"เจ้าสาวควบม้าอย่างองอาจสง่างามนัก เทียบกับเกี้ยวเจ้าสาวที่พบเห็นได้ทั่วไปแล้ว แบบนี้ช่างน่าชมยิ่งกว่า"ท่ามกลางฝูงชน มีผู้เปล่งเสียงร้องขึ้นว่า "เจ้าสาวช่างงดงามนัก!""ขออวยพรให้สมรสเป็นมงคล!"เสียงแซ่ซ้องแสดงความยินดีดังกึกก้องมิขาดสายหนิงซวงหยิบเหรียญกษาปณ์ทองแดงที่เตรียมไว้ล่วงหน้าโปรยไปยังฝูงชนชั่วขณะนั้น เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีก็ดังก้องไปทั่วท่ามกลางเสียงแซ่ซ้องและคำสรรเสริญ เฉียวเนี่ยนควบม้าไปข้างหน้า มุ่งตรงสู่ตระกูลเซียวอย่างเชื่องช้าขบวนทัพรับเจ้าสาวนำหน้า เฉียวเนี่ยนควบม้าตามหลัง ส่วนด้านหลังของนางนั้น คือขบวนทัพส่งเจ้าสาวที่ทยอยออกมาจากเรือนเล็กมิขาดสายชาวบ้านที่มัวแต่ก้มเก็บเหรียญกษาปณ์ทองแดงเมื่อครู่ พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็ถึงกับตะลึงงันกับขบวนทัพส่งเจ้าสาวตรงหน้า"โอ้สวรรค์! สินเดิมมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?""นึกว่าแม่นางเฉียวออกจากจวนโหวแล้วจะกลายเป็นหญิงเดียวดายเสียอีก คาดไม่ถึงเลยว่านางจะจัดเตรียมสินเดิมได้ถึงเพียงนี้!""ดูสิ ยังไม่หมดอีก! ขบวนทัพนี้ยาวเกือบถึงท้ายถนนแล้ว!"……อันที่จริง เฉียวเนี่ยนเองก็มิอาจรู้ได้ว่าซูมามาได้จัดเตรียมสินเดิมใ
เบื้องหน้าจวนเซียว บรรยากาศคึกคักดั่งคลื่นคลั่งวันนี้ ตระกูลเซียวมีคุณชายสองคนเข้าพิธีสมรส หนึ่งนั้นเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิ อีกหนึ่งเคยรุ่งเรืองในวังหลวง แม้ปัจจุบันจะมิได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนัก แต่ก็ยังคงถูกฝ่าบาทเอ่ยถึงอยู่เนืองๆด้วยเหตุนี้ เหล่าขุนนางและผู้มีอำนาจทั่วเมืองหลวง ล้วนส่งของขวัญมาแสดงความยินดีกันถ้วนหน้า แม้บางคนจะมีเพียงสัมพันธ์อันเลือนรางกับตระกูลเซียว เช่นเคยพบหน้ากันเพียงครั้งในงานเลี้ยงของผู้อื่น ก็มิอาจพลาดโอกาสนี้ได้ท่ามกลางเสียงพูดคุยอื้ออึง จู่ๆ ก็มีผู้หนึ่งตะโกนขึ้นมา "เจ้าสาวมาแล้ว!"ทันใดนั้น ทุกสายตาก็พลันจับจ้องไปยังทิศที่เฉียวเนี่ยนมาถึงสายตาทุกคู่สะท้อนภาพของขบวนเจ้าสาวที่ทอดยาวดั่งมังกรสีชาดเลื้อยผ่านถนนหนทาง ส่วนเฉียวเนี่ยนนั้น นางมิได้นั่งเกี้ยวเช่นสตรีทั่วไป กลับควบอาชาศึกมาด้วยท่วงท่าองอาจ ผึ่งผาย และสง่างามเหนือผู้คน ภาพตรงหน้าทำให้ผู้คนอดมิได้ที่จะอุทานออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างแรก พวกเขาต่างตื่นตะลึงกับสินเดิมที่มากมายมหาศาล จนมองไม่เห็นปลายทางอย่างที่สอง พวกเขาต่างตกตะลึงกับรัศมีอันโดดเด่นของเจ้าสาวเดิมที ทุกคนล้วนเ
ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะให้นางจับแพรแดงร่วมกับเซียวเหิง!นางกำลังจะแต่งงานกับเซียวเหอ ไม่ใช่เซียวเหิง!พิธีที่เคยราบรื่นกลับถูกขัดจังหวะอย่างไม่คาดคิด จวนเซียวและฮูหยินเซียวไม่สามารถอดทนได้ จึงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจพวกเขารู้สึกว่า ลักษณะนิสัยของเฉียวเนี่ยนนั้นไม่เคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่เหมาะสมกับการเป็นบุตรีของตระกูลใหญ่เลยแม้แต่น้อยหญิงผู้จัดการพิธีมงคลรีบหยิบแพรแดงขึ้นมา แล้วพูดอธิบายกับเฉียวเนี่ยนอย่างนุ่มนวล "นายหญิงน้อยใหญ่ อย่าโกรธไปเลยนะเจ้าคะ คุณชายใหญ่ไม่สะดวกทำพิธี ก็เลยให้แม่ทัพเซียวช่วยแทน การที่น้องชายทำแทนพี่ใหญ่นั้นเป็นเรื่องที่มีมาแต่โบราณแล้ว โปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ"คำพูดนั้นเป็นการปลอบใจเฉียวเนี่ยนว่านางยังแต่งงานกับเซียวเหออยู่แต่เฉียวเนี่ยนกลับเอามือไขว้หลังแล้วปฏิเสธที่จะรับแพรแดง "ถึงอย่างนั้นวันนี้ก็เป็นการแต่งงานของแม่ทัพเซียวและแม่นางหลิน ยิ่งมาทำพิธีพร้อมกันเช่นนี้ คงจะดูไม่เหมาะสมใช่หรือไม่?"เมื่อเห็นว่าเฉียวเนี่ยนใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อขัดขวางพิธี หลินยวนจึงรีบพูดขึ้นจากใต้ผ้าคลุมหน้า "ท่านพี่เจ้าคะ ไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ ท่านพ
หลังคำนับเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาส่งตัวเข้าเรือนหอเซียวชิงหน่วนเดินถือแพรแดงนำหน้าไปข้างหน้า นำทางเฉียวเนี่ยนไปยังเรือนหอบางทีอาจจะเพราะรู้ว่าเซียวเหอไม่อยากเจอใคร หรืออาจจะคิดว่าเซียวเหิงคือตัวเลือกที่ดีกว่าในการพึ่งพา ดังนั้นนอกจากหนิงซวงแล้ว ก็ไม่มีใครตามหลังนางเฉียวเนี่ยนไม่นาน เซียวชิงหน่วนก็นำแพรแดงมาสอดเข้าไปในอ้อมแขนของเฉียวเนี่ยน "เจ้าฉลาดจริงๆ คิดได้ยังไงถึงให้ข้าทำพิธีแทน!"ขณะที่พูด เซียวชิงหน่วนมีท่าทางที่ดูไม่ธรรมชาติเนื่องจากทั้งสองโตมาด้วยกัน ตั้งแต่ตอนที่เฉียวเนี่ยนถูกลงโทษให้เข้าไปในกรมซักล้าง นางยังยินดีที่ได้เห็นเฉียวเนี่ยนเดือดร้อน หลังจากเฉียวเนี่ยนออกมา นางก็ยังพูดเยาะเย้ยต่อ จนกระทั่งเหตุการณ์ที่เฉียวเนี่ยนช่วยนางขึ้นจากน้ำในครั้งนั้น นางจึงเริ่มไม่ชิงชังเฉียวเนี่ยนเท่าแต่ก่อนแต่ว่าความสัมพันธ์ของพวกนางยังคงไม่ดีเท่าไรเฉียวเนี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา แล้วรวบแพรแดงในมือให้กลายเป็นก้อนแล้วส่งให้หนิงซวงที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก่อนที่จะกล่าวว่า "ข้าไม่ใช่คนโง่นี่ แน่นอนว่าต้องเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง!"เทียบกับเซียวเหิงแล้ว เซียวชิงหน่วนถือเป็นตัวเ
