้ว”โม่เหยียนเฉาและโม่เหยาต่างหันขวับมามองน้องชายเป็นตาเดียว ด้วยถ้อยคำตอนท้ายมันขัดกันกับคำตอนต้น โม่หยางจงยิ้มร่า เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาสงสัยของพี่ชายทั้งสอง“เจ้ายังเป็นปกติดีอยู่หรือไม่ หยางจง”“ข้าแค่อยากให้เสด็จพี่ทั้งสองผ่อนคลายลงบ้าง อนาคตจะเป็นเช่นไร เรามิอาจบอกได้ แค่ตอนนี้ เราสามพี่น้องยังมีลมหายใจดื่มด่ำกับความสุขยามชราก็ดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“หึ ๆ เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้ เข้าข้างในกันดีกว่า ข้าหิวมากแล้ว”สามพี่น้องพากันก้าวเข้าไปในตัวบ้าน พร้อมเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข เสียงสนทนากันอย่างออกรสของพี่น้องสกุลโม่นั้น ยากที่ใครจะได้พบเห็น ยามใดที่มายังบ้านหลังนี้ พวกเขาจะละวางเรื่องบ้านเมืองลงชั่วคราวเพื่อสัมผัสความอบอุ่นจากสัมพันธ์พี่น้องร่วมสายเลือดที่น้อยครั้งจะได้มีโอกาสพบปะกันพร้อมหน้าเช่นนี้หุบเขาเหมยแดงหญิงสาวในชุดสีดำนั่งเหม่อมองไปยังด้านนอกหน้าผาที่ยื่นออกไปยังน้ำตก ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดด้วยหน้ากากสีเงิน ดวงตานั้นกลับมามองเห็นแล้วก็จริง ทว่า รอยแผลที่อยู่ภายใต้หน้ากากกลับยังคงมีอย
เสียงอู้อี้ของถงมู่หลัน ทำให้จ้าวอวิ๋นรีบลุกขึ้นไปคว้าตัวหลานรักขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวมายังเตียงของผู้เป็นพี่ชายตามคำเว้าวอนร่างอ้วนกลมดิ้นเล็กน้อยเพื่อที่จะลงไปนั่งบนเตียงของพี่ชายที่ตอนนี้กำลังนอนกระสับกระส่าย มือป้อมนุ่มนิ่มเอื้อมไปแตะยังแก้มของพี่ชาย ก่อนจะทุ่มตัวลงไปเต็มแรงทับอยู่บนอกของถงเอ่อหลาง สร้างความตกใจให้แก่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนที่โม่ฟางเล่อจะยื่นมือไปเพื่ออุ้มบุตรสาวออกมาหมับ! มือของถงเอ่อหลางรวบกอดร่างอ้วนของน้องสาวเอาไว้แนบอกราวกับปกป้อง เช่นที่เคยทำมาตลอดในยามที่เขาเกรงว่านางจะเสียใจหรือกลัวใครจะมาทำร้ายน้องสาวเพียงคนเดียวเด็กชายหวาดกลัวว่าจะไม่อาจคุ้มครองคนที่ตนรักให้ปลอดภัย เหมือนในอดีตที่เขามิอาจปกป้องคนที่รักเอาไว้ได้“พี่จะปกป้องเจ้ามิให้ผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”“อือ ๆ พี่ใหญ่ ข้าร้อน ท่านพี่ตื่นได้แล้ว”ถงเอ่อหลางลืมตาโพลงขึ้นในทันที ร่างอ้วนกลมที่อยู่บนตัวเขานั้นช่างเหมือนใครบางคนในอดีตเหลือเกิน มือเรียวยกขึ้นลูบแก้มยุ้ยของน้องสาว“พี่รู้สึกว่ามีหินก้อนใหญ่หล่นทับตัวอย่างไรไม่รู้”“มีที่ไหนเล่าเจ้าคะก้อนหิน มีแค่อนาคตของหญิงงามที่สุดใต้หล้า
