หลิง อี้หรานเป็นใคร? เธอเคยติดคุกมาก่อน!ในเมืองเล็ก ๆ แบบนี้ ผู้คนมักจะดูถูกอดีตนักโทษ บางคนวิพากษ์วิจารณ์หลิง อี้หราน ในขณะที่บางคนคิดว่าหลิง อี้หรานไม่ควรอยู่ที่นี่ เธอเป็นความอัปยศของตระกูลลู่ ดังนั้นพวกเขาควรไล่เธอออกไป!ทุกครั้งที่สมาชิกในตระกูลลู่ได้ยินเรื่องแบบนั้น พวกเขากลับรู้สึกหวาดกลัวมากว่า คำพูดเหล่านี้จะทำให้อี้ จิ่นหลีโกรธ หากเป็นเช่นนี้ เขาอาจจะกวาดล้างตระกูลลู่ได้แม้ว่าลี่ฟางจะอยู่ภายใต้การคุ้มครองของกู้ ลี่เฉิน แต่กู้ ลี่เฉินไม่เคยพูดว่าเขาจะปกป้องตระกูลลู่!ในวันเคลื่อนย้ายศพของคุณนายลู่ หลิง อี้หรานยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนในชุดดำ ดวงตาของเธอแดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังร้องไห้อีกครั้งอี้ จิ่นหลีที่สวมชุดดำยืนอยู่ข้างหลิง อี้หรานและพาเธอไปที่งานศพตระกูลลู่ได้จองห้องโถงในหอประชุมสำหรับจัดงานศพ เพื่อที่จะสามารถรองรับผู้ที่มาร่วมงานได้หลิง อี้หรานยืนเงียบ ๆ ระหว่างพิธีรำลึก น้ำตาของเธอไหลลงมาไม่หยุดขณะที่ลุงใหญ่เล่าเรื่องชีวิตของคุณยายของเธอคนที่รักเธอจากเธอไปทีละคนแม่ของเธอทิ้งเธอไปและคุณยายของเธอก็เช่นกัน ต่อจากนี้ใครจะทิ้งเธออีก?เธอรู้สึกหวาดกลัวในใ
ก่อนที่ชายคนนั้นจะพูดจบ เขาก็ถูกเตะด้วยเท้าข้างหนึ่งอย่างกะทันหัน“โทษที พอดีฉันควบคุมเท้าไม่ได้น่ะ” อี้ จิ่นหลีพูดเบา ๆ แต่เท้าซ้ายของเขาเหยียบอยู่บนหน้าอกของชายคนนั้น ทำให้ชายคนนั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดในทันที ใบหน้าของเขาแดงก่ำ แต่เขาไม่สามารถขยับเท้าที่กดทับหน้าออกของเขาออกไปได้เมื่อเห็นสิ่งนี้ ลุงใหญ่ ลุงรองและป้าก็รีบพูดออกมาทันทีว่า “คุณอี้ เอ่อ... คุณไม่ควรทำแบบนี้ที่งานศพ”“ถ้าเกิดอะไรขึ้น มันจะเป็นการไม่เคารพผู้ตาย”“ผู้ชายคนนั้นก็แค่พูดพล่อย ๆ อย่าไปใส่ใจกับเขาเลย คุณอี้!”อี้ จิ่นหลีมองอย่างเกียจคร้านไปที่สามคนที่อยู่ข้างหน้าเขา “ผมคิดว่าถ้าคุณยายเห็นใครดูถูกหลานสาวของเธอแบบนี้ เธอคงเห็นด้วยกับผมที่ทำแบบนี้ใช่ไหม?”รอยยิ้มมุมปากของเขาทำให้พวกเขาทั้งสามคนรู้สึกเสียวที่สันหลัง“แน่นอน เธอจะเห็นด้วย!”“ใช่ ผู้ชายคนนี้แค่โกรธที่อี้หรานปฏิเสธข้อเสนอของเขาในตอนนั้น เขาจึงมาที่นี่เพื่อระรานเธอ!”“คนประเภทนี้ไม่ควรมางานศพ อี้หรานเป็นสมาชิกของครอบครัวเรา เขากล้าดียังไงถึงมาดูถูกเธอ? อี้หรานเป็นคนโปรดของแม่ฉันมาตลอด”ทั้งสามคนพูดโดยเข้าข้างหลิง อี้หราน ลุงใหญ่เรียกพนักง
