เรือนหวนหลิน เหตุการณ์ช่วงยามเซิน (15.00 – 16.59 น.) ของวันที่ไป๋ลู่เถียนเดินทางมาถึงจวนปัน กว่าไป๋ลู่เถียนจะระงับโทสะตนลงได้ นางใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม สาเหตุก็คือ ‘ตะขาบพิษ’ ที่ฝงเสวียนได้ใช้คนมาหาเรื่องนาง แต่เหอชิงแม่บ้านที่ติดตามอี้ฟานมา ซึ่งแต่แรกเริ่มปั้นหน้าร้าย ๆ ใส่ไป๋ลู่เถียนตลอดกลับเอาตัวมารับเคราะห์แทนหญิงสาว “เจ้าไม่สมควรทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้น” เหอชิงมองไป๋ลู่เถียน แล้วถอนหายใจหนึ่งเฮือกใหญ่ นางเจ็บปาก ยามนี้มันบ่วมเจ่อและหน้าผากข้างหนึ่งได้แผล ที่เป็นเช่นนั้นเพราะถูกลากไปตบนับยี่สิบที อันเป็นฝีมือของสิงเฮ่อ แน่นอนคำสั่งมาจากฝงเสวียน เพราะต้องการให้ไป๋ลู่เถียนไปปัดกวาดเรือนบรรพชนเพื่อแสดงความกตัญญู แต่นางบอกว่าเพิ่งเดินทางมาถึง ทั้งรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวจึงปฏิเสธไป เมื่อไป๋ลู่เถียนไม่ยอมออกจากเรือนหวนหลิน จึงมีการเข้ามาหมายฉุดกระชากนาง แต่เหอชิงอย่างไรก็มากับหญิงสาว หน้าที่คือรับใช้ไป๋ลู่เถียน นางจึงออกหน้าแทน สุดท้ายเลยเจ็บตัว “มิได้หรอก...แม่นางไป๋...อย่างไรท่านเข้าสกุลปันแล้ว ยามนี้ฐานะคือฮูหยินน้อย”
ไป๋ลู่เถียนรู้สึกซาบซ่านยิ่งนัก ขณะเดียวกันก็กลัวว่าแผลเหนือหน้าอกข้างขวาเขาจะได้รับการกระทบกระเทือนและฉีกขาดกว่าเดิม ซึ่งนางเพิ่งทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะถูกมีดสั้นทำร้าย ซึ่งเป็นนางที่หลอกล่อถาม ฝ่ายเขาไม่ได้อธิบายละเอียดชัดเจน หากเรื่องนี้เคยปรากฏอยู่ในนิยายเมื่อชาติภพก่อน อันเป็นชนวนเหตุให้ตงเร่อจากที่รักปันเส้าเฟิงหัวปักหัวปำ ก็กลายเป็นยิ่งรักมากกว่าเดิม และยังมันผสมด้วยไฟความแค้นกับแรงหึงหวง จนภายหลังนางได้ทำเรื่องที่ชายหนุ่มไม่อาจให้อภัย จากนั้นตงเร่อจึงหายไปจากแคว้นต้าโจว โดยไม่มีผู้ใดพบนางอีก! “ผู้น้อยอยากรู้เหลือเกิน คืนนี้สิ่งที่ท่านอยากป้อนใส่ปากบนและปากล่างของข้าจะหวานล้ำสักเพียงใด...” นางถามอย่างยั่วยวน และเขาก็สนองตอบด้วยภาษาของร่างกาย มือใหญ่ ๆ ส่งสัมผัสของบุรุษอย่างเต็มที่ต่อเรือนกายไป๋ลู่เถียน มันสาก หยาบกร้าน มากด้วยน้ำหนักเมื่อเขาออกแรงนวดเฟ้น และบีบตามส่วนเว้าส่วนโค้ง เหนืออื่นใด มันกระตุ้นให้ไป๋ลู่เถียนรับรู้ได้ว่านางสนุกกับการได้มีช่วงเวลาแสนพิเศษกับปันเส้าเฟิง ซึ่งไม่ใช่แค่สนุก นางปรารถนาจะรุกเขากลับด้วยเช่นกัน!