เมื่อเปิดประตูออก สายลมเย็นยะเยือกก็พัดผ่านมาปะทะกายเฉียวเนี่ยนกระชับอาภรณ์บนบ่าให้แน่นขึ้นก่อนจะก้าวออกไปเรือนของเซียวเหอช่างกว้างขวางนัก กลางเรือนมีต้นอู๋ถงต้นใหญ่ สูงตระหง่าน แผ่กิ่งก้านสาขาเขียวชอุ่มลำต้นของมันหนายิ่งนัก เกรงว่าคงต้องให้นางกับหนิงซวงโอบล้อมร่วมกันถึงโอบได้เพียงพอดีเฉียวเนี่ยนก้าวเดินไปยังต้นอู๋ถง เงยหน้ามองกิ่งไม้เบื้องบนทันใดนั้นก็มองเห็นกิ่งหนึ่งหนาพอๆ กับแขนของนาง สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือช่างเหมาะแก่การทำชิงช้านัก!ภาพของนางและหนิงซวงที่กำลังแกว่งไกวอยู่บนชิงช้าปรากฏขึ้นในห้วงคำนึง ดวงตาของเฉียวเนี่ยนพลันฉายแววอบอุ่นเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มถึงอย่างไร นางก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อีกถึงสามปีอย่างไรก็ต้องแสวงหาสิ่งบันเทิงใจเสียหน่อยสายลมบริสุทธิ์พัดผ่าน กิ่งใบของต้นอู๋ถงพลันไหวสะท้อนเสียงซ่าเบาๆรอยยิ้มบนริมฝีปากของเฉียวเนี่ยนพลันแข็งค้างในพริบตามีคนอยู่บนต้นไม้!แม้ค่ำคืนนี้จันทราจะส่องแสงแจ่มกระจ่าง ทว่าร่างของอีกฝ่ายกลับแฝงเร้นอยู่ท่ามกลางใบไม้หนาทึบ จนยากจะมองเห็นได้ถนัดตาแต่…จวนแม่ทัพหาใช่สถานที่ที่ใครจะล่วงล้ำเข้ามาได้โดยง่าย!สัญชา
วันรุ่งขึ้นเมื่อเฉียวเนี่ยนก้าวออกจากเรือน ก็มองเห็นเซียวเหอยืนรออยู่ที่ลานแล้ววันนี้ คู่บ่าวสาวควรต้องเข้ายกน้ำชาแด่นายท่านเซียวและฮูหยินเซียวทันทีที่เห็นเซียวเหอ ภาพเสียงครวญครางเจ็บปวดเมื่อคืน และสีหน้าทรมานของเขาก็ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงของเฉียวเนี่ยนทว่าเมื่อคืน หลังจากที่นางยืนรออยู่หน้าห้องของเซียวเหออยู่ครู่หนึ่ง เสียงครวญครางเช่นนั้นก็หาได้ดังขึ้นอีกยิ่งไปกว่านั้น เซียวเหอเองก็มิได้ยอมรับว่าเสียงนั้นเป็นของเขา เฉียวเนี่ยนจึงมิอาจเซ้าซี้ถามอะไรไปมากกว่านี้ ได้แต่เก็บงำความกังวลไว้ในใจ ก่อนจะก้าวเข้าไปหา "ท่านพี่เซียว"วันนี้ ใบหน้าของเซียวเหอมิได้ซีดเผือดดังเช่นเมื่อคืนอีกแล้ว ทว่าโดยรวมแล้วยังดูอ่อนแรงอยู่ไม่น้อยเมื่อได้ยินเสียงของเฉียวเนี่ยน เขาจึงหันมามองนาง รอยยิ้มบางเบาแตะแต้มที่มุมปาก ท่าทีอ่อนโยนผิดแผกจากความเย็นชาของเมื่อคืนโดยสิ้นเชิง "นอนหลับสนิทดีหรือไม่?"“หลับสบายดีเจ้าค่ะ” เฉียวเนี่ยนตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทำทีเสมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเมื่อคืนเซียวเหอพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ไปเถิด อย่าปล่อยให้พ่อแม่ต้องรอนาน”“เจ้าค่ะ” เฉียวเน
เสียงของฮูหยินเซียวกล่าวขึ้นว่า "ยวนเอ๋อร์คงยังไม่รู้ นี่คือลักษณะประเพณีของตระกูลเซียว พวกเจ้าต้องยกน้ำชาคารวะพี่ใหญ่และสะใภ้ใหญ่ด้วย"หา?มีประเพณีแบบนี้ด้วยหรือ?เฉียวเนี่ยนจ้องมองไปที่พื้นรองเท้าของตน แต่คิ้วกลับยกขึ้นโดยไม่รู้ตัวในใจของนางเริ่มรู้สึกอยากจะเห็นว่าเซียวเหิงจะคำนับและยกน้ำชาให้ตนอย่างไรแม้กระทั่งหนิงซวงที่ยืนอยู่ด้านหลังของเฉียวเนี่ยน ยังก้มหน้าลงไป มือเล็กปิดปากตัวเองไว้ หวั่นเกรงจะหลุดหัวเราะออกมาในอีกมุมหนึ่ง เซียวชิงหน่วนทอดสายตามองไปที่ใบหน้าของเฉียวเนี่ยน เผลอพบว่า นางเหมือนกับเฉียวเนี่ยนในช่วงสามปีก่อนอย่างไม่น่าเชื่อหญิงสาวผู้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและไม่สามารถซ่อนความคิดเล็กน้อยของตนได้อย่างเฉียวเนี่ยนแต่การแสดงออกเช่นนี้ก็ชัดเจนเกินไปหน่อยเซียวชิงหน่วนกระแอมเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า "ใช่แล้ว เดี๋ยวข้าก็ต้องยกน้ำชาคารวะพี่ชายและพี่สะใภ้ทั้งสองเหมือนกัน!"เมื่อเฉียวเนี่ยนได้ยินคำพูดนี้ จึงหันไปมองเซียวชิงหน่วน และพบว่าใบหน้าของนางมีความหม่นหมองเล็กน้อย ดวงตาของนางมองมาที่เฉียวเนี่ยนอย่างชัดเจนพร้อมกับแฝงไปด้วยคำเตือนเฉียวเนี่ยนรู้
เซียวเหอไม่แสดงอารมณ์ใด แต่ทุกคนในห้องต่างก็ถูกเขาจับตามองเมื่อเห็นว่าเฉียวเนี่ยนแสดงอาการไม่สบายใจบนใบหน้า เขาจึงพูดขึ้นว่า "เมื่อได้ยกน้ำชาไปแล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอยากกลับไปพักผ่อนก่อน"เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายท่านเซียวและฮูหยินเซียวก็ไม่อาจปิดบังความผิดหวังได้แน่นอนว่าพวกเขาอยากอยู่กับเซียวเหออีกสักพักแต่ก็เข้าใจดีว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น เซียวเหอไม่ค่อยชินกับการออกมาเจอผู้คน และการที่เขาออกมาเพื่อยกน้ำชาในวันนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากแล้วพวกเขาคิดว่ามีเฉียวเนี่ยนอยู่ข้างกายเขา เขาอาจจะค่อยๆ ดีขึ้นก็ได้คิดได้เช่นนั้น ท่านทั้งสองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย "ได้สิ ให้เนี่ยนเนี่ยนพาเจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด"เมื่อได้ยินดังนั้น เฉียวเนี่ยนก็ลุกขึ้นคำนับท่านทั้งสองแล้วเดินไปข้างหลังเซียวเหอและเข็นเขาไปข้างนอกอาจเป็นเพราะว่าฝีเท้าของนางเร็วเกินไป เซียวเหอจึงหันหน้ามาทางเฉียวเนี่ยนแล้วถามด้วยเสียงนุ่มนวล "รีบร้อนไปไหนกัน?"เฉียวเนี่ยนตกใจเล็กน้อยนั่นสิ นางจะรีบร้อนไปทำไม?คนที่ทำเรื่องโง่ๆ นั้นไม่ใช่นางเสียหน่อย!นางจึงค่อยๆ ลดความเร็วลง แต่ก็ไม่ได้ยอมรับ "ข้ารีบร้อนตรงไ
"ว่ากันตามจริงแล้ว ข้าควรขอบคุณแม่ทัพเซียวที่ยังจดจําความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับท่านได้ ไม่เช่นนั้นตอนนี้ ข้าคงยังเป็นทาสอยู่ในกรมซักล้าง ข้าขอขอบคุณแม่ทัพเซียวสําหรับความเมตตาของท่าน! แต่ขอเพียงท่านอย่าเลือกตัวเลือกนี้หลังจากชั่งน้ำหนักครั้งแล้วครั้งเล่า บอกว่าเป็นการืำเพื่อข้าอีก"“ข้ารับไม่ไหว”คําสี่คําสุดท้ายนั้น ราวกับค้อนหนักทุบลงบนใจของเซียวเหิงอย่างแรงเซียวเหิงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง กลับถูกม้านั่งสะดุดขา โซเซจนเกือบล้มไปข้างหลังอาจเป็นเพราะเสียงนี้ดังไปหน่อย เฉียวเอ๋อร์และฮุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่นอกห้องจึงรีบวิ่งเข้ามาเซียวเหิงตวาดเสียงเข้มทันที "ใครให้พวกเจ้าเข้ามา! ออกไป!"