พี่สิงห์เด็กช่างคนดุกับคุณนลิน
ตอนที่ 7
วันต่อมา
ฉันตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงประตูเปิดออก ร่างสูงของพี่สิงห์กำลังยืนพิงประตูอยู่ เขายังคงอยู่ในสภาพกางเกงนอนตัวเดียวเหมือนเมื่อคืน แต่ดูท่าจะตื่นมาสักพักแล้ว สายตานิ่งสนิทมองสภาพการนอนของฉันเงียบ ๆ
“ไม่กลับบ้านแล้วมั้ง”
“ยังเช้าอยู่เลย”
“เช้าบ้าอะไร เที่ยงแล้วเนี่ย”
“อ้าวเหรอ?” ฉันขยับตัวลุกขึ้นนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างที่มีฝนตกพรำ ๆ มองยังไงก็ไม่เหมือนเที่ยงวันเลยสักนิด
“กลับเองได้ใช่ไหม?” พี่สิงห์เดินเข้ามาคว้าผ้าเช็ดตัว
“อือ” ฉันขยับตัวลุกขึ้นยืนอย่างเมื่อยล้า แต่ก็ไม่ลืมถามคนตัวสูงที่กำลังจะเดินไปอาบน้ำ “พี่จะไปไหน?”
“ทำงาน”
“วันอาทิตย์ก็ทำ?” ฉันเหลือกตามองอย่างตกใจ อย่างน้อยมันต้องมีวันหยุดบ้างสิ
“…”
เขาหันกลับมามองโดยที่ไม่ได้ตอบคำถาม สายตาเหลือบไปมองกองเสื้อผ้าที่ฉันถอดทิ้งไว้ ก่อนจะหันมามองเสื้อตัวเองที่อยู่บนตัวฉัน มันใหญ่จนคลุมถึงหน้าขาอ่อน และฉันก็ถึงบางอ้อกับสายตานั้น ถึงกับต้องหันหลังให้เขาเพราะความเขินอาย บนชุดราคาแพงของฉันมีทั้งบราเซียลูกไม้ และชั้นในวางอยู่อย่างไม่ระวังนั่นเอง ตอนนี้ร่างฉันเปลือยเปล่าอยู่ในเสื้อตัวใหญ่ตัวเดียวของพี่สิงห์เท่านั้น
“ระวังตัวบ้างสิ... เด็กบ้า”
“...”
ฉันไม่ได้หันไปมองว่าคนคนนั้นทำหน้ายังไง แต่ให้เดาก็คงเอือม ๆ เหมือนเดิมนั่นแหละ เสียงปิดประตูดังขึ้นเดาว่าเจ้าของห้องเดินออกไปแล้ว ฉันเลยรีบวิ่งไปใส่เสื้อผ้าแทบจะในทันที
ให้ตาย… นี่เขาจะมองว่าฉันอ่อยเบอร์แรงหรือเปล่าเนี่ย?
หลังจากนั้นไม่นานนลินคนนี้ก็ต้องกลับบ้านอย่างช่วยไม่ได้ เพราะว่าพี่สิงห์ต้องไปทำงานจริงจังไม่มีเวลามาคุยเล่นด้วย พอฉันขึ้นรถ เจ้าตัวก็แว้นไอ้แก่ออกไปเลย ไม่บอกลงบอกลาสักคำ…
เอาเถอะ เดี๋ยวค่อยมาใหม่ก็ได้! แค่นี้ก็คุ้มจนไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้ว!