หลิง อี้หรานได้เรียนรู้ถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในคุก!เธอก้าวไปข้างหน้าและมองดูคุณยายของเธอที่นอนอยู่ในโลงอย่างเงียบ ๆ โดยรู้ว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เห็นคุณยาย หญิงชราผู้ใจดีมอบความรักให้เธอมากมายหลังจากที่เธอสูญเสียแม่และทำให้เธอมีความสุขหลิง อี้หรานวางดอกไม้ไว้ในมือของคุณยายอย่างอ่อนโยนและกล่าวคำอำลาครั้งสุดท้ายในใจของเธอเธอไม่ได้มองดูตอนที่ร่างของคุณยายถูกเผา เธอกลัว กลัวว่าเธอจะทนไม่ได้ที่ต้องเห็นคุณยายถูกเผาต่อหน้าต่อตา“คุณยายทิ้งฉันไปแล้ว จิน มีเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้ที่รักฉันจริง ๆ และปฏิบัติต่อฉันอย่างดี” หลิง อี้หรานพึมพำอี้ จิ่นหลีมองไปที่หลิง อี้หรานและพูดว่า “ผมจะไม่ทิ้งพี่ ผมจะอยู่ที่นี่เพื่อพี่เสมอ”“ฉันรู้ว่าคุณจะไม่ทิ้งฉัน และฉัน... ก็จะไม่ทิ้งคุณเหมือนกัน” หลิง อี้หรานพูด เขาให้ความอุ่นใจกับเธอเสมอเมื่อเธอรู้สึกสูญเสียร่างของคุณยายถูกเผา และเถ้าถ่านก็อยู่โกศตระกูลลู่ฝังคุณยายของเธอไว้ในหลุมฝังศพของบรรพบุรุษแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน ในสมัยก่อน ก่อนที่ผู้คนจะเข้ามาตั้งถิ่นฐาน บรรพบุรุษตระกูลลู่และชาวบ้านคนอื่น ๆ ถูกฝังไว้ที่นี่หลังจากที่พวกเขาเสียชี
...หลิง อี้หรานนั่งอยู่ในรถขณะที่มองทิวทัศน์ทั้งสองข้าง เธอเริ่มฮัมเพลงเบา ๆ เพลงที่ไพเราะและฟังดูผ่อนคลายอี้ จิ่นหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและรอจนกว่าหลิง อี้หรานจะร้องเพลงเสร็จ ก่อนจะถามว่า “เพลงอะไร?”“เดินไปบนเส้นทางแห่งชีวิต เป็นเพลงเก่า คุณยายของฉันชอบฟังเพลงนี้มาก เธอเป็นคนสอนให้ฉันร้องเพลงนี้ ฉันเคยร้องเล่นสนุกตอนเด็ก ๆ แต่ฉันกลับไม่ค่อยเข้าใจเนื้อเพลงในตอนนั้นเท่าไหร่ แต่พอฉันโตขึ้น ฉันก็ยิ่งเข้าใจมันมากขึ้น” หลิง อี้หรานตอบ“เป็นเพลงที่ดีนะ” เขาพูด“ใช่ แย่จัง คุณยายสอนเพลงให้ฉันไม่ได้อีกแล้ว” เธอบ่น ขณะที่ดูเหนื่อยล้าเธอได้นอนเพียงสามถึงสี่ชั่วโมงต่อวัน เธอใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ข้างโลงศพของคุณยายและยุ่งกับงานศพ ดังนั้นเธอจึงไม่มีเวลาได้พักผ่อนอย่างพอเพียง“ถ้าเหนื่อยก็นอนนะ อีก 2 ชั่วโมงกว่าจะถึง” อี้ จิ่นหลีพูดหลิง อี้หรานตอบรับอี้ จิ่นหลี จากนั้นเขาก็ช่วยเธอปรับที่นั่งของเธอให้เป็นมุมที่เหมาะสมเพื่อการนอนหลับที่สบายเธอเอนศีรษะเอนหลังพิงที่นั่งแล้วหลับตาลง อี้ จิ่นหลีจ้องมองใบหน้าที่กำลังหลับปุ๋ยและหยิบสร้อยข้อมือเงินขนาดเล็กออกจากกระเป๋าหน้าอกของเขาในเวลาต่อมาส