ร่างสมส่วนลงไปนั่งคุกเข่า สองมือปลุกปล้ำแก่นกายซึ่งค่อนข้างพยศอยู่สักหน่อย ปลายหัวหยักบานใหญ่ฉ่ำวามวาว ไข่คู่งามก็ชวนให้นางลากลิ้นไล้เลียและดูดแรง ๆ อยากหยอกเย้าเขา “หากยังมองอยู่เช่นนี้ ข้าจะควักลูกตาท่านทิ้งเสีย” “ฮึ ๆ ๆ เด็กน้อยกลายร่างเป็นปีศาจสาวเสียแล้ว ให้ข้าชมเจ้าสักหน่อยเถิด อย่าเขินอายเลย ริมฝีปากเจ้ายามทำรักให้น้องชายข้า ยิ่งดูก็ยิ่งทำให้อยากหลั่งจนหมดตัว” คำเยินยอเขาทำให้ไป๋ลู่เถียนบ้าจี้ นางจึงครอบริมฝีปากลงไป คราแรก อึดอัดจนน้ำตาคลอหน่วย แต่พอได้ยินเสียงทุ้ม ๆ ครางเป็นจังหวะหนักแน่น ไป๋ลู่เถียนจึงรู้สึกว่า ตนกำลังกุมชัยชนะอันยิ่งใหญ่ไว้ ศีรษะนางโยกไปมา และยิ่งสร้างความกระสันให้แก่ปันเส้าเฟิง เขาชอบความรู้สึกเช่นนี้ ได้ปลดปล่อยสัญชาตญาณดิบ ๆ ของตนกับสตรีที่มีความปรารถนาเช่นเดียวกับเขา นางไม่เพียงโลมเลียและดูดแก่นกายเข้าไปสุดโคน หากมือนุ่มนิ่มยังสัมผัสถุงทองของเขาด้วย “เด็กน้อย เจ้ากำลังแก้แค้นข้าหรือ...” น้ำเสียงนั้นบอกให้รู้ว่า เขาพึงใจมาก “กล่าวเช่นนั้นย่อมไ
ไม่มีความรู้สึกใดจะซ่านใจเท่านี้ เมื่ออีกฝ่ายส่งความรักที่อัดแน่นเข้าสู่ร่างกายของไป๋ลู่เถียน คราแรกคิดว่าเขาเป็นฝ่ายคลั่งรักตน แต่ความจริงช่างเป็นเรื่องตลก ไป๋ลู่เถียนต่างหากที่ขาดบุรุษผู้นี้ไม่ได้อีกต่อไป และนางยกให้เขาเป็นพระเอกในนิยายเรื่องใหม่ ที่มีนางร้ายเป็นตัวนำ “หากเชี่ยงกงออกแรงช้ากว่านี้ คงเป็นข้าที่ขาดใจตาย เพราะความโอ้เอ้ของท่าน” ดวงตาคมมองยังไป๋ลู่เถียน และมุมปากเขายกยิ้มให้นาง “ขออภัยเด็กน้อยด้วย ตาเฒ่านั้นอยากถนอมเจ้า กลัวเนื้ออุ่น ๆ จะบอบช้ำ!” “เหลวไหล ข้ายังเป็นเด็กน้อย ท่านจงอย่ากังวลจนเกินเหตุ” นางบอกเขาแล้วก็ยิ้มหวาน ก่อนที่มือหนึ่งเอื้อมไปบีบยอดหน้าอกเขา อีกมือเขี่ยริมฝีปากล่างปันเส้าเฟิง ส่วนเขาก็ทำท่ากัดนิ้วนางอย่างสนุก “รู้หรือไม่ ข้าขี่ม้าเป็นตั้งแต่ห้าขวบ” “เอ กล่าวเช่นนี้ เจ้ากำลังจะบอกว่า อยากปราบพยศม้าศึกของชายแซ่ปันสินะ” “อืม ม้าชราของเชี่ยงกง แน่นอนว่าใหญ่โต แต่เวลาถูกที่ข้าควบขี่ มันจะพุ่งทะยานไปได้ไกลสักแค่ไหน” นางว่าจบก็เริ่มขยับบั้นท้า
