หญิงสาวไอโขลกๆ สองสามหน ศีรษะมึนงง นางไม่ได้ประมาท แต่เป็นเพราะมีหนอนบ่อนไส้ปะปนอยู่ในกลุ่ม นี่คือสิ่งที่นางสังหรณ์ใจมาพักใหญ่ ดวงตากลมโต มองพื้นที่ทั้งหมด ดูเผินๆ คล้ายสวนหิน ทว่ามีกับดัก และลูกธนู รวมถึงอาวุธลับที่สามารถพุ่งออกมาทำร้ายผู้คนได้ บริเวณพื้นพบโครงกระดูก และซากศพที่ยังไม่เน่า กระจัดกระจายอยู่ ประเมินแล้วคงมีคนมาก่อนหน้านางเมื่อไม่นานนี้ เหวินซืออี้ก้าวลึกเข้าไปเรื่อยๆ ตามแผนที่ซึ่งได้มา และพบล่องลอยบางอย่าง เป็นเลือดที่ยังสดๆ พร้อมกลิ่นหอมจางๆ จากถุงหอมมันปักชื่อของเหวินเจิ้งเทา เห็นเช่นนี้ก็ยิ่งร้อนใจ ถึงอย่างนั้น นางยิ่งระแวดระวังวัยกว่าเดิม จุดนี้มีทางเดินคดเคี้ยว แสงสว่างภายนอกส่องมาไม่ถึงจึงใช้ไข่มุกราตรีให้ความสว่าง ขณะเดียวกันก็นำมีดสั้นออกมาถือไว้เพื่อป้องกันตัว เมื่อก้าวไปไกลพอสมควร ก็แน่ใจว่า มีบางสิ่งเคลื่อนไหวตามมา นางจึงหมุนขวับ ยามนั้นได้เห็นเซวียนหลินที่ถูกตัดขาดจากกลุ่มเช่นเดียวกันนาง อีกฝ่ายจุดคบเพลิงมือ และส่องมาทางเหวินซืออี้ “รีบเดินต่อไปสิ หลานข้าทั้งคน เขาเป็นสายเลือดของแม่ทัพเซียว ผู้กอบกู้บ้านเมือง เรื่องน
ซ่านสวาทสองรัก เหวินซืออี้กลับมาที่เรือนบ้านสวน นางอ่อนเพลีย และหลับๆ ตื่นๆ ตลอดการเดินทาง อีกทั้งได้ย้อนกลับไประลึกถึงช่วงเวลาก่อนเข้าร่างจางเหยา เป็นเหตุการณ์ที่ก่อนหน้าซึ่งทั้งนางกับเจ้าของร่างถูกปิดกั้นเอาไว้ นั่นเป็นเพราะนอกจากพลัดตกไปลงไปในบ่อน้ำลืมเลือน จางเหยายังเผลอทำเรื่องน่าเหลือเชื่อ ดังนั้นเจ้าของร่างจึงไม่อยากมีความทรงจำในช่วงเวลาดังกล่าวหลงเหลือไว้อีก ที่สำคัญนางไม่อาจเลือกใคร ไม่ว่าจะเป็นสวีเกาหาน หรือ เฉิงเซ่าเทียนก่อนหน้านั้น จางเหยาได้แผนที่สุสานโบราณชาวสุยจ้วงจากเฉิงเซ่าเทียน และยังขโมยม้าจองสวีเกาหาน เพื่อหลบหนีจากพวกพ่อค้าชั่ว เนื่องจากคนพวกนั้นคิดเอาสมุนไพรที่นางปรุงได้ไปโดยไม่จ่ายเงิน ทั้งอยากข่มเหงและกักขังนางไว้ โดยมีความประสงค์อยากส่งตัวนางไปเป็นของเล่นจือคัง ดูเหมือนว่าผู้คนในอดีต ล้วนเกี่ยวข้องกับนางไม่ทางใดทางหนึ่ง (ส่วนนี้เป็นความทรงจำของจางเหยา ผู้เขียนจะบรรยายในแนวคิดของจางเหยาเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ) ซึ่งคราแรกเมื่อที่จางเหยาลงจากเขา เพื่อนำขี้ผึ้งเนื้อดี และน้ำมันหอมมาขาย นางพบเฉิงเซ่าเทียน ยอมรับว่าหัวใจเต้นไหวอย่างบ้าคลั่ง