แต่ไม่คิดว่า เฉียวเอ๋อร์และฮุ่ยเอ๋อร์จะคุกเข่าลงพร้อมกัน"ฮูหยิน ท่านให้อภัยท่านแม่ทัพเซียวเถอะ! ท่านแม่ทัพเซียวใส่ใจท่านจริงๆ! เขาได้ยินว่าท่านต้องการพบเขา ก็มาโดยไม่คํานึงถึงอาการบาดเจ็บหนัก!""ใครอนุญาตให้พวกเจ้าพูดมาก? ไสหัวไป!"เซียวเหิงตวาดเสียงเข้มอีกครั้งเฉียวเอ๋อร์กับฮุ่ยเอ๋อร์ยังอยากจะเกลี้ยกล่อมอีก พวกนางทนเห็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตัวเองน่าเวทนาเช่นนี้ไม่ได้ แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาคู่นั้นของเซ
แผลเป็นเหล่านั้นราวกับกำลังเป็นพยานให้กับเซียวเหิง ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาใส่ใจนางเพียงใดน้ำตาก็เอ่อล้นขึ้นมาในดวงตาของเฉียวเนี่ยนโดยไม่รู้ตัวนางยื่นมือออกไป ลูบเบา ๆ ลงบนแผลเป็นบริเวณอกของเขา ปลายนิ้วของนางเย็นเฉียบราวกับอาวุธอยู่ ๆ นางก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบา "เจ็บไหม?"คิ้วของเซียวเหิงกระตุกขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวเจ็บไหม?สองพยางค์นี้ นางเคยถามจิ่งเหยียนมาก่อนเขาเห็นกับตาว่าหลังจากนั้น นางกับจิ่งเหยียนโอบกอดกันแนบแน่นเพียงใด เพราะเหตุนี้ เวลานี้จึงมีอารมณ์บางอย่างที่ไม่อาจเอ่ยออกมาจุกอยู่กลางอก จนไม่อาจเปล่งถ้อยคำใดออกมาได้เลยแม้แต่คำเดียวแต่แล้วก็เห็นนางเงยหน้าขึ้นมามองเขากะทันหัน ท้ายที่สุดน้ำตาในดวงตาก็ไหลรินลงมาเสียงเบา ๆ อ่อนโยนนั้นเอ่ยว่า "จิ่งเหยียน… ต้องเจ็บมากแน่ ๆ เลย"เพราะนางเห็นกับตา ว่าบนร่างของจิ่งเหยียนตรงตำแหน่งนี้ มีรูขนาดใหญ่ทะลุเป็นโพรงเหล่าทหารกล่าวว่า นั่นคือบาดแผลจากดาบที่จิ่งเหยียนรับไว้แทนเซียวเหิง แทงทะลุผ่านร่างกายนางคิดว่า ตอนนั้นจิ่งเหยียนคงเจ็บมาก เจ็บมากจริง ๆเซียวเหิงไม่เคยคาดคิดเลยว่า เวลานี้ เวลาที่นางกำลังมองแผลเป็นทั่วร่างของเขา
"..."เฉียวเนี่ยนไม่รู้ว่าเฉียวเอ๋อร์กับฮุ่ยเอ๋อร์ไปพูดสิ่งใดกับเซียวเหิง แต่เห็นได้ชัดว่าเซียวเหิงกำลังเข้าใจผิดคิ้วเรียวงามของนางขมวดแน่น เฉียวเนี่ยนเอ่ยเสียงขรึม "ท่านต้องการอะไรกันแน่? เหตุใดต้องกักข้าทิ้งไว้ที่นี่?"รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวเหิงชะงักไปชั่วขณะ แต่ยังคงฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนไว้ ดวงตาสีเข้มลึกฉายแสงจากเปลวเทียน แวววาวนัก"นี่มิใช่การกักขัง ข้าเพียงแค่… อยากให้เราสองคน… มีโอกาสอีกครั้ง"โอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่งแต่ว่าดวงตาของเฉียวเนี่ยนกลับยิ่งหม่นมัว นางมองเซียวเหิง ปากยกยิ้มเย้ยหยัน "โอกาสหรือ? เมื่อสามปีก่อน แม่ทัพเซียวก็หาได้เคยให้โอกาสข้าไม่"เมื่อสามปีก่อน พวกเขาทั้งหมดต่างยืนอยู่ข้างหลินยวน กระทั่งคำแก้ตัวของนาง ก็ยังถูกสายตาอันดุดันของเขาบีบให้กลืนกลับลงไปหากสามปีก่อนเขาไม่ต้องการนางแล้ว เช่นนั้นเหตุใดสามปีให้หลังยังจะมากักนางไว้อีก!