“แล้วถ้าคนร้ายจับเธอไปด้วยล่ะ” เธอได้เสียงของเด็กน้อย แต่เธอกลับมองไม่เห็นใบหน้าของเขา“ไม่ พวกมันจับเราไม่ได้หรอก!” เด็กหญิงตัวน้อยโต้กลับทันทีเด็กน้อยมองเธออย่างครุ่นคิดโดยไม่พูดอะไรผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กหญิงตัวน้อยก็พึมพำ “ถ้าฉันถูกจับได้ อย่างน้อย… อย่างน้อยเราก็อยู่เป็นเพื่อนกันได้ ฉันไม่กลัวหรอก!”เด็กหญิงตัวเล็กจับมือเด็กชายเอาไว้แน่น กำไลเงินคู่หนึ่งบนข้อมือที่เรียวบางของเธอนั้นโดดเด่นเป็นพิเศษเด็กหญิงตัวเล็กและเด็กชายวิ่งไปตามถนนบนเนินเขาที่ขรุขระ เด็กน้อยมักจะถูกเอาอกเอาใจ ถึงเขาจะมีร่างกายที่แข็งแรง แต่เขาก็ไม่พบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนเด็กหญิงตัวเล็กนำทางไปพร้อมกับจับมือของเขาไว้แน่นทันใดนั้น เด็กชายก็ลื่นล้มลงจากเนินเขา ทำให้เด็กหญิงตัวเล็กที่จับมือเขาไว้ก็ลื่นล้มลงไปเช่นกัน ร่างของเธอลื่นตกลงไปติดอยู่ในกิ่งไม้เล็ก ๆ ที่งอกออกมาจากด้านข้างของเนินเขา มือซ้ายของเด็กหญิงตัวเล็กยังคงจับมือของเด็กชายไว้แน่น เท้าของเด็กชายลอยล่องอยู่ในอากาศ เขาต้องการจะกลับขึ้นไปบนเนินแต่กลับรู้สึกสิ้นหวัง ทางลาดนั้นสูงชันมากจนเขาคิดว่าเขาจะไม่สามารถกลับขึ้นไปได้อีกใบหน้าของเด็
หลิง อี้หรานสัมผัสหน้าผากของเธอ เธอก็รู้สึกได้ถึงเหงื่อ ‘เกิดอะไรขึ้นกับฉัน? ฉันฝันร้ายเหรอ? แต่เนินเขาในฝันคือเนินเขาใกล้เมือง’‘นอกจากนี้... เหตุการณ์ในความฝัน...’ เธอกัดริมฝีปากของตัวเองและครุ่นคิดแสงอาทิตย์สาดส่องจ้านอกหน้าต่างหลิง อี้หรานมองดูเวลา เป็นเวลาเกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว เธอพล็อยหลับไปนาน มีโน้ตข้อความอี้ จิ่นหลีอยู่บนโต๊ะข้างเตียงลายมือของเขาเป็นเส้นเล็กแต่แข็งแรงหลิง อี้หรานอ่านข้อความและรู้ว่าเขาไปที่ทำงานแต่เช้าตรู่เพื่อจัดการกับธุระในบริษัทที่หมักหมมมาตลอดหลายวัน และเขาจะกลับมาทานอาหารเย็นกับเธอหลิง อี้หรานรู้สึกอบอุ่นในใจเมื่ออ่านข้อความนั้น ความรู้สึกวิตกกังวลต่อความฝันของเธอก่อนหน้านี้จางลงเล็กน้อยเธอเดินเข้าไปในห้องน้ำและอาบน้ำขณะที่น้ำอุ่นไหลกระทบกับร่างกายของเธอ เธอมองลงมาที่มือข้างซ้ายอย่างมึนงงราวกับว่าเธอยังคงจับมือเด็กชายคนนั้นไว้แน่นในความฝัน‘เฉินเฉิน... เฉิน... หรือเฉิง? เฉิงเหรอ? เฉง…หรือเปล่า?’มันเป็นเรื่องของการออกเสียงเท่านั้นจากทั้งหมดที่เธอรู้จัก มีเพียงคนเดียวที่มีการออกเสียงแบบนี้ในชื่อของพวกเขา... กู้ ลี่เฉิน!และฉากในความฝัน เ