จางเหยาเป็นโจรดั่งคำเขาว่า นางขโมยแผนที่เฉิงเซ่าเทียน และหว่านเสน่ห์สวีเกาหาน แล้วขี่ม้าเขามาอย่างไม่บอกกล่าว “ฮึ มือของท่านนั้น จงเอามันออกไป” ปากบอกเขา แต่ไม่ทันแล้ว สาปเสื้อนางแยกออก มือเรียวยาวเข้าไปนวดเฟ้นความนุ่มนิ่มของนาง “อ๊ะ...” ด้วยเมื่อครู่กำลังเคลิ้มไหว ไม่ทันได้มองรอบๆ ตัวให้ดี ยามนี้ ฝ่ายเฉิงเซ่าเทียนจึงมาประกบอยู่ด้านหน้าเสียแล้ว “พวกท่านต้องการทำสิ่งใด?” “หึๆ ๆ เพียงแค่สอบเค้นหาความจริง จากนางโจรราคะ ที่ปล้นเอาหัวใจข้ากับสหายเกาหานไปอย่างร้ายกาจ” เสียงเฉิงเซ่าเทียนเหี้ยมเหลือเกิน แต่ถึงจะเหี้ยมเพียงนั้น ทว่านางกับเร้าใจ ทั้งความซ่านสยิวบังเกิดขึ้นอย่างสูง ยากระงับไว้ได้ “ที่แท้ เทียนต้าเกอก็วางแผนลวงข้า” “เด็กน้อย หากเจ้าไม่มือไว ไฉนจะได้ของข้าไปหรือ...” เฉิงเซ่าเทียนกล่าว ส่วนสวีเกาหานจูบหนักๆ ที่ลำคอระหง พร้อมกันนั้น เขาช้อนสองเต้าอวบๆ ของนาง แล้วใช้นิ้วยาวสัมผัสปลายยอดถันที่แข็งเป็นไต สีของมันเข้มขึ้น ชวนให้ชายหนุ่มทั้งสองละเลงลิ้นดูดดุน “ม้าของข้า เจ้าก็ไม่ละเว้นขโมยไปหน้าด้านๆ
ชาติภพปัจจุบัน เหวินซืออี้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ยามนี้นางไม่ได้อยู่ที่บ้านสวนที่แสนอบอุ่น หากเป็นกำแพงป้อมสังเกตการณ์เมืองไฉ หญิงสาวสะดุ้งเฮือกไปทั้งร่าง รีบสำรวจเสื้อผ้าของตน รวมถึงสัมผัสที่หน้าท้องจึงรู้ว่าตนไม่ได้ตั้งครรภ์ อีกทั้งนางไม่ใช่เด็กสาวเยาว์วัย อายุเหมือนจะผ่านพ้นวัยยี่สิบตอนต้นมาหลายปี ยามนี้นางอยู่ในชุดสีแดงก็จริง หากไม่ใช่สำหรับงานแต่ง แต่เป็นเสื้อผ้าสำหรับขุนนางหญิงแคว้นเหลียง คราวนี้ดวงตากลมโตสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียดกว่าเดิม และรู้ว่านางกลับมาเป็นลูกสาวของคนสกุลเหวิน คือคุณหนูห้าคน ทว่าไม่ได้มีชีวิตเพื่อบุรุษที่ชื่อเซียวหัวเฟิง คนผู้นั้นกับนางย่อมไม่มีเส้นทางที่จะเดินร่วมกันอีก “คุณหนูเจ้าคะ อยู่บนนี้นานแล้ว เมื่อไหร่จะกลับลงไปด้านล่าง ที่นี่ลมแรงเกินไป หากไข้กำเริบขึ้นอีก บ่าวคงถูกโบยจนเดินไม่ได้แน่ๆ” เสียงดังกล่าวเป็นของเหนี่ยวเอ๋อร์ สาวใช้คนสนิทของนาง กลับมาครั้งนี้อีกฝ่าย ยังมีชีวิตรอด ไม่ได้เป็นเศษซากในกล่องไม้ “เสี่ยวหยุนเล่า... ตามนางมาพบข้าเดี๋ยวนี้”เหวินซืออี้ว่าอย่างร้อนใจ และทำให้เหนี่ยวเอ๋อร์ทำตัวไม่ถูกไปด้วย กระ