เมื่อได้ยินนางพูดถึงเรื่องในอดีตเมื่อสามปีก่อน หัวใจของเซียวเหิงก็เจ็บปวดราวกับถูกกรีดด้วยมีดเขาก้าวเข้าไปใกล้นาง แต่ก็เห็นนางถอยกรูดไปสามก้าวทันที มือที่กำปิ่นปักผมไว้แน่นก็ยกขึ้นเตรียมป้องกันตัวเขาจึงหยุด
สามวันต่อมาเฉียวเนี่ยนนั่งอยู่ใต้ชายคา ข้างซ้ายมีสาวใช้กำลังแกะเมล็ดแตงให้กับนาง ข้างขวามีสาวใช้อีกคนกำลังหั่นแตงโมให้นางสามวันแล้ว แต่นางกลับยังไม่ได้พบกับเซียวเหิงเลยกลับกัน ตอนนี้นางกลับคุ้นเคยกับสองสาวพี่น้องคู่นี้เป็นอย่างดีทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ฝั่งซ้ายชื่อเฉียวเอ๋อร์ ฝั่งขวาชื่อฮุ่ยเอ๋อร์สองนางมิใช่คนเมืองหลวง บ้านเกิดอยู่ไกลถึงชายแดนเมื่อครั้งอดีต เซียวเหิงช่วยชีวิตสองนางจากสนามรบ ญาติพี่น้องทั้งหมดล้วนเสียชีวิตเพราะสงคราม สองนางจึงติดตามเซียวเหิงกลับเมืองหลวงสำหรับสองนาง เซียวเหิงคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิต จึงเชื่อฟังเซียวเหิงทุกถ้อยคำแน่นอนว่าย่อมเคารพนบนอบต่อเฉียวเนี่ยนด้วยตลอดสามวันที่ผ่านมา ทั้งสองดูแลนางอย่างสุดความสามารถ ว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ เพียงแต่ไม่ยอมบอกนางว่าที่นี่คือที่ใดหากเซียวเหิงไม่อนุญาต พวกนางจะไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่แห่งนี้แม้แต่น้อยไม่ใช่เฉียวเนี่ยนไม่เคยลองใช้วิธีอื่น สามวันมานี้นางเดินสำรวจทั่วทั้งจวน ทว่ากลับไม่พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อยไม่ว่าจะเป็นประตูหน้าหรือประตูหลัง ล้วนถูกผนึกไว้อย่างแน่นหนา
แต่แล้วก็เห็นว่า ร่างของเซียวเหิงเอียงวูบไปด้านข้าง นอนแน่นิ่งไป เขาหมดสติไปแล้วแม่เซียวตกใจสุดขีด รีบร้องลั่น "เร็วเข้า! รีบไปตามหมอมา! เหิงเอ๋อร์ เหิงเอ๋อร์! อย่าทำให้แม่ตกใจแบบนี้นะ เหิงเอ๋อร์!"เด็กรับใช้ข้างนอกรีบเข้ามา แล้วช่วยกันหามร่างของเซียวเหิงออกไปทันทีแม่เซียวก็ร้องไห้ตามออกไปทั้งน้ำตาพ่อเซียวมองดูรอยเลือดที่ยังติดอยู่บนแส้ ในใจพลันปวดร้าว สายตาหันไปมองหนิงซวงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วก็ทำได้แค่ถอนหายใจ "ไม่ใช่ว่าข้าไม่คิดจะช่วยเรื่องนี้ เพียงแต่เมื่อครู่ เจ้าก็เห็นกับตาแล้ว... เจ้ากลับไปก่อนเถอะ!"พูดจบ พ่อเซียวก็เดินจากไปทิ้งไว้เพียงหนิงซวงที่ยังยืนร้องไห้อยู่กับที่อย่างไร้ที่พึ่งนางไม่คิดเลยว่าแม่ทัพเซียวจะปากแข็งถึงเพียงนี้ ถึงขนาดยอมถูกตีจวนตายก็ไม่ยอมเอ่ยถึงเบาะแสของคุณหนูเลยสักคำแต่ถ้าคนที่พาตัวคุณหนูไปคือแม่ทัพเซียว เช่นนั้นคุณหนูของนางก็คงยังไม่มีอันตรายถึงชีวิตใช่ไหม?หากนายท่านเองยังไม่มีวิธีจัดการแม่ทัพเซียว เช่นนั้น บางทีคุณชายใหญ่อาจจะทำอะไรได้บ้างก็เป็นได้?หนิงซวงตัดสินใจว่าจะรอให้คุณชายใหญ่ฟื้นก่อนค่อยมาถาม……เฉียวเนี่ยนลืมตาขึ้นช้า ๆ สิ่งแรก