ฉันใช้เวลากลับบ้านไม่นานนักเพราะไม่ได้ไกลกันเท่าไร แต่พอกลับมาถึงก็พบกับสถานการณ์ตึงเครียด ป๊ากำลังนั่งอยู่ที่โซฟาเข้าชุดกันสุดอลังการของหม่าม้าเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือตรงหน้ามีบิลบัตรเครดิตวางอยู่เพียบ
ฉันลอบกลืนน้ำลาย แล้วพยายามทำตัวให้เล็กที่สุดเพื่อที่จะเดินผ่านหน้าท่านไปเงียบ ๆ กลัวน่ะสิ… จะไม่ให้กลัวได้ยังไง? ก็ไอ้บิลพวกนั้นฉันเองนั่นแหละเป็นคนรูดกระจาย… เหมือนสวรรค์จะไม่เห็นใจเหมือนครั้งก่อน ๆ ปะป๊าเงยหน้าขึ้นมามองฉันที่กำลังลักลอบเข้าบ้านตัวเอง ใบหน้าสูงวัยดูโมโหขึ้นมาทันที
“อาลิน! ลื้อมานี่เดี๋ยวนี้เลย” เสียงเรียกของป๊าทำให้ฉันจำต้องหันกลับไปมอง และเดินเข้าไปหาอย่างช่วยไม่ได้
“อะไรอะป๊า?” ฉันกระแทกตัวนั่งลงบนโซฟา พร้อมวางถุงกระดาษที่เพิ่งชอปปิงมาเมื่อวานไว้ข้างตัว สายตาดุ ๆ ของคนเป็นพ่อเลื่อนไปมองของพวกนั้นอย่างไม่สบอารมณ์
“ลื้อนี่มันจริง ๆ เลย จะให้อั๊วะสอนอีกกี่ครั้ง อย่าใช้เงินให้มันสิ้นเปลืองนัก เงินทอง…”
“…เป็นของหายาก” ฉันต่อประโยคให้เสร็จสรรพ คนตรงหน้าตบเข่าฉาดใหญ่ท่าทางเดือดจัด
“เออ… ก็ใช่น่ะซี… อย่าคิดว่าบ้านรวยแล้วจะใช้ยังไงก็ล่าย! หัดคิดให้เยอะๆ ก่อนใช้!ถ้าวันนึงอั๊วไม่อยู่ใครมันจะไปตามเช็ดตามล้างให้พวกลื้อ!” ไม่พูดเปล่าแต่ป๊าหยิบบิลต่าง ๆ มาให้ฉันส่องดู
“โธ่ป๊า… แค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกน่า” ฉันบอกอย่างเอาแต่ใจ
“มันไม่เกี่ยวว่าจะร่วงรึไม่ร่วง! มันคือเรื่องที่ลื้อใช้เงินอย่างไม่รู้จักคุงค่า!!”
“…” ฉันคว่ำปากลงทันที รู้ได้เลยว่าวันนี้คงโดนสวดยาวแน่ ๆ
“ลื้อไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลยนา! ถ้าลื้อสองคงพี่น้องยังใช้เงินเป็นกระดาษแบบนี้ อั๊วจะยึดให้หมด ทั้งบัตรทั้งเงิน!”
“โธ่ป๊า…”
“ไม่ต้องมาธงมาโธ่! อั๊วเอาจริง!”
ว่าแล้วป๊าก็ลุกขึ้นเดินหนีไปโดยยังคงบ่นล้งเล้งไม่หยุด ฉันถอนหายใจเบา ๆ หยิบบิลมาดูก็เห็นด้วยตามนั้น หลัง ๆ มาฉันใช้เงินเยอะไปหน่อย… ช่วงนี้อาจจะต้องเพลา ๆ เรื่องชอปปิงลงบ้างแล้วมั้ง…
วันต่อมา…
เมื่อวานเป็นวันแรกที่ฉันไม่ได้ไปหาพี่สิงห์ตั้งแต่รู้จักกันมา เอาแต่นอนเล่นอยู่กับบ้านเพราะโดนป๊าบ่นไม่เลิก วันนี้ฉันก็เลยตั้งท่าจะไปหาคนหล่อตั้งแต่เลิกเรียน แต่ว่าฉันเลิกตั้งแต่เที่ยงนี่สิ…
ยิมกลับไปแล้วเพราะต้องไปงานสมาคมสโมสรกับแม่ ที่มีแต่คนแก่ร้องเพลงกันตั้งแต่บ่ายยันค่ำ ฉันเคยไปกับมันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และไม่ขอไปอีก น่าเบื่อจะตายชัก… มีดีแค่อย่างเดียวคือได้รู้จักกับพวกคนรวย ๆ เพิ่มขึ้น มีโอกาสได้เป็นสะใภ้ไฮโซขึ้นสักสิบเท่าได้ แต่มันไม่ใช่แนวเลย...
เพราะว่างตั้งแต่บ่าย และคิดว่าพี่สิงห์คงยังเรียนอยู่ฉันก็เลยเสิร์ชหาชื่อวิทยาลัยช่างอะไรนั่นว่าอยู่ที่ไหน ปรากฏว่ามันอยู่ใกล้ ๆ แค่นี้เอง
อืม… ถ้าฉันจะแอบไปส่องดูหน่อยจะเป็นอะไรไหมนะ?