ครอบครัวนั้นสำคัญยิ่ง ห้าวันต่อมา เหวินซืออี้เดินทางเข้าเมืองหลวง เพื่อสอบสวนเซียวหัวเฟิงโทษฐานสมคบคิดกับจือคังเพื่อก่อกบฏ รวมถึงนางต้องการเห็นหน้าเกิงเตียวอิ๋ง ด้วยอยากรู้ว่าอีกฝ่ายในยามนี้เป็นเช่นไร แน่นอนเมื่อไปถึงเมืองหลวง คนแรกที่พูดคุยย่อมเป็นเกิงเตียวอิ๋ง โดยที่นางวางแผนสำคัญไว้ ซึ่งต้องยอมรับว่ามันค่อนข้างเสี่ยงภัย ทั้งอาจมีความผิดตามมา แต่เหวินซืออี้นั้นมีความแค้นที่ต้องสะสาง ชาติใหม่นี้ นางจึงยอมหัก ไม่ยอมงอ และอย่างไรก็ตามนางมั่นใจว่า เหลียงอ๋อง(สวีเกาหาน) ให้การสนับสนุนนางเต็มที่ ฝ่ายเกิงเตียวอิ๋งรู้สึกประหลาดใจ จู่ๆ วันนี้มีผู้คุมหญิงสั่งให้ออกจากเรือนพัก ต้องเดินทางไปที่อื่น พอรับรู้เช่นนี้ เกิงเตียวอิ๋งอดระแวงไม่ได้ “ข้าไม่ได้ร้องขออันใด อีกทั้งกำลังท้อง การเดินทางใช่เรื่องที่ข้าควรกระทำหรือ” “เซียวฮูหยิน เจ้าไม่มีสิทธิสงสัยหรือโต้แย้ง แค่ทำตาม” ผู้คุมหญิงจากสำนักยุติธรรมบอก เกิงเตียวอิ๋งไม่ชอบน้ำเสียงผู้คุมหญิงคนนี้เอาเสียเลย นางคิดหวีดร้องใส่หูอีกฝ่าย ทว่าการถูกผลักไหล่แรงๆ พร้อมออกคำสั่งเสียงดัง ทำให้หญิงสาวต้องก้าวตา
“ยามนี้ท่านคงรู้แล้วว่า ภรรยาที่เกิดจากมารดาซึ่งสตรีที่คบชู้กับขันที ได้ตั้งครรภ์สายเลือดของท่าน” ชายหนุ่มได้ยินอย่างนั้น ก็แจ้งชัดว่าเหวินซืออี้แค้นใจที่เขาถอนหมั้นนางเมื่อในอดีต ทว่าสำหรับเขา หญิงสาวมิใช่คนที่อยากได้เป็นสตรีข้างกาย นางแข็งกร้าว ทั้งยังมีนิสัยชอบเอาชนะจนเกินไป เขานิยมหญิงสาวอ่อนหวาน ช่างเอาใจ ที่สำคัญนางต้องสามารถเป็นกำลังหนุนแก่เขา “บอกความประสงค์ของใต้เท้าซืออี้มาเถิด...” เขาแสร้งยกย่องนาง และเหตุใดจะไม่ล่วงรู้ว่า เหวินซืออี้กับคนของนางที่ถูกส่งตัวมาจากอดีตพ่อบุตรธรรม คือพวกที่หาหลักฐานต่างๆ มาพลิกดำให้เป็นขาว หวังโค่นอำนาจในมือเขาลง “จงสารภาพความจริงมาเสีย แล้วท่านจะมีชีวิตรอด ภรรยาท่านก็จะมีโอกาสคลอดบุตร โดยไร้อันตรายใดๆ” “ความจริง!” “ใช่ หากท่านไม่ผิด เรื่องทั้งหมดจะกลายเป็นว่า แม่ทัพเซียว ถูกใต้เท้าจือบงการและหลอกใช้ ฝ่านท่านมิได้มีเจตนาร้าย อีกทั้งยังถูกยากล่อมประสาทจากเกิงเตียวอิ๋ง ดังนั้นสติของท่านจึงไม่คงที่ ไม่ถึงขั้นเลอะเลือน แต่ก็แยกแยะดีชั่วไม่ออก!” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง เหวินซืออี้ต้องการพูดสิ่งใดกันแน่
ผู้ชนะที่แท้จริง เหวินซืออี้ยืนอยู่ที่ประตูป้อมสังเกตการณ์เมืองไฉ มันคือจุดที่นางจะได้เห็นขบวนเล็กๆ ที่มีทหารมากฝีมือขี่ม้านำอยู่ด้านหน้า เพื่อไปยังแคว้นฉาง ตามข้อตกลงส่งตัวประกัน ธงสีเลือดหมูโบกไสวไปมา และหญิงสาวรับรู้ได้ว่า นางทำในสิ่งที่ต้องปรารถนาสำเร็จแล้ว แน่นอนว่า คนอย่างเซียวหัวเฟิงยอมถูกทรมานสารพัด สุดท้ายเขาก็ไม่เอ่ยปากโยนความผิดใดๆ ให้จือคัง ทั้งยังบอกว่าเขาถูกกล่าวหา ไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาไม่เคยคิดขายชาติหรือร่วมมือกับชาวสุยจ้วงอย่างที่เหวินซืออี้พยายามป้ายความผิดให้ส่วนการที่จือคังสั่งเขายกทัพไปตีแคว้นฉาง จนเป็นเหตุให้องค์ชายสิ้นชีวิตไปถึงสามคน นั่นก็เป็นเพราะจือคัง คาดว่าแคว้นฉางเอาใจออกห่างแคว้นเหลียง ไร้สัจจะไม่เป็นตามข้อตกลงที่ให้คำมั่นไว้ว่า ทั้งสองแคว้นจะเป็นมิตรกัน โดยให้ละเว้นสังครามเป็นเวลาห้าสิบปี นอกจากนั้นจือคังยังอ้างว่า แคว้นฉางส่งไส้ศึกเข้ามาปะปนในวังหลวง คิดสังหารสวีเกาหาน จากนั้นก็จะให้ฝ่ายคนของตนคัดเลือกผู้รักษาราชการแทน แล้วฮุบเอาทุกสิ่งทุกอย่างของแคว้นเหลียงไปทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดที่จือคังกล่าวอ้างล้วนเป็นความเท็จ อนิ
“เสี่ยวอี้... บางครั้งการให้อภัยคือสิ่งที่ดีที่สุด ข้าเป็นซือฝูของเจ้า และพร่ำสอนอยู่เสมอว่าอย่าได้สร้างศัตรู มิเช่นนั้นก็จะมีการแก้แค้นไม่เลิก จากรุ่นสู่รุ่น” หญิงสาวส่ายหน้า และตอบเขา “ซือฝู เชื่อข้าเถิดคราวนี้ทุกอย่างจะสิ้นซาก... จุดที่ขบวนของเกิงเตียวอิ๋งผ่านนั้น ข้าวางระเบิดเอาไว้ และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในการทำชั่วครั้งนั้นจะไม่มีวันรอดชีวิต จึงไม่เหลือใครมาคิดบัญชีแค้นข้าอีก” เมื่อนางกล่าวจบ เสียงระเบิดก็ดังขึ้น ภาพที่ห่างออกไปแม้มองจากป้อมสังเกตการณ์ก็ชวนให้ขนลุกซู่ “จากนี้เสี่ยวอี้จะทำสิ่งใดต่อ...” “ความดี และบาปกรรมทดแทนกันไม่ได้ ก็จริง... และข้ามือเปื้อนเลือดเสียแล้ว จากนี้จะตั้งใจทำดีให้มากที่สุด อย่างน้อยเมื่อวันหนึ่งข้าต้องจากไป คงตายตาหลับ” “คิดหรือว่าข้าจะให้เจ้าไปไหนง่ายๆ กี่ปีแล้วที่ข้าเฝ้ารอเจ้า” สิ่งที่เฉิงเซ่าเทียนกล่าว ทำให้เหวินซืออี้มองเขา สายตานางไม่ได้จับพิรุธใดๆ ด้วยคาดเดาได้อยู่แล้ว ชายหนุ่มยังคงมีความสามารถที่ผู้อื่นอาจไม่ล่วงรู้ เขาสามารถอ่านความคิดคู่สนทนาได้ “หากซือฝูยังไม่เลิก ฟังสิ่งที
บทส่งท้าย ในอุ้งมือของเทพสงคราม กระทั่งทั้งคู่มาถึงจุดที่เป็นลานหิน และสามารถใช้พรางตนเพื่อซ่อนตัวจากมือสังหาร เซี่ยงหมิงก็เอ่ยว่า “ลูกธนูมีพิษ อาเสียน เห็นทีข้าจะปกป้องเจ้าไม่ได้อย่างที่เคยบอกไว้” จิ่นเสียนมองดูอีกฝ่าย ภาพในความหลังซ้อนทับกลับมา หลายสิ่งที่เกิดขึ้น เกี่ยวพันกับชาติกำเนิดของนาง “หนิงเกอย่อมปลอดภัย” “หากสวรรค์เข้าข้างข้าบ้างก็ดี แต่ยามนี้ข้าง่วงเหลือเกิน” หญิงสาวสูดลมหายใจลึก และเห็นว่าดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ เล็บมือดำ ฝ่ามือก็เช่นกัน พิษร้ายแรงนี้พวกที่ใช้ ย่อมเป็นฝ่ายที่ชอบเล่นสกปรก