ชายหนุ่มก้าวไปยังสวนรับรองแขก ฝ่ายผู้ที่รอพบเขาอยู่กับสาวใช้ ถัดไปเป็นเฉินมี่ “คุณชายฟาน” จู่ซินเสียงหวาน นางเป็นสตรีหัวอ่อน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยพบหน้าอี้ฟาน เห็นเขาเพียงแต่ในภาพวาดในครั้งที่ฝงเสวียนให้แม่สื่อไปทาบทาม ครอบครัวสกุลจู่ก็ยินดีอย่างยิ่ง ใครกันจะไม่ต้องการเกี่ยวดองกับซือหม่าปันผู้ยิ่งใหญ่ “ยินดีที่ได้พบแม่นางจู่ แล้วก็...” อี้ฟานมองไปยังเฉินมี่ ซึ่งฝ่ายนั้นงดงามจับใจ ทว่านางหยิ่งผยอง ตอนนี้ใกล้จะเข้าพิธีมงคลกับเจิ้งเสี่ยวหยวน เพื่อนรักเพื่อนแค้นของอี้ฟานตั้งแต่วัยเด็ก “หากจำข้ามิได้ คุณชายฟาน คงมีปัญหาเรื่องสติปัญญาแล้ว!” “โอ้ แม่นางเฉิน...ถ้อยคำท่านช่างร้ายกาจ นั่นคงเป็นเพราะกำลังจะได้รับพระราชทานสมรสกับสุภาพบุรุษอันดับหนึ่งของแคว้นต้าโจวสินะ” เฉินมี่ยิ้มชอบใจ แน่นอนเจิ้งเสี่ยวหยวนคือชายที่นางรัก และเขากล้าหาญทั้งยังมีความสามารถ ยิ่งเมื่อเทียบกับอี้ฟานลูกที่บิดาตัดทิ้งตั้งแต่อายุได้เก้าขวบ ย่อมต่างกันราวฟ้ากับเหวลึก “อาหยวนของข้า ในภายภาคหน้าย่อมต้องได้รับใช้แผ่นดิน เป็นคนสำคัญ
แล้วเหตุใดไป๋ลู่เถียนถึงไม่ตอบโต้หรือขัดขืนอี้ฟาน ทั้งหมดเป็นเพราะวิญญาณที่สวมร่างนี้คล้ายกำลังจะล่องลอยไป ฝ่ายนางก็พยายามเต็มที่เพื่อไม่ให้ตนพลัดหาย หรือกลับคืนโลกในยุค ค.ศ. 20XX เพราะต้องการใช้เวลาอยู่ที่นี่ สะสางความแค้นให้กับนางร้ายของเรื่องเสียก่อน กระทั่งดวงตากลมโตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า นางจึงตกตะลึงเป็นอย่างมาก นั่นเพราะภาพของคนตัวโตที่ก้าวเข้ามาตบอี้ฟาน ก่อนเขาจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือไป๋ลู่เถียน มือฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น และห่วงใย ซึ่งเขาคนนั้นจะเป็นใครได้ หากไม่ใช่ ปันเส้าเฟิง หัวใจของเจ้าของร่างและวิญญาณกลับมาผสานกันอีกหน แล้วภาพในอดีตยามที่ถูกจำกัดบริเวณในเรือนหวนหลินก็ย้อนคืนมาให้เห็นอีกครา การเป็นนางร้ายของเรื่องนี้ไม่ง่ายสักนิด นางคือตัวตลก ต้องกรีดร้อง แสดงท่าทางโกรธแค้นคนทั้งโลก และมีหัวใจเพื่อรักพระเอกเพียงผู้เดียว! บัดซบ...เหตุใดนางร้ายต้องมีชะตากรรมเช่นนั้น! หลังจากไป๋ลู่เถียนบอกเรื่องบิดาที่แท้จริงของเจิ้งเสี่ยวหยวนต่ออี้ฟานว่าเป็นผู้อื่นแล้ว อี้ฟานก็สาแก่ใจยิ่งนัก เ
“โถ นึกว่าใคร ที่แท้ก็ลูกสะใภ้ของข้านี่เอง” เสียงทุ้ม ๆ นั้น ย้ำย้อนให้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในชาติภพเวียนมาบรรจบกัน ทว่ายามนี้ เรื่องราวได้เปลี่ยนไปแล้ว และจะไม่มีวันซ้ำรอยเดิม ไป๋ลู่เถียนมองใบหน้าคมคายของปันเส้าเฟิงผ่านหน้ากากแบบครึ่งหน้า ริมฝีปากนางเผยออ้า และเกือบปล่อยเสียงออกมา หากฉุกคิดได้ว่า นางกำลังเล่นบทสตรีใบ้ เรื่องนี้สำคัญนัก! หัวคิ้วของปันเส้าเฟิงขมวดเข้าหากัน