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าฉันจะมาจริง ๆ และตอนนี้ก็กำลังนั่งอยู่บนรถ สอดส่องสายตามองเหล่านิสิตช่างเดินไปเดินมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แทบไม่เห็นผู้หญิงเลย แต่ละคนก็ท่าทางน่ากลัวทั้งนั้น… ก็มีไม่น้อยที่หน้าตาดี…
อืม… บางคนก็ดีมากเลย…
เพราะฉันจอดอยู่ใกล้กับทางออกก็เลยมองเห็นแทบทุกคนที่กำลังเดินเข้าออก หรือขับรถออกจากรั้ววิทยาลัยไป ไม่ยักเห็นพี่สิงห์เลยแฮะ ทั้งที่ป่านนี้น่าจะได้เวลาไปทำงานแล้วแท้ ๆ
แล้วจังหวะหนึ่งฉันก็เห็นร่างสูงคุ้นตากำลังเดินอยู่กับกลุ่มเพื่อน
พี่สิงห์กำลังคุยอะไรสักอย่างกับเพื่อนสองคนที่หล่อระเบิดไม่ต่างกัน โหแฮะ… วัดกันเรื่องสถานที่ศึกษาไม่ได้เลย ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะซ่อนคนหล่อโคตรไว้อย่างน้อยก็ตั้งสามคน!
ร่างสูงทั้งสามหยุดยืนตรงจุดสูบบุหรี่ แล้วดึงบุหรี่ออกมาจุดสูบคนละตัว ฉันนั่งเกาะพวงมาลัยมองพวกเขาอยู่เงียบ ๆ เหมือนสตอล์กเกอร์ยังไงยังงั้น วันนี้คนหล่อของฉันมัดผมเป็นจุกไว้ด้านบน สีหน้าดูสดใสกว่าเวลาที่เจอหน้าฉันสักร้อยเท่าเห็นจะได้ ถึงจะไม่ได้ยิ้มแต่ก็ไม่ได้มีสีหน้าตึง ๆ แบบที่ฉันเจอ
เพื่อนเขาดูท่าทางจะเป็นคนสนุกสนานทั้งคู่ เพราะเอาแต่หัวเราะไม่หยุด ในขณะที่พี่สิงห์ทำอย่างมากก็แค่ยิ้มกว้าง คนนึงไว้ผมสีดำสนิทยาวระต้นคอมัดเป็นจุกอยู่ด้านหลัง เขาดูแบดบอยไม่น้อย เพราะตามข้อแขนมีรอยสักลายเต็มไปหมด ส่วนอีกคนตัดสกินเฮด โครงหน้าหล่อจัดไม่แพ้พี่สิงห์ของฉันเลย แต่ที่ดูจะขัดกับลุคของเขาไปนิดคือดูจะเป็นคนอารมณ์ดีมากไปหน่อย…
แต่แล้วฉันก็ต้องสะดุ้งขึ้นมาทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่บนรถแท้ ๆ เมื่อสายตาของคนที่ฉันมาตามแอบดูหันมามองทางรถฉันนิ่ง ๆ มองจากตรงนี้ยังรู้ได้เลยว่าเจ้าตัวชะงักไปไม่น้อย ร่างสูงหยัดตัวยืนเต็มความสูงจากราวเหล็กที่ใช้พิงสูบบุหรี่ เขาหันไปพึมพำบอกอะไรเพื่อนสักอย่าง แล้วจ้องมาทางนี้อีกครั้ง และคราวนี้เพื่อนทั้งสองคนก็จ้องตามมาบ้าง
เรียวคิ้วเข้มขมวดมองมา ก่อนที่เจ้าตัวจะสาวเท้าเร็ว ๆ เดินข้ามฟากมา ฉันตื่นตระหนกจนทำอะไรแทบไม่ถูก และดูเหมือนจะไม่มีทางทำอะไรทันแล้วด้วย เมื่อเสียงเคาะกระจกดังขึ้น
ก๊อก ๆ
สุดท้ายก็จำใจต้องเลื่อนกระจกลงเพราะไม่มีทางเลือก คนที่ยืนอยู่ข้างประตูรถดูไม่แปลกใจเลยที่เป็นฉันเองกำลังนั่งอยู่บนนี้ เขาคงจำรถฉันได้นั่นแหละ พี่สิงห์เลียริมฝีปากค้างไว้แล้วเลิกคิ้วถาม
“มาทำไม?”