พลอยให้นางคิดไปถึงพิษที่โต้วเหวยถานได้รับ และนางคาดว่าเป็นฝีมือสตรีอำมหิตหมี่เจา “ข้าไม่น่าพาอาเสียนมาเสี่ยงอันตรายเลย อย่างไรเจ้าก็เป็นของคนผู้นั้นแต่แรก แม้ข้าจะมารู้ภายหลัง ทว่าข้ากลับไม่อาจหักห้ามใจ”เซี่ยหมิงพยายายามบอกบางสิ่งกับนาง ขณะเดียวกัน เขาคิดถึงภาพความหลัง เมื่อครั้งที่พบจิ่นเสียน ณ ตลาดข้าทาส ในช่วงเวลาที่นางอายุเพียงเจ็ดแปดขวบ ตัวเขายอมรับว่าไม่อาจละสายตาจากอีกฝ่าย ราวกับมีบางสิ่งเชื่อมโยงเอาไว้ตั้งแต่ชาติภพก่อน
ยามนั้น เข็มในมือปักเข้าใส่ต้นแขนทารกน้อย และกลิ่นเลือดหอมหวานก็โชยออกมา “นี่แค่เล็กน้อย หากขัดขวางข้าอีกอาจเป็นดวงตาเล็กๆ หรือ แขน ขาสักข้าง ที่หลุดหายจากร่างแบเบาะนี้ ” จ้าวข่านได้ยินอย่างนั้น จึงส่งสัญญาณเปิดทางให้แก่จวิ้นซี และพอนางเห็นช่องทางหลบหนีพลันพุ่งตัวไปอย่างเร็ว โดยได้รับการช่วยเหลือจากผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง กระทั่งนางจากไป เสียงของหน่วยเหยี่ยวไฟก็ถามพ่อบ้านจ้าว“ทารกน้อยอาจได้รับอันตราย พ่อบ้านจ้าวปล่อยนางไปเช่นนั้น แม่ทัพโต้วยังจะให้ท่านมีร่างกายครบสามสิบสองอีกหรือ” “เจ้าไม่รู้สิ่งใด ที่อันตรายย่อมปลอดภัยที่สุด และนางแค้นใจต่อแม่ทัพโต้ว ย่อมไม่มีวันปล่อยทารกให้ผู้อื่น ยิ่งกว่านั้นยังจะเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ด้วย” “เอ พ่อบ้านจ้าวเป็นหมอดูตั้งแต่เมื่อใด” จ้าวข่านยิ้มกว้าง และตอบว่า“สายตานางหลอกข้าไม่ได้ ใจนางรักแม่ทัพโต้ว และเกลียดเขาพอกัน สิ่งใดที่จะทำให้เขาเจ็บช้ำได้ มีหรือที่จวิ้นซีจะไม่ยอมทำ” กล่าวจบ จ้าวข่านก็มองเห็นว่ามีร่างของสตรีอีกคนที่โผนทะยานตามจวิ้นซีไป “อย่างที่แม่ทัพโต้วคาดการไม่ผิด ฝ่ายของพระสนมเคอ คงไม่ปล่อยให้ทารกของต
ขันทีฉีเป็นชายหนุ่มรูปงามอายุเพิ่งพ้นยี่สิบปีมาหมาดๆ เขาทำงานในวังหลวงนับแต่อายุได้เพียงห้าขวบ ซึ่งนับว่าเล็กมาก อย่างไรเสียเขาไม่ได้มีความรู้เพียงแค่การเอาใจเจ้านาย หากวรยุทธ์คนผู้นี้ก็นับว่าดีเยี่ยม อาจดีกว่ามือปราบหลายคนด้วยซ้ำ เมื่อออกจากตำหนักรื่อหงฮวามาได้อย่างปลอดภัย เขาก็กระโดดข้ามกำแพงวังหลวง ก่อนเข้าไปในตรอกเล็กๆ คับแคบ รอม้าที่เตรียมพร้อมเสมอเพื่อทำภารกิจลับ “ท่านจะไปที่ใด...” เสียงมือปราบดังขึ้น ฝ่ายนั้นรีบใช้วิชาตัวเบามาอยู่ตรงหน้าขันทีฉี ดวงตาเขาเจือความห่วงใยอย่างปิดไม่มิด“ข้าต้องส่งของสำคัญให้ถึงมือแม่ทัพโต้ว และเขาผู้เดียวเท่านั้นที่จะรักษาสมบัติล้ำค่านี้ไว้ได้” “คนผู้นั้น เป็นแม่ทัพก็ดี แต่เขาโหดเหี้ยมยิ่งกว่าปีศาจ อีกทั้งใครก็รู้ว่า ไร้ความปราณี และไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด” ขันทีฉียิ้มรับ แล้วกล่าวว่า“ด้วยเหตุนี้ นายหญิงถึงเลือกเขาให้ดูแลของสำคัญ” หัวคิ้วเข้มๆ ของมือปราบย่นเข้าหากัน และจมูกเขาก็ไวต่อกลิ่นมาก “เลือด... และกลิ่นคาว...” “อย่าพูดให้มากความ หากท่านจะขัดขวางข้า จงรู้ไว้แม้เป็นสหายข้าก็ไม่ยอมอ่อนข้อ”
ต่อจากนั้น จิ่นเสียนถูกพาไปขี่ม้ากับเซี่ยหมิง โดยที่นางไม่เต็มใจ การเดินทางตลอดสามชั่วยามทำให้ร่างกายที่อ่อนเพลียอยู่แล้วต้องเผชิญอาการป่วยไข้ ดังนั้นพอถึงถ้ำซึ่งเป็นแหล่งกบดานของพวกชยงเหล่าสู หญิงสาวจึงถูกอุ้มไปนอนบนฝูกหนานุ่ม พร้อมได้รับการดูแลเช็ดเนื้อเพื่อลดไอร้อน ยามนั้นมีเสียงของคนผู้หนึ่งทะเลาะกับเซี่ยหมิง เสียงดังกล่าวคล้ายจะทำให้จิ่นเสียน สะบัดร้อนสะบัดหนาว ความรู้สึกแสนน่ากลัว ทั้งเกิดอาการครั่นคร้ามใจตามมา “ลูกหมิง...ผู้หญิงคนนั้นสมควรถูกขายไปแล้ว และเจ้ายังตามตัวมันกลับมาเพื่อสร้างปัญหาอันใดอีก ฐานะที่เหมาะกับนาง ย่อมเป็นแค่ทาส เหมือนครั้งที่เจ้าพบนางในตลาดค้ามนุษย์ และไม่ควรพานางกลับเรือนตั้งแต่วันนั้น” “ท่านแม่ ทะ ท่านจำไม่ได้แล้วหรือ นางคือภรรยาของลูก เป็นสะใภ้น้อย ที่ข้าเก็บเงินซื้อนาง และข้าเกือบต้องเอาชีวิตเข้าแลก ชาตินี้ได้พบอาเสียนอีกครั้ง ขะ ข้าจะยไม่ปล่อยให้นางให้หลุดมืออีก” คนเป็นแม่ปวดหัวยิ่งนัก หวังว่าจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับจิ่นเสียนอีก แต่สวรรค์หรือจะให้โอกาสนาง หายนะร้ายแรงนั้นคงนับแต่จวิ้นซีลักพาตัวเด็กหญิงจากบุรุษผู้นั้นตามคำ
รถลาลากไม่ได้ให้ความสะดวกสบายแก่จิ่นเสียน กระนั้นก็ยังดีกว่านางต้องเดินด้วยสองเท้า ในรถไม่ได้มีหญิงสาวเพียงคนเดียว ร่างหนึ่งนอนขดบนพื้นไม้ หายใจแผ่วเบาและจ้องมาทางจิ่นเสียนราวกับต้องการบางสิ่งจากนาง “นางรับโทษแทนสามีซึ่งหายสาบสูญไป ทุกความผิดจึงตกมาที่นาง” คนที่ตอบเป็นเจ้าหน้าที่หญิงที่นั่งห่างจิ่นเสียน “ผู้หญิงให้โง่เพียงใด จงอย่าเอาชีวิตไปยึดติดกับบุรุษ เจ้าก็เหมือนกัน...ได้ข่าวว่า รู้เห็นเกี่ยวกับการฆ่ายกครัวตระกูลจิวด้วย” ได้ยินอย่างนั้น จิ่นเสียนก็หันหน้าไปทางอื่น นางไว้ใจใครได้ เห็นท่าคงไม่มี ยามนี้คิดเพียงแต่ว่าเมื่อไปถึงศาล นางจะถูกส่งตัวไปที่ห้องขัง หรือห้องสอบปากคำซึ่งอาจทำให้ต้องเจ็บตัว สุดท้ายก็รับสารภาพในสิ่งที่ไม่ได้ก่อ เวลาผ่านไปจนท้องฟ้ามืดค่ำ โดยก่อนหน้านั้นรถลาลากจอดให้เหล่าเจ้าหน้าที่พัก และกินอาหาร ส่วนนักโทษถูกไล่ต้อนลงมา และได้หมั่นโถวคนละชิ้น สตรีที่รับผิดแทนสามี ยังคอยมองจิ่นเสียนอยู่ ขณะเดียวกันนางสังเกตเห็นว่า ยังมีรถลาลากคันอื่นๆ พร้อมทั้งนักโทษหญิงชายอีกหลายคน ที่น่าสนใจ มีเด็กเล็กอายุคงแค่สิบขวบด้วย