หนิงซวงก็เห็นรอยขีดข่วนบนลำต้นไม้เช่นกันนางรีบลุกขึ้นยืน คว้าชายแขนเสื้อของหวังเอ้อไว้แน่น "ต้นเหมยแดงต้นนี้รองแม่ทัพจิ่งเป็นคนปลูกเอาไว้ คุณหนูไม่มีทางทำร้ายมันเด็ดขาด! หวังเอ้อ ทำยังไงดี! คุณหนูต้องถูกใครจับตัวไปแน่ ๆ !"รอยขีดนี้ ต้องเป็นรอยที่คุณหนูทิ้งไว้ตอนดิ้นรนขัดขืนแน่ ๆ !หวังเอ้อเองก็ร้อนใจเช่นกัน แต่ก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว "เจ้าจงไปแจ้งข่าวให้ตระกูลเซียว ข้าจะไปหาท่านโหวน้อยที่จวนโหว!"แม้ว่าคุณหนูจะตัดขาดความสัมพันธ์กับจวนโหวแล้ว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เขาเชื่อว่าท่านโหวน้อยต้องยื่นมือเข้าช่วยแน่ส่วนตระกูลเซียว แม้ว่าคุณหนูของนางจะหย่าขาดกับคุณชายใหญ่ไปแล้ว ทว่าเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน คิดว่าตระกูลเซียวคงไม่เพิกเฉยแน่นอนไม่อย่างนั้นแล้ว ลำพังเขากับหนิงซวงแค่สองคน จะไปช่วยคุณหนูได้อย่างไรกัน?เมื่อได้ฟังเช่นนั้น หนิงซวงก็พยักหน้ารัว ๆ แล้วรีบปาดน้ำตา ก่อนจะวิ่งออกจากจวนไปอย่างเร่งรีบไม่นานนัก นางก็วิ่งไปถึงตระกูลเซียว พอเห็นพ่อเซียวกับแม่เซียว ก็ทรุดลงคุกเข่าในทันที "นายท่าน ฮูหยิน ได้โปรดช่วยคุณหนูของข้าด้วยเถิด! คุณหนูของข้าถูกคนจับตัวไปแล้ว!"เมื่อได้ยิ
เขาไม่คาดคิดเลยว่าตนเองจะได้รับความไว้วางใจจากคุณหนูใหญ่ถึงเพียงนี้จึงพยักหน้าแรง ๆ หลายครั้ง "เช่นนั้นบ่าวจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้ คุณหนูวางใจได้ ภายในสามวันเรื่องนี้ต้องแล้วเสร็จแน่นอน จะไม่ขาดไปแม้แต่ตำลึงเดียวขอรับ"เมื่อได้ยินดังนั้น เฉียวเนี่ยนจึงยิ้มแย้มอย่างงดงาม "ดี"หวังเอ้อจึงคำนับแล้วถอยออกไปขณะเดียวกันใจของเฉียวเนี่ยนก็พลันจมดิ่งลงสู่หุบเหวคำพูดของแม่เซียวเมื่อครู่นั้นยังคงก้องอยู่ข้างหูโดยเฉพาะประโยคนั้นที่ว่า 'ดาวกาลกิณีไร้คู่ ไร้วิธีแก้ไข' ช่างราวกับมีดเล่มหนึ่งที่คอยเฉือนนางอย่างไม่หยุดยั้งผู้คนที่นางใกล้ชิดที่สุดต่างทยอยจากนางไปทีละคนแต่แม่เซียวกลับบอกนางว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นเพราะตัวนางเองเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกฉีกออกเป็นริ้ว ๆเฉียวเนี่ยนกำหมัดแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้ต้นเหมยแดงต้นนั้น บัดนี้หาได้เป็นเพียงต้นเปล่าโล้นเช่นก่อนออกเรือนไม่มันแตกหน่อใบเขียวออกมาแล้ว ที่ปลายกิ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอันเจิดจ้าจนถึงเวลานี้ ความเจ็บปวดที่แน่นอัดในอกของเฉียวเนี่ยนจึงคล้ายจะทุเลาลงบ้างนางเดินมาหยุดใต้ต้นไม้ ลูบไล้ลำต้นอย่างแผ่วเบา ภ