อวี้หลิงเซียวยกมือขึ้นห้ามองครักษ์เอาไว้เสียก่อน นางในตอนนี้แม้จะมียศแต่ก็เป็นธิดาของเจ้าเมืองเท่านั้น จะถืออำนาจบาตรใหญ่มากเกินไปมันดูไม่ดีสักเท่าไร ยิ่งมองการแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นแล้วบอกได้เพียงว่ามิธรรมดาเป็นแน่ไหนจะบุรุษหลายคนที่ยืนอยู่นั่นอีก มองแค่ปราดเดียวนางก็รู้ได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงทุกคน โดยเฉพาะคนที่อุ้มเด็กหญิงตัวอ้วนนั่นด้วยแล้ว ยิ่งมิควรที่จะต่อกรด้วย นางฝึกยุทธ์ตั้งแต่ห้าขวบ เติบโตมากับพี่ชายที่เป็นทหารย่อมต้องถูกสอนมาเป็นอย่างดี“ข้าน้อยหลิงเซียว ต้องขออภัยท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่มารบกวน ด้วยข้านึกว่าเป็นชาวบ้านทั่ว ๆ ไป เกรงจะเกิดอันตรายเอาได้หากมีโจรป่าผ่านมา”“ขอบใจเจ้ามากคุณหนู แล้วคราวหลัง ข้าจะเตือนหลาน ๆ ให้ระวังตัวให้มากขึ้น” จ้าวอวิ๋นนึกชื่นชมแม่สาวน้อยคนนี้ในใจ ดูเหมือนความนึกคิดของนางจะเติบโตกว่าวัยที่แท้จริงหลายปีทีเดียว“เจ้าค่ะ”“พี่สาว มากินกุ้งด้วยกันสิเจ้าคะ มู่หลันอยากมีพี่สาว มู่หลันไม่ชอบพี่ชายแล้ว”เด็กน้อยแก้มยุ้ยมิพูดเปล่า แต่ยังทำท่าทางน่าเอ็นดู พร้อมรอยยิ้มกว้างจนทำให้ตาของนางกลายเป็นเส้นตรง ก่อนจะสะบัดหน้าให้ผู้เป็นพี่ชายที่หันกลับ
“พี่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ถงมู่หลัน ว่าอย่าทำเช่นนี้อีก” เสียงเด็กชายวัยสิบขวบกำลังต่อว่าเด็กหญิงวันหกขวบด้วยท่าทางของผู้ใหญ่“…”แต่ยิ่งทำให้ผู้เป็นพี่รู้สึกโมโหขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อเด็กหญิงแก้มยุ้ยทำเพียงสบตาเขา ไม่มีแม้แต่คำแก้ต่างหรือยอมรับในความผิดหลุดจากปากเล็ก ๆ นั่นสักคำ ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มบิดเบ้พร้อมน้ำใส ๆ เอ่อคลอหน่วยตา ทั้งยังเม้มปากเสมือนเขากำลังทำร้ายนางให้เจ็บปวดแสนสาหัส“เฮ้อ!” ถงเอ่อหลางทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ วันนี้ เขาออกมาตกปลายังลำธารห่างจากตัวเมืองเจียงไห่พร้อมด้วยผู้ดูแล แต่ใครจะไปคิดว่าน้องสาวตัวดีจะแอบติดตามออกมาโดยแอบอยู่ใต้รถม้าของเขายิ่งคิดถึงสภาพเวลาผู้เป็นน้องสาวต้องเกาะอยู่ใต้ท้องรถม้า อาการสั่นสะท้านไปทั่วกายก็พลันเกิดขึ้น หากนางเผลอหลับหรือรถม้าวิ่งเร็วจนไปกระแทกกับอะไรเข้า นางอาจได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้“มู่หลัน พี่มีเจ้าแค่คนเดียว รู้หรือไม่ อย่าได้ทำให้ตัวน้องเองเป็นอะไรไป เข้าใจที่พี่พูดรึไม่”ถงเอ่อหลางใช้สองแขนรวบร่างอ้วนกลมของน้องสาวเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะใช้มือลูบศีรษะนางเบา ๆ เขาจำต้องทำให้นางยิ้มก่อนกลับบ้าน มิเช่นนั้น เขาจะถูกกักบริเวณเป็นแน่ หากผู