จิ่นเสียนยั้งสติตนได้ทัน กระนั้นก็ทำให้อนุหมี่ตาเหลือกค้าง พลางจับที่หน้าท้องของตน และสาเหตุที่นางต้องระเห็จมาอยู่ที่เรือนนอก ก็เพราะมีทำสิ่งขัดใจฮูหยินหม้าย หลายวันที่ผ่านอารมณ์เลยฉุนเฉียวเนื่องจากตั้งครรภ์ ยามนี้ก็นับได้เกือบสี่เดือนเศษ เมื่อครู่เกือบต้องเจ็บตัวจากสาวใช้อุ่นเตียงของแม่ทัพโต้ว อารมณ์หมี่เจาที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นทุนเดิมเลยผสมกันไปหมด แล้วยิ่งเห็นว่าจิ่นเสียนผู้นี้มีความงามล้ำลึก ฝ่ายนางถึงกับเกิดความริษยาอย่างแรง พร้อมคิดว่าชาตินี้คงอยู่ร่วมผืนดินเดียวกันไม่ได้ “พ่อบ้านจ้าว... ไม่เห็นหรือว่า นางโสเภณีชั้นต่ำมันป่าเถื่อน ทั้งยังไม่รู้ขนบธรรมเนียมเกือบทำร้ายข้า จงรีบลงโทษนางเสีย มิเช่นนั้น ข้าคงต้องเขียนรายงานไปจวนแม่ทัพ เพื่อให้ผู้คุมกฎส่งคนมาจัดการนาง และอีกอย่างข้าได้ยินมาว่า นางเป็นทาสใช้แรงงานมาก่อน” หมี่เจามิวายหยามหมิ่นเกียรติของจิ่นเสียนต่อหน้าผู้อื่น จ้าวข่านถอนหายใจแรงๆ จิ่นเสียนก็เพิ่งจะฟื้นไข้ ร่างกายมิใช่ว่าจะแข็งแรงนัก ทว่าเพื่อให้นางรอดพ้นสายตาของหมี่เจาจำต้องเล่นละครตบตาสักหน่อย “แม่นางเสียน จงไปคุกเข่าที่หน้าศาลบรรพชน และห้ามผู้ใดให้ข
จิ่นเสียนไม่ใช่คนอ่อนหัด นางย่อมรู้ว่าชะตาชีวิตตนเป็นเช่นไร ยามนี้จำต้องใช้มันให้คุ้มค่าสมกับที่ได้มีลมหายใจอีกครั้ง และโต้วเหวยถานเป็นแค่บุรุษที่ต้องพิษร้าย และความจริงเขาอ่อนแอ หากแสร้งทำตัวเผด็จการ ใช้ความหยาบคายเพื่อข่มขู่ผู้อื่นเท่านั้น เมื่อปลอบใจตนเรียบร้อย หน้าที่นางคือทำให้โต้วเหวยถานคลั่งไคล้ในเรือนกายเย้ายวน นี่คือแผนการที่นางมุ่งหวังให้สำเร็จ หาไม่แล้วปลายทางจุดจบของชีวิต คงมิแคล้วจบลงอย่างที่เขาบอกคือกลายเป็นศพที่ถูกส่งไปยังตระกูลจิว มือใหญ่ๆ กระชากเสื้อผ้านางส่วนที่เหลือออกจนเผยร่างกายที่น่าสัมผัส ทั้งกลิ่นหอมเย้ายวน ผิวที่นุ่มนิ่ม อากาศแม้ไม่ให้เย็นจนเกินไป ทว่านางอดตัวสั่นไม่ได้ ร่างกายคนตัวโตซ้อนอยู่ด้านหลัง รังสีอำมหิตถ่ายโอนมาถึงนาง และยังแสดงความคุกคามออกมาไม่หยุด เขาใช้ปากชื้นๆ ขบแล้วเม้มที่แผ่นหลังสลับการจูบ สุดท้ายลงเขี้ยวพอให้นางต้องเจ็บตัว เมื่อเห็นว่ามีรอยช้ำขึ้นบนผิวขาวอมชมพูอย่างรวดเร็ว สีหน้าของโต้วเหวยถานก็แสดงให้รู้ว่าไม่พอใจ เขาเกลียดการหลอกลวง ยิ่งเป็นสตรีที่ถูกใช้ทำงานสายลับ หรือพวกนางนกต่อลอบเข้ามาในจวน