“ไม่เป็นไร ถ้ามันเป็นสิ่งที่เธอต้องการ ฉันก็จะทำเพื่อคุณ” กู้ ลี่เฉินพูดเบา ๆ“ใจดีจัง เฉินเฉิน” หวา ลี่ฟางตอบคำว่า ‘เฉินเฉิน’ ทำให้กู้ ลี่เฉินรู้สึกเจ็บปวดในใจ เขาพบว่ามันกลับไม่น่าฟังเมื่อเธอพูดออกมา“ต่อจากนี้ไปเรียกฉันว่าลี่เฉิน เฉินเฉินเป็นชื่อเล่นในวัยเด็ก” กู้ ลี่เฉินพูด“ค่ะ” หวา ลี่ฟางตอบอย่างเชื่อฟังเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลิง อี้หรานเป็นคนบอกเธอเกี่ยวกับชื่อของเฉินเฉิน ตอนที่หลิง อี้หรานยังเป็นเด็ก เธอกลับบ้านมาพร้อมเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งและบอกว่าเธอได้ช่วยชีวิตใครบางคนเอาไว้ ไม่มีใครในครอบครัวเชื่อเธอและทุกคนคิดว่าเธอโกหกเพื่อปกปิดความจริงที่ว่าเธอไปแอบเล่นซนมา แต่หวา ลี่ฟางที่อยากรู้อยากเห็นตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ไปถามหลิง อี้หรานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าหลิง อี้หรานได้ช่วยเด็กน้อยที่ชื่อเฉินเฉินอย่างไรไม่อย่างนั้น เธอคงไม่สามารถแกล้งหลอกกู้ ลี่เฉินได้สำเร็จและสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือในเวลาต่อมา หลิง อี้หรานมีไข้สูงซึ่งไม่สามารถรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองได้ เธอจึงถูกย้ายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลใหญ่ในเมืองเฉินหลังจากต้องรักษาความเจ็บป่วยของเธอ หลิง อี้หรานจ
“หนึ่งปีเหรอ?” ชิน เหลียนอีร้องเสียงหลง “แล้วการแต่งงานของเธอกับอี้ จิ่นหลีจะถูกเลื่อนออกไปหนึ่งปีด้วยเหรอ?”หลิง อี้หรานพยักหน้า “ฉันยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับจิน ฉันจะคุยกับเขาคืนนี้แล้วดูว่าเขาจะคิดยังไง” แต่เธอคิดว่าเขาจะเห็นด้วยเขายอมทำทุกอย่างตามคำขอร้องของเธอนับตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มคบกันชิน เหลียนอีมองไปที่ใบหน้าซีดเซียวของเพื่อนและพูด “ทำไมเราไม่ไปห้างสรรพสินค้ากันล่ะ? ไป๋ ทิงซินขอให้ฉันไปเจอเขาที่นั่น เขาบอกว่าเขาสั่งเสื้อผ้าให้ฉันไปรับที่ร้านในห้างสรรพสินค้า”ชิน เหลียนอีไม่อยากทำตัวเด่นในการประชุม งานเลี้ยง และงานอื่น ๆ แต่ไป๋ ทิงซินยังคงลากเธอไปร่วมงานเลี้ยงต่าง ๆ ราวกับว่าเขาต้องตัวติดเธอตลอดเวลาสิ่งที่น่าโมโหที่สุดคือตอนที่เธอโต้เถียงว่าเธอกำลังยุ่งกับงานและต้องทำงานล่วงเวลาหรืออะไรสักอย่าง เขามักจะส่งยิ้มมาและพูดว่าไม่เป็นไร จากนั้นเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้าที่บอกว่าไม่ต้องทำงานล่วงเวลาเธอรู้ว่าไป๋ ทิงซินคุยกับเจ้านายของเธอตลอดพวกเธอไปที่ห้างสรรพสินค้าบริเวณใกล้เคียง ชิน เหลียนอีเข้าไปที่ร้านเพื่อไปรับเสื้อผ้าของเธอกับหลิง อี้หรานแน่นอนว่าเสื้อผ้าที่ไป๋ ทิ