“ลินผ่านมาเลยลองแวะเข้ามาดูบรรยากาศ” ฉันพูดมั่วซั่วไปเรื่อย ใครจะไปบอกว่าแอบมาตามดูผู้ชายกันเล่า!
“…” พี่สิงห์ถอนหายใจเบา ๆ ยืนเท้าสะเอวอย่างพูดไม่ออก
แต่แล้วสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเมื่อเพื่อนสองคนของเขาเดินมาหยุดยืนข้าง ๆ ทั้งสองคนอุทานออกมาพร้อมกัน และทำตาโตเมื่อเห็นฉันนั่งอยู่บนรถ ในขณะที่พี่สิงห์ทำเพียงยืนมองนิ่ง ๆ เท่านั้น
“สวัสดีค่ะ ลินค่ะ” ฉันพยายามผูกมิตรด้วยการยิ้มหวานให้
“ไหนมึงบอกไม่มีหญิง? แล้วนี่?” พ่อหัวสกินเฮดไม่ได้สนใจฉันเลย แต่หันกลับไปมองหน้าเพื่อนอย่างหยอกล้อ
“…” คนหัวดำรอยสักเยอะ ๆ เองก็เหมือนกัน ทำแค่มองสำรวจฉันเงียบ ๆ เท่านั้น มุมปากยกยิ้มขึ้นเมื่อหันไปมองหน้าเพื่อนตัวเองที่ยืนใบ้กินอยู่
สรุปว่าเป็นฉันเองที่ต้องหุบยิ้มลงเพราะไม่มีใครสนใจกัน พี่สิงห์ที่ดูหงุดหงิดอยู่แล้วที่เห็นฉันโผล่หน้ามาที่นี่ ก็ดูเหมือนจะเหนื่อยใจหนักกว่าเก่าเมื่อโดนเพื่อนร้องแซว
“พวกมึงไปก่อนเลย เดี๋ยวกูตามไป” ว่าแล้วก็ไล่เพื่อนไปหนึ่งกรุบ
เพื่อนของเขาเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้างเลยยอมถอยห่างออกไปแต่ก็ไม่วายหันมามองฉันอีกรอบด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นสุด ๆ แต่ก็ห่างออกไปได้ไม่เท่าไรหรอก ฉันยังเห็นคนหัวเกรียนนั่นพยายามตะแคงคอแอบฟังอยู่เลย เมื่อเพื่อนเดินห่างออกไปแล้วคนตรงหน้าก็เริ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“มาหา?”
“ก็… ใช่แหละ”
ฉันจำต้องหันกลับมามองพี่สิงห์อีกรอบ แล้วยอมรับออกไปตรง ๆ ท่าทางไม่สบอารมณ์ของเขาฉายชัดจนฉันแอบกังวลว่าล้ำเส้นเกินไปหรือเปล่า เราเงียบกันอยู่ชั่วอึดใจ คนตรงหน้าเหมือนไม่อยากจะคุยด้วยแต่ก็ยังไม่ได้เดินหนีไป เอาแต่จ้องกันอยู่ได้ จนในที่สุดฉันก็พึมพำออกมาก่อน
“ขอโทษก็ได้”
“…”
“ก็ลินว่างอะ แค่จะแวะมาดูว่าเรียนที่ไหน”
“…”
“โกรธเหรอ?” ฉันช้อนสายตามองเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ คือมันก็ออกจะล้ำเส้นเกินไปจริง ๆ
“…” พี่สิงห์พ่นลมหายใจยาว แต่แล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย “เห็นแล้วนี่…”
“หืม?”
“เห็นแล้วก็กลับได้แล้ว”
“แล้วพี่เลิกกี่โมง?” เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ว่าอะไรอย่างที่คิดฉันเลยรีบปั้นหน้ายิ้มอีกรอบ “ลินไปรอที่อู่ได้ไหม?”