เวลาผ่านไปเพียงขวบปี จิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกจับได้ว่าคิดกบฏ ซ้ำยังฉ้อราชบังหลวง ทำให้ต้องโทษประหาร ส่วนพระชายาและพระธิดาถูกขับออกจากเมืองหลวง ทำให้ชื่อของจิ้นอ๋องโม่หยางจงถูกลบออกจากราชวงศ์ไปโดยปริยายทว่า ระหว่างทางขบวนส่งตัวอดีตพระชายาและท่านหญิงโม่เหลียนฮัวออกจากเมืองหลวงนั้น เกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นฮี้ ๆ เสียงม้าตื่นตกใจและเสียงการต่อสู้จากด้านนอกทำให้สองแม่ลูกที่นั่งอยู่ภายในรถม้าหวีดร้องด้วยอาการเสียขวัญ ทั้งคู่ต่างรีบลงจากรถม้า ก่อนจะวิ่งลึกเข้าไปในป่า ทว่า เสียงการไล่ล่าประชิดเข้ามาทุกขณะ จนในที่สุดทั้งคู่ก็ได้ตกอยู่ในวงล้อม“เจ้าคิดจะทำอะไร มิรู้หรือว่าข้าคือผู้ใด”“เพราะรู้อย่างไรเล่าถึงได้มา”“ท่านแม่ เราถูกสั่งฆ่าใช่หรือไม่เพคะ”“ท่านหญิงทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก ฝ่าบาททรงเมตตาต่อท่านทั้งสองยิ่ง ที่จะมอบความตายให้อย่างสงบโดยมิต้องทนมีชีวิตอยู่อับอายชาวเมือง ตายซะเถอะท่านหญิงทั้งสอง ดีกว่าอยู่เป็นแน่” คำพูดคล้ายชี้ชวนอย่างหวังดี ทว่า ความหมายกลับตรงกันข้ามร่างสูงของนักฆ่าในชุดดำที่อำพรางใบหน้าหลงเหลือเพียงดวงตาย่างสามขุมเข้ามาทุกทิศทาง แสงแดดกระทบดาบที่เงื้อง่าขึ้นสูงสะท้อนเข้าดว
‘เมื่อผู้ใดร้ายมา ข้าจะร้ายกลับมากกว่าหลายเท่านัก’ ในภายหน้า นางต้องมีลูก หากนางมิเข้มแข็งพอแล้วจะปกป้องพวกเขาที่จะเกิดมาในอนาคตได้อย่างไรกันจะให้ฝากลมหายใจไว้ที่ผู้อื่นนั้นย่อมเป็นไปมิได้ ไม่มีผู้ใดหายใจแทนกันได้ แม้แต่สามีของนางเองก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ สองมือตนเองเท่านั้นที่นางวางใจ และสองมือนี้ที่จะปกป้องคนที่รักจนกว่าลมหายใจของนางจะหมดลง‘ข้ารักพวกท่านทุกคน ครอบครัวของข้า’“เล่อเล่อ คิดอันใดอยู่หรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”ถงเหยียนเจี๋ยโอบกอดภรรยาจากทางด้านหลัง คางหนาวางบนไหล่มน มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าเวลานี้ภรรยากำลังคิดสิ่งใดในหัวมากมาย รวมถึงเรื่องของเขาที่ต้องสูญเสียน้องสาวเพียงคนเดียวไป ในคืนแรกนั้น ภรรยาโทษตัวนางเองว่าเพราะเขาแต่งงานกับนาง เรื่องเช่นนี้ถึงเกิดขึ้น กว่าที่เขาจะปลอบประโลมจนสงบลงได้ก็ใช้เวลานานกว่าสองชั่วยามการตายของม่งเหยาทำให้ใครหลายคนโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องตาย แต่ไม่เลย หากน้องสาวของเขาจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้ก็ย่อมทำได้ แต่นางเลือกที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบด้วยตัวเอง ดังนั้น เขาและบิดาจึงไม่คิดที่จะโทษผู้ใดทั้งนั้น“เล่อเล่อ เราเป็นสามีภรรยากันจริ