เขามองนางอย่างพินิจ สายตาคม ๆ มิได้จับผิด หากส่งความเมตตาถึงหญิงสาวที่ยามนี้ตัวสั่นด้วยความกลัว เนื้อตัวนางบอบช้ำมิน้อย เพราะกระแทกกับสิ่งต่าง ๆ กว่าจะมาถึงคลองที่ไหลผ่านจวนปัน จากนั้นมือใหญ่ ๆ ที่หยาบกร้านอยู่สักหน่อย ได้ส่งสัมผัสปลอบโยนแก่ไป๋ลู่เถียน ดวงตาคมของปันเส้าเฟิงยามมองผู้อื่น โดยปกติเต็มไปด้วยความดุดัน และไอสังหารรุนแรง หากยามนี้กลับทอแสงอ่อนถึงไป๋ลู่เถียน “เจ้าคือ ฮูหยินน้อยบ้านนอกผู้นั้นสินะ” เขาถาม และดูเหมือนจะยิ้มบาง ๆ บนดวงหน้าด้วย ไป๋ลู่เถียนผวา เสียงของเขาและการปลอบโยนดังกล่าว ทำให้ร่างกายนี้ราวกับได้รับพลังชีวิตใ
เมื่อปันเส้าเฟิงตอบเช่นนี้ พลอยให้ฝงเสวียนสังหรณ์ใจแปลก ๆ ด้วยคาดการณ์ว่า สตรีคนดังกล่าวคงมิใช่ตงเร่อเป็นแน่ ซึ่งอาจเป็นนังโสเภณีสักคน ที่เขาคว้าตัวมาจากซ่องชั้นต่ำ และนางภาวนาว่าคงไม่ใช่ผู้หญิงในรูปวาดที่เขาประกาศตามหา มิเช่นนั้น ฝงเสวียนย่อมต้องยุ่งยากในภายภาคหน้า “ลูกเฟิงเห็นชอบเช่นไร แม่ใหญ่ย่อมยินดีด้วย” ฝงเสวียนกัดฟันกรอด ๆ แต่พูดจาดี แสดงความเห็นชอบกับปันเส้าเฟิง ฝ่ายปันเส้าเฟิงพยักหน้าน้อย ๆ เขาหันไปทางพ่อบ้านเหลียง และสั่งเสียงดังเฉียบขาดว่า “พาตัวคุณชายฟานไปรับโทษ...โบยเขายี่สิบไม้!” คำสั่งดังกล่าวคล้ายสายฟ้าฟาดใส่ร่างอี้ฟาน สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อเขายังเป็นเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปอยู่เรือนนอก ห่างไกลเมืองหลวง อยู่อย่างโดดเดี่ยว และมักถูกกลั่นแกล้งจากพวกสารเลวเมื่อเห็นว่า สกุลปันมีลูกชายที่ไม่เอาไหน “บิดา ทะ...ท่านลงโทษข้า ด้วยเหตุผลใด” อี้ฟานตัวสั่นจัด เขากลัวจนฉี่แทบราด ฝ่ายฝงเสวียนกำลังจะร้องถามเช่นกัน แต่ปันเส้าเฟิงยกมือห้ามและเอ่ยว่า “ข้าสั่งโบยเจ้า เพื่
ฉัน...ไม่ใช่สิ รู้สึกเขินที่ต้องใช้คำพรรคนั้น ด้วยข้ามาอยู่ที่โลกจีนโบราณซึ่งเข้าใจว่าเป็นนิยายเรื่องหนึ่งมาพักใหญ่แล้ว และเป็นช่วงเวลาที่ทำให้พบว่า ความสุขคือการลงมือทำด้วยตนเองอย่างกล้าหาญ แต่เดิมนั้น ชีวิตตัวละครนามว่า ไป๋ลู่เถียน คือนางร้ายและสมควรจากไปตั้งนานแล้ว ทว่าจนตอนนี้นางมีลูกชายสามคน เป็นฝาแฝด และให้กำเนิดเด็กหญิงแสนน่ารัก ลู่เฟิง อันเป็นชื่อที่ข้ากับบิดาของนางช่วยกันตั้ง โดยผสมชื่อทั้งคู่เข้าด้วยกัน ลู่เฟิง เป็น วิหคน้อยที่งดงามสมวัย ทั้งยังเป็นที่รักของพี่ชาย ยามนี้เหล่าพี่ชายทั้งสาม ต่างแย่งกันปกป้องน้องสาว ส่วนซือหม่าปั่นผู้เป็นสามีข้า เกือบสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา เขายังหล่อเหลาและหนุ่มแน่นในแบบฉบับที่ข้าหลงรักได้ทุกวัน เพียงแต่ผมเปลี่ยนสีเท่านั้น จากดำขลับปีกอีกา ถูกแซมด้วยสีขาวซึ่งมีเสน่ห์อีกแบบทว่าอย่างเดียวที่ข้ากังวลใจ คือสีหน้าเขามักเครียดทุกครั้งยามเหล่าองค์หญิงน้อยเชิญ ลู่เฟิงไปเล่นสนุกในวังหลวง เนื่องจากมันเป็นแผนของเหล่าพระสนมนั่นเอง ด้วยอยากให้ลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจเขาเข้าวัง เพื่อเหล่าองค์ชายทั้งในสกุลและต่างสกุลได้ยลโฉม
เยว่ซิงตามมาดูเหตุการณ์ต่างๆ พอเห็นว่าซือซินอี๋ลอยไปตามสายน้ำในจุดที่พ้นภัย นางค่อยโล่งใจ ซึ่งก่อนหน้านั้น นางกับฝ่ายแคว้นตาโจวร่วมมือกันยิงธนูเพื่อเร่งเร้าให้ทั้งคู่ หาทางใกล้ชิดกัน แม้อันตรายหากได้ผลดีเยี่ยม “นางกำนัลเยว่... ครั้งนี้นับว่าเจ้าสร้างผลงานชั้นเลิศ แม่ทัพของพวกเราขาดสตรีอุ่นเตียงมานานเหลือเกิน อีกทั้งเขาได้กินเนื้อหงส์เช่นนี้ วาสนานั้นนับว่าดีเกินใคร” รองแม่ทัพและสหายเจิ้งคังเอ่ย “ทั้งหมดนี้เพราะ ชิงอ๋องต้องการหาบุรุษที่เหมาะสมกับองค์หญิงเก้า และฝ่ายแคว้นต้าโจวเสนอบุรุษที่เพียบพร้อมที่สุด ทั้งยังยึดมั่นในความรัก เรื่องนี้นับว่าเป็นความเหมาะสม” “พวกเราย่อมมีนายหญิงคนใหม่ที่สูงศักดิ์เร็ววัน ขอบน้ำใจนางกำนัลเยว่” รองแม่ทัพเอ่ยจบ เขาก็ไปเตรียมรอการกับมาของเจิ้งคัง ซึ่งคาดว่าอย่างน้อยชายหญิงคู่นี้ ย่อมใช้เวลาอยู่ด้วยกัน คงราวๆ สามคืนสามวันเป็นอย่างต่ำ ซือซินอี๋กินตื่นเช้าอีกวัน แน่นอนนางกับเจิ้งคังร่วมรักกันยาวนาน เป็นเวลามากกว่าสามคืนสามวัน เจิ้งคังต้องการเช่นนั้น เขาจะได้คุยโม้ปันเส้าเฟิงได้ว่า
จากนั้น เจิ้งคังเลือกที่จะควบม้าออกจากกลุ่มของเขา และแจ้งทุกคนว่า หากใครพบซือซินอี๋ก่อนจงล้อมนางไว้ อย่าได้แตะต้องหรือล่วงเกินเด็ดขาด โดยเรื่องนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับห้ามมิให้ผู้ใดแพร่งพราย เขากลัวจะมีเรื่องเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงนางนั่นเอง แม่ทัพหนุ่มควบม้าสลับการสืบหาล่องลอยองค์หญิงอยู่เกือบสองวัน ในที่สุดเขาก็พบหนุ่มน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม ที่กำลังนอนบนหินริมแม่น้ำกว้าง ปล่อยใจชื่นชมบรรยากาศด้วยความสุข แต่หนุ่มน้อยคนดังกล่าว ผิวออกจะนวลเนียน ใบหน้ากระจ่างใส อีกทั้งริมฝีปากแดงสดยั่วยวนน่าจูบอย่างที่สุด ยิ่งกว่านั้นยังมีหน้าอกอวบๆ ดึงดูดสายตา