เฉียวเนี่ยนพูดจบก็เตรียมจะเดินออกไป แต่ไม่คาดคิดว่าแม่เซียวกลับรีบคว้ามือของนางไว้ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึก"เนี่ยนเนี่ยน แม่ก็เห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็กจนโต... แม่ผิดเอง กำไลนี้..." แม่เซียวพูดพลางยื่นกำไลข้อมือของตัวเองมาให้เฉียวเนี่ยนแต่ยังไม่ทันได้สวมให้เฉียวเนี่ยน ก็ถูกห้ามไว้เสียก่อนเฉียวเนี่ยนจับมือของแม่เซียวไว้ แล้วยิ้มบาง ๆ "ท่านป้าไม่ต้องทำเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ ข้าเองก็จะไปอยู่แล้ว ตอนนี้แค่เร็วกว่าที่คิดไว้เล็กน้อยเท่านั้นเอง สำหรับกำไลนี้ ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ"ยิ่งไปกว่านั้น บนข้อมือของนางเองก็มีกำไลหยกอยู่แล้วแม้มันจะไม่ค่อยสวย แต่สำหรับนางแล้วมันมีค่ามากยิ่งนักนางไม่อาจถอดกำไลนั้นออกมาเพื่อใส่กำไลอีกอันหนึ่งได้เฉียวเนี่ยนค่อย ๆ ดึงมือของตัวเองออก แล้วหมุนตัวกลับไป โดยไม่หยุดแม้แต่นิดเดียวหนิงซวงเห็นเฉียวเนี่ยนเดินออกมา ก็รีบเร่งฝีเท้าตามไปอย่างรวดเร็วทว่าไม่คาดคิดว่าเฉียวเนี่ยนกลับไม่พูดอะไรสักคำ เดินตรงไปข้างหน้าอย่างเงียบงันหนิงซวงจึงไม่ได้กล้าถามอะไรมาก เพียงเร่งฝีเท้าตามหลังอย่างกระชั้นชิดใครจะไปคิดว่า เดินตามไปเรื่อย ๆ สุดท้ายกลับมาหยุดอยู่ที่เร
แม่เซียวกลับค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน แล้วทำท่าจะคุกเข่าลงต่อหน้าเฉียวเนี่ยนเฉียวเนี่ยนตกใจยิ่ง รีบเข้าไปประคองไว้ก่อนที่หัวเข่าของแม่เซียวจะแตะพื้น "ท่านแม่จะทำเช่นนี้ไปเพื่อสิ่งใดกันเจ้าคะ?!"แม่เซียวที่ลุกขึ้นยืนแล้ว น้ำตาไหลนองเต็มใบหน้า"เนี่ยนเนี่ยน เป็นตระกูลเซียวของเราที่ล่วงเกินเจ้า แต่ข้าก็จนปัญญาจริง ๆ บอกตามตรงนะ ตอนที่ข้าได้ยินข่าวลือจากข้างนอก ข้าก็นำวันเดือนปีเกิดของเจ้าไปให้มหาเถระฉือเอินที่วัดฝ่าหัวดู เดิมทีก็แค่อยากให้ท่านมหาเถระช่วยชี้แนะหาทางแก้ไข ทว่าในกระดาษพยากรณ์ที่ท่านส่งกลับมา มีเพียงว่า ดาวกาลกิณีไร้คู่ ไม่มีทางแก้ไข!"แม่เซียวทั้งร้องไห้ทั้งพูด เสียงสั่นสะอื้นฟังดูเวทนายิ่งนักส่วนเฉียวเนี่ยนนั้น ถึงกับยืนตะลึงนิ่งงันนางคือดาวกาลกิณีไร้คู่เช่นนั้นหรือ?ถึงได้ทำให้คนรอบตัวที่นางรักต้องจากไปทีละคนเช่นนี้งั้นหรือ?กลางอกปวดร้าวราวกับถูกมีดกรีดแทง ในชั่วขณะนั้น เฉียวเนี่ยนรู้สึกราวกับแม้แต่การหายใจก็เป็นเรื่องยากยิ่งแต่แม่เซียวก็ยังคงสะอื้น พลางปาดน้ำตาไปด้วย "เดิมทีข้าคิดว่า หากเหอเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร กระดาษพยากรณ์นี้ก็คงไม่น่าเชื่อถือ แต่ตอนนี้…"เฉียวเนี่ยน