ชาติภพใหม่ เรือนลับแห่งนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเครียดจัด สถานการณ์ด้านนอกบอกให้รู้ว่า ต้องมีการเตรียมพร้อมเสมอ หากมีเรื่องฉุกเฉิน ฝ่ายชายวัยกลางคนยืนแทบไม่ติด ด้วยส่งใครเข้าไปด้านในห้องลับส่วนตัวก็ถูกจับโยนออกมา เหล่าหน่วยเหยี่ยวไฟต่างต้องช่วยกันพาสตรีเหล่านั้น ไปส่งให้ถึงมือหมอที่รอรับหน้าที่คอยปฐมพยาบาลพวกนางอย่างแข็งขัน “เฮ้อ นี่ก็คนที่สิบห้า ยังไม่มีใครที่แม่ทัพโต้วพึงใจ” คนใส่เสื้อผ้ารัดกุมกล่าว เป็นตอนนั้นที่พ่อบ้านจ้าวแยกเขี้ยว ก่อนทำเสียงต่ำๆ เป็นเชิงตำหนิ “ไม่ใช่พึงใจ ข้าบอกว่าให้คัดเลือกสตรีที่มีปานโลหิตรัญจวน(พรหมจรรย์) แต่ดูเหมือนพวกเจ้ากับเฟ้นหาสตรีร่านสวาทที่เก่งกาจเรื่องบนเตียงมาที่นี่ เยี่ยงนี้ย่อมไม่ต้องคำสั่ง” “ปานโลหิตรัญจวน” “ก็ใช่นะซี ก่อนหน้านั้นข้าได้สั่งอย่างกำชับ ไฉนยังทำงานผิดพลาด พวกเจ้ามีกี่ชีวิต ถึงจะพอให้แม่ทัพโต้วตัดหัวจนเขาพอใจ” อันที่จริงคำสั่งพ่อบ้านจ้าวไม่ได้ผิดพลาดแม้แต่น้อย หากหน่วยเหยี่ยวไฟมีเวลาเพียงหนึ่งคืนเท่านั้น ที่ต้องหาหญิงสาวที่มีรูปร่างงดงาม ผิวพรรณดี นอกจากนั้นยังต้องบริสุทธิ์ เ
จิ่นเสียนมองไปยังจวิ้นซียามนั้นดูเหมือนว่าหญิงวัยกลางคนมิอาจทนรับโทษสถานหนักได้แล้ว “เสี่ยวเสียน... เป็นข้าที่พาเจ้ามาจากแม่ทัพโต้ว และเขาสมควรดูแลเจ้าตั้งแต่แรก ทว่า...พิษที่สะสมในร่างกายเขาเป็นเหตุให้ต้องอยู่ห่างเจ้า มิเช่นนั้นอาจทรงผลร้ายมากกว่านี้ ถึงอย่างนั้นแม่ทัพโต้วก็ไม่เคยทอดทิ้งเจ้า เขาแสร้งทำให้ข้าตายใจว่า หวังจิ่นเสียนอยู่ห่างไกลจากเงื้อมือเขามาโดยตลอด และเป็นข้าที่ตื้นเขินในเรื่องนี้” “แม่เลี้ยง ทะ ท่านต้องการบอกสิ่งใดแก่ข้ากันแน่” จวิ้นซีรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย และเปล่งเสียงดังชัดเจน “หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าหวังซินเข่อ ผู้เป็นรัชทายาท มิอาจขึ้นครองบัลลังก์ได้” และนั่นคือเสียงสุดท้ายของจวิ้นซี เพราะนางถูกลูกน้องของหมี่เจาใช้ดาบฟันใส่กลางหลัง “เอาละ... อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็มีชีวิตมาจนถึงวันนี้ และหน้าที่ข้าคือทำให้เจ้าหายไปจากใต้หล้า องค์หญิงจิ่นเสียน ท่านอย่าหาว่าข้าโหดร้ายเลย ฟ้ากำหนดไว้เช่นนี้ อย่างไร น้องชายเจ้าต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ สกุลหมี่ และสกุลเคอ ยอมให้ผู้อื่นมีอำนาจในแผ่นดินนี้ไม่ได้” จิ่นเสียนนิ่งเงียบ