และหากเขาใจกล้าพอที่จะจับเป้ากางเกงอีกฝ่ายคงไม่พบงวงช้างอันใด หากจะเป็นกลีบฉ่ำๆ อย่างแน่นอน แม่ทัพหนุ่มหัวเราะหึๆ สตรีผู้หนึ่งชอบความสนุกเป็นที่ตั้ง รักความสำราญใจและอิสระ โดยไม่รู้ว่าผลที่ตามมาผู้อื่นต้องลำบากสิ่งใดบ้าง หากไม่สั่งสอนสักหน่อย คงไม่ใช่เจิ้งคังผู้นี้ ร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากม้า สืบเท้าไปหานางช้าๆ “ข้าอยากดื่มสุราเป็นเพื่อนท่านได้หรือไม่” ทั้งที่อยากกำร
ซือซินอี๋ องค์หญิงเก้าแคว้นชิง นางกำนัลเยว่ซิง ขันทีเจียง (เจียงกง) เจิ้นเหริน แฝดคนโต เจิ้นห่าว แฝดคนกลาง เจิ้นหนาน แฝดคนสุดท้อง ลู่เฟิง ลูกสาวคนสวยของไป๋ลู่เถียนและปันเส้าเฟิง **************************“ลิ้นสากร้อนของท่านช่างเกเร...”“แล้วลิ้นเรียวเล็กสีชมพูขององค์หญิงเล่าเอาชนะบุรุษแห่งแคว้นต้าโจวได้หรือไม่”ได้ยินอย่างนั้น ซือซินอี๋ก็ไม่รอช้าถูกท้าทายเช่นนี้อย่างไรนางก็ต้องกุมชัยชนะอยู่เหนือแม่ทัพเจิ้ง!*************************ตอนพิเศษเร้ารักองค์หญิงต่างแคว้นซือซินอี๋ คือโฉมงามแคว้นชิง ทว่านางหัวรั้นอวดดี ทั้งยังนิยมแต่งตัวเป็นบุรุษ วันดีคืนนี้ก็ทำตัวเสเพลแอบดูสตรีอาบน้ำ หากสิ่งนั้นยังน้อยไป เพราะการถ้ำมองคู่รักเข้าหอคืนแรกคือสิ่งที่ทำให้นางตื่นเต้นและซ่านสยิวใจที่สุด ดูด้วยสองตาไม่พอ ยังสั่งวาดภาพ และจดบันทึกเรื่องราวเอาไว้ด้วย ยิ่งได้เห็นเหล่าหญิงงามที่นุ่มนิ่ม เอวบางขยับท่าทางโลดโผน แล้วรุกไล่ข่มเหงบุรุษ หรือส่งเสียงครางระงมราวกั
***แนะนำก่อนอ่านเรื่อง ในตอนพิเศษนี้ คือเหตุการณ์หลังจากปันเส้าเฟิงและไป๋ลู่เถียนอยู่ในจวนปันอย่างสามีภรรยา และมีสามแฝดเป็นพยานรักไป๋ลู่เถียนรับรู้ได้ว่าปันเส้าเฟิงกำลังพยายามทำบางอย่างด้วยต้องการเอาใจนาง แต่ให้ตายเถิด มันจั๊กจี้เป็นบ้า ซึ่งดูอย่างไรก็ไม่ใช่การเล่นปูไต่ หากเขากำลังใช้นิ้วยาวๆ สำรวจน่อง ไล่ไปยังต้นขาเรียวและอีกนิดเดียวคงแทรกเข้าสู่พื้นที่หวานจัดของนางอ๊ะ ความหวามใจนี้ เกินที่นางจะระงับความซ่านสยิวของเนื้อสาวที่ฉ่ำแฉะได้อีกต่อ และนางหมายใจอยากให้ทั้งนิ้วยาวๆ ของเขา และขาที่สามอุ่นจัดซึ่งอยู่ในร่มผ้าเผด็จศึกนางเสียที กระนั้นนางก็เอ่ยปากตรงข้ามความรู้สึกของตน“ตาเฒ่า ท่านหยุดลามกกับเมียเด็กสักวันได้หรือไม่” ช่วงหลังมานี้ ไป๋ลู่เถียนติดใช้คำร่วมสมัยของยุคปัจจุบัน และปันเส้าเฟิงย่อมไม่ถือสา เขาสนุกกับถ้อยคำของนาง อีกทั้งยังมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ พลอยทำให้ปันเส้าเฟิงได้ย้อนวัยกลับไปเป็นหนุ่มน้อยอีกครั้ง และเหนืออื่นใดเขารักเมียเด็ก หลงเมีย และรู้ว่าอีกไม่นานนางคงตั้งครรภ์ แล้วให้กำเนิดเด็กๆ ที่น่ารักมาเป็นเพื่อนเล่นเหล่าพี่ชายซึ่งอยู่ในวัยซุกซนทั้งสามคน “มิได้ เป้าเป่
เมื่อเมื่อก้าวเข้ามาในเรือนก็เห็นจู่ซินเพิ่งอาบน้ำเรียบร้อย นางอาจไม่ใช่สตรีงดงามล่มเมือง ทว่ากิริยาน่ารักน่าชม เหนืออื่นใดนางอวบอัด มีเนื้อหนังให้น่าสัมผัสไปหมด เมื่อดวงตาเรียวรีมองเห็นผู้เป็นสามียืนอยู่กลางห้องโถง พร้อมวัตถุดิบในมือ จู่ซินจึงยิ้มดีใจ สำหรับนางอี้ฟานเป็นบุรุษที่น่าสงสาร เขาพยายามเป็นคนดีเสมอ ทว่าดูเหมือนจะไม่ได้มีโอกาสนักสำหรับชายคนนี้ กระทั่งมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน อี้ฟานค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนนิสัย แม้ไม่ได้ดีขึ้นทันตาเห็น แต่ก็เป็นชายที่นางอยากใช้ชีวิตด้วย ที่สำคัญอี้ฟานไม่เคยทำร้ายนาง ไม่มีการตบตี ด่าทอ อาจพูดน้อย รักสันโดษ และไม่ค่อยร่าเริงก็เท่านั้น “ทำอาหารกินกันดีหรือไม่ เผื่อเจ้าจะหิว” อี้ฟานกล่าวทำลายบรรยากาศที่ร้อนรุ่มในห้องโถงของเรือน “ท่านพี่...” จู่ซินไม่ได้อยากทำตัวเป็นสตรีตามตรอกหอนางโลม หรือพวกอนุที่ชอบยั่วเย้าสามี เพื่อให้เขารักและหลง แต่ยามนี้นางอดใจไม่ไหว ด้วยชายหนุ่มไม่ได้สวมเสื้อ เปลือยกายท่อนบน เป้ากางเกงเขาก็ตุงจัด หากนางคาดการณ์ไม่ผิด สิ่งที่อยู่ข้างในคงอยากโผล่ออกมาสูดอากาศเต็มที่แล้ว “อาซิน...ไปอาบ
ในตอนพิเศษนี้ ผู้อ่าน สามารถอ่านแยกจากเล่มหลักได้เรือนบรรพชน ตำบลเสออี้ เมืองฉวน แคว้นต้าโจว อี้ฟานรู้สึกว่า เขาร้อนรุ่มในร่างกาย ด้วยยาที่จู่ซินนำมาต้มเพื่อให้เขาดื่ม ส่งผลให้ขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ ยิ่งกว่านั้นร่างกายที่เคยอ่อนเพลีย เรี่ยวแรงซึ่งหดหายไปค่อย ๆ คืนมา เขาจึงมีกำลังวังชากว่าเดิม สุขภาพดีเป็นลำดับ เรียกว่าแข็งขันจนเหมือนทหารที่ฝึกฝนตนในค่ายอยู่ทุกคืนวัน ดังนั้น ยามรุ่งเช้าจึงต้องรีบตื่นเพื่อชำระร่างกายในลำธาร บางคืนก็ข่มใจ อดกลั้นอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความต้องการต่อเรือนร่างของจู่ซิน ภรรยาแสนดีซึ่งดูแลเขามาร่วมปีสองแล้ว เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น อนิจจาอี้ฟานรู้สึกว่า ตนไม่เหมาะสมกับนาง ทั้งละอายต่อจู่ซิน ที่พาอีกฝ่ายมาลำบากห่างจากบ้านเกิดนับพันลี้ ‘ท่านพี่ฟาน ข้ายินยอมเป็นภรรยาของท่าน’ คืนที่นางกับเขาดื่มเหล้ามงคลด้วยกัน นี่คือถ้อยคำที่จู่ซินบอกเขาพร้อมหยาดน้ำตาไหลอาบสองแก้ม นางไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจ หากรู้สึกมีความสุขที่กล้าก้าวออกจากเรือนใหญ่ที่ไร้ความรักต่อนาง ด้วยจู่ซินเป็นเพียงลูกอนุ ถึงอย่างน