“ไม่ได้” คราวนี้น้ำเสียงฟังดูเฉียบขาด
“ปกติก็ไปได้” ฉันเริ่มทำหน้างอ “ไปมาตั้งหลายวันไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเลยด้วย”
“บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ จะให้ผู้หญิงมานั่งรอทำงานได้ไง? เดี๋ยวก็โดนไล่ออกพอดี”
“…” นั่นสิ… ฉันเองก็ลืมคิดไปเหมือนกัน
“ทางที่ดีไม่ต้องมาเจออีกก็…”
“ไม่เอา!” ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะพูดจบฉันก็รีบสวนขึ้น “ก็บอกแล้วไงว่าชอบ จะจีบ”
“…”
คนโดนจีบทำหน้าบอกบุญไม่รับ แต่ปฏิกิริยาของสองคนที่ยืนห่างออกไปกลับทำตาลุกวาวเมื่อได้ยินข่าวใหม่ ฉันพยายามไม่สนใจสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนเขา แต่กำลังจ้องหน้าไอ้คนที่เอาแต่ไล่อย่างไม่ลดละ จนแล้วจนรอดก็ไล่อยู่ได้
“ไม่ว่างต้องทำงาน ไม่มีเวลาคุยเล่นด้วยหรอก” พี่สิงห์เอ่ยด้วยเสียงเหนื่อยใจ
“ก็งั้นจะให้ลินทำยังไง?”
“ก็บอกว่าไม่ต้องมาแล้ว”
“ก็บอกไม่เอาไง”
“…”
“เดี๋ยวลินหาวิธีเองละกัน พี่ไปเถอะ”
เมื่อเห็นว่าเราคงเถียงกันไม่จบไม่สิ้นแน่ ๆ ฉันก็เลยเลื่อนกระจกรถปิด คนโดนตามยังยืนนิ่งมองอยู่อย่างนั้น ฉันไม่สนใจเขาก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนรถออกจากซองจอดช้า ๆ มองผ่านกระจกมองข้างพบว่าตอนนี้เพื่อนเขากำลังเดินเข้าไปหาร่างสูงของพี่สิงห์พร้อมทำสีหน้าล้อเลียน และยิงคำถามไม่หยุด
สายตาทั้งสามคู่มองตามรถฉันมาด้วยอาการที่แตกต่างกัน เพื่อนเขาดูตื่นเต้นอยู่หรอกที่เห็นฉันมาตามจีบเพื่อนตัวเองถึงที่ขนาดนี้
แต่คนโดนจีบนี่สิ… เอาแต่ทำตัวซีเรียสอยู่ได้
มันจะไปยากอะไร… เฮียลงเฮียเล้งอะไรนั่นดูท่าทางไม่ได้ใจร้ายอะไรเท่าไร… ถ้าฉันไปคุย ก็คงพอได้นั่นแหละ!
หนึ่งชั่วโมงต่อมา…
ตอนนี้ฉันกำลังนั่งเลื่อนโทรศัพท์เล่นอยู่ตรงโซฟาตัวเดิมในอู่เฮียเล้ง แต่รอบนี้ไม่ค่อยมีใครหันมาสนใจแล้ว คงเพราะเริ่มจะชินแล้วนั่นแหละ และพวกเขาก็รู้ ๆ กันอยู่แล้วว่าฉันมาหาใคร...
เรื่องเฮียเล้งไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก แค่ฉันบอกว่ากำลังจีบพี่สิงห์เท่านั้นแหละ
‘ดีเลย! อาสิงห์อีบ้างานมากถ้ามีเมียก็คงดี!’
และนั่นก็เป็นเหตุผลเดียวที่ว่าทำไมฉันถึงยังนั่งเล่นอยู่ที่อู่ได้โดยไม่มีใครว่า และไม่มีใครคิดจะสนใจ ทุกคนเป็นกันเองกับฉันมาก ๆ ส่วนมากเรียกฉันว่าพี่บ้าง เจ๊บ้าง… ถึงแม้ว่าบางคนจะอายุเท่าฉันก็ตาม พวกเขาบอกว่าถ้าเป็นแฟนพี่สิงห์ก็ต้องเป็นเจ๊นั่นแหละ
แหม… ยังไม่ถึงขั้นนั้นเลยนี่สิ…
“งานน้อยเหรอ?” ฉันส่งยิ้มให้ร่างสูงของ ‘พายุ’ เมื่อเด็กนั่นเดินเฉียดเข้ามาใกล้ ก็คนนั้นไงที่ว่าหล่อ ๆ เหมือนพี่สิงห์ และเป็นคนรับเรื่องทำสีรถให้ฉันวันแรกนั่น
“วันนี้ไม่ค่อยมีใครเอารถเข้ามาเลยพี่” ใบหน้าหล่อยกยิ้มบอกอย่างเป็นกันเอง “ดูท่าจะชอบไอ้พี่สิงห์มันจริง ๆ นะเนี่ย?”