เสียงพูดคุยกันดังอย่างอึงอล ซึ่งล้วนเป็นความทึ่งและอยากรู้ว่า เด็กน้อยจะเขียนสิ่งใด ฝ่ายเจิ้งคังเห็นความคึกครื้นนั้นก็อยากได้ความสนุกมากขึ้น จึงมีการพนันเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเรื่องที่จะเกิดขึ้น ปันเส้าเฟิงหรี่ตามองสหายรุ่นน้อง แต่ไม่ได้ห้ามปราม ด้วยเป็นช่วงเวลาแห่งสุขโดยแท้ อึดใจต่อมา มือเล็ก ๆ ก็ใช้พู่กันที่จับไว้ วาดตัวอักษรลงบนผืนผ้าและภาพดังกล่าวใครจะเชื่อตาตนเอง อายุเพียงเท่านั้นก็เป็นอัจฉริยะทางด้านตัวอักษร ลายเส้นพลิ้วไหว หากหนักแน่น มั่นคง ทั้งยังเหมือนสื่ออารมณ์ให้ผู้คนที่ได้ชมยิ้มตาม “ฝู 福 (fú)” อักษรตัวแรก เขียนเสร็จเรียบร้อย ปันเส้าเฟิงก็ยกมันให้ทุกคนดู “ความสุขหรือ...” สมแล้วที่เป็นนายน้อยเหริน เจิ้งคังเป็นคนกล่าว ฝ่ายไป๋ลู่เถียนอุ้มลูกชายคนกลางของนาง และพาเขามาอยู่ใกล้ ๆ น้องชาย และเจิ้นห่าว ก็ทำให้ทุกคนที่มองอยู่ต้องอ้าปากค้าง “ฝู...ความสุข!” เมื่อคนโตเขียนตัวอักษรได้ คนกลางก็กล่าวด้วยเสียงหนักแน่น ทรงพลัง และน้องชายคนเล็กที่วัน
งานเลี้ยงรับขวัญสามแฝดในปีที่สอง คือเรื่องรื่นเริงระดับแคว้นต้าโจว มีของขวัญมากมายจากเมืองต่าง ๆ ที่ส่งมาถึงจวนปัน ทั้งที่ไป๋ลู่เถียนออกปากว่า อย่าได้ฟุ่มเฟือย นั่นเป็นเพราะตั้งแต่เด็ก ๆ ลืมตาขึ้นมาดูโลก นางตระหนักได้ว่า มีผู้คนลำบากว่าตนมากมายยิ่งนักแน่ละ ถึงนางจะเป็นนางร้ายของเรื่องนี้ ที่ได้มีชีวิตสุขสบายครองคู่กับผู้ชายที่เป็นตัวละครลับอย่างปันเส้าเฟิง แต่นางไม่ลืมว่าการช่วยเหลือผู้อื่น คือการสร้างบุญบารมีให้แก่ตนเอง “สิ่งใดเป็นของกินได้ ให้จัดเตรียมไว้เพื่อบริจาค สิ่งใดเป็นเครื่องนุ่งห่ม ให้คัดแยกเพื่อส่งต่อแก่เด็ก ๆ ที่ยากไร้” ไป๋ลู่เถียนบอกบ่าวรับใช้ และเหลียงซานดูแลเรื่องนี้อยู่อย่างใกล้ชิด “พวกเครื่องประดับ และของมีค่าต่าง ๆ ล่ะเจ้าคะ” เหอชิงเอ่ยถาม “ส่งเข้าคลังของจวนปัน สิ่งใดแลกเป็นอาหารหรือข้าวสารได้ ก็จัดการเสีย และข้าจำเป็นต้องมีทุนสำหรับสร้างโรงผลิตสมุนไพรด้วย” ไป๋ลู่เถียนกล่าวไม่ทันจบประโยคดี ร่างสูงใหญ่ก็ก้าวเข้ามาพลอยให้นางต้องขบขัน เพราะปันเส้าเฟิงอุ้มเด็ก ๆ ไว้สองแขน คนหนึ่งจ้ำม่ำตาโต ถือพู่กัน แล้วใช้จิ้มไปท