“เอ้า! ไม่ชอบแล้วจะมาขนาดนี้เหรอ?” ฉันยิ้มอย่างเต็มภาคภูมิ จนคู่สนทนาหัวเราะออกมา
“ก็ขอให้จีบติดละกัน… พี่สิงห์มันไม่สนผู้หญิงเท่าไรหรอก”
“อย่าบอกนะ…” ฉันหรี่ตาลงนิด ๆ ก่อนจะป้องปากถาม “พี่สิงห์เป็นเกย์เหรอ?”
“บ้า!” คนตัวโตถึงกับเกือบพ่นน้ำที่กำลังดื่มอยู่ออกมา “แมน ๆ แบบนั้นเนี่ยนะ? ไม่ใช่หรอก… แค่ไม่เคยเห็นคุยกับใคร มีคนที่ร้านเหล้าจีบมันเยอะจะตาย”
“นั่นสิ”
“อย่าบอกนะว่าตามไปที่ร้านมาแล้ว?”
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
พายุเอาแต่หัวเราะไม่หยุดเมื่อฉันเล่าเรื่องที่ฉันไปแอบส่องพี่สิงห์ที่ร้านเหล้าที่เขาทำงานมา แต่เราคุยกันได้ไม่เท่าไรเจ้าตัวก็ต้องรีบเดินออกไปรับลูกค้า และจังหวะเดียวกันร่างสูงของพี่สิงห์ก็เดินสวนเข้ามาพอดี พอเห็นหน้าฉันก็มองมาอย่างดุ ๆ ทำท่าจะเข้ามาไล่อีกเหมือนเคย
“ลินขออนุญาตเฮียเล้งแล้ว” ฉันรีบบอกทันทีที่เขามาหยุดยืนลงตรงหน้า
“คือ?” เจ้าตัวดูแปลกใจกับคำบอกเล่าของฉัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้ขยายความอะไรให้ฟัง บุคคลที่ถูกพูดถึงตอนนี้มายืนอยู่ข้างหลังเขาเรียบร้อยแล้ว
“อาสิงห์เอ๊ย… อย่าไปไล่อีเลย คนมันรักมันชอบก็ปล่อย ๆ อีไปบ้าง” ชายสูงวัยนามว่าเฮียเล้งพูดอย่างเห็นอกเห็นใจกัน ซ้ำยังมองคนของตัวเองด้วยสายตาตำหนิอีกต่างหาก
“…” คนถูกว่าถึงกับไปไม่เป็น และนั่นทำให้ฉันอดลอบยิ้มกับสีหน้าปั้นยากของเขาไม่ได้เลย
“อั๊วอนุญาตให้ลื้อนั่งรอจนอาสิงห์อีเลิกงานนั่นแหละไม่ต้องรีบหรอก สบาย ๆ” เฮียเล้งหันมาบอกฉันอย่างใจดี ก่อนจะหันไปตบบ่าคนตัวสูงที่ยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิม “มีเมียก็ดีนะ ลื้อจะได้ไม่เครียดมาก”
“…” พี่สิงห์ทำท่าอึกอักแต่ก็ไม่ยักเถียงอะไรออกมา
กระทั่งเฮียเล้งเดินกลับเข้าไปในออฟฟิศแล้วฉันยังหยุดยิ้มไม่ได้เลย ในขณะที่คนตัวโตยกมือเกาหางคิ้วอย่างงุนงงกับสถานการณ์ พี่สิงห์ชำเลืองมามองกันแล้วส่ายหัว
“เอาจนได้สินะ”
“ของมันแน่อยู่แล้ว ยากตรงไหนกัน”
ฉันยกยิ้มขึ้นอย่างเป็นต่อ เจ้าตัวไม่ว่าอะไรอีก เดินเลี่ยงไปทำงานเหมือนกับคนอื่น ๆ โดยระหว่างทำงานก็โดนแซวไม่หยุด ทุกครั้งที่โดนแซวหน้างี้แดงเถือกเลย…
เขินแหละ… แหม… ก็คนสวยมาเฝ้าเช้าเฝ้าเย็นขนาดนี้เชียว!