ในเมื่อเต๋อกุ้ยเฟยบอกว่าให้นางไปส่งหมิงอ๋องเป็นครั้งสุดท้าย เช่นนั้นคงไม่ได้หมายความว่าให้นางทําความเคารพแล้วก็จากไปหรอกดังนั้นหลังจากเฉียวเนี่ยนทําความเคารพเสร็จก็เดินไปเผากระดาษเงินกระดาษทองให้หมิงอ๋องขันทีน้อยสองคนที่อยู่นอกห้องโถงไว้ทุกข์เห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบกัน“แม่นางเฉียวผู้นั้นดูเหมือนจะมีความรักต่อหมิงอ๋องอย่างลึกซึ้งนะ เพิ่งมาเมื่อเช้านี้เอง ตอนนี้มาอีกแล้ว"“ใช่สิ เจ้าไม่เห็นหรือว่าพอนางเห็นโลงศพของหมิงอ๋องก็ตาแดงแล้ว น่าสงสารยิ่งนัก”“เฮ้อ... ลากันแบบตายจากย่อมทุกข์ทรมานที่สุด...อ๊ะ! บ่าว บ่าวคารวะใต้เท้าเซียวขอรับ!”ใบหน้าของเซียวเหิงเย็นชาราวกับถูกน้ำแข็งแช่แข็งมาก่อน ดวงตาทั้งคู่กวาดมองขันทีสองคนนั้น น้ําเสียงราวกับเต็มไปด้วยไอสังหาร “กฎในวังสอนให้พวกเจ้าพูดนินทาถึงเจ้านายหรือ?”ขันทีน้อยทั้งสองนิ่งอึ้งไป รู้สึกเพียงว่าแม่นางเฉียวผู้นี้ก็ไม่ถือว่าเป็นเจ้านายกระมัง?แต่เมื่อเห็นท่าทีเย็นชาของเซียวเหิง ในใจก็ว้าวุ่นไม่หยุด จึงรีบโขกหัว “บ่าวไม่กล้าขอรับ ขอใต้เท้าเซียวโปรดอภัยด้วย!"วันนี้อารมณ์ของใต้เท้าเซียวดูเหมือนไม่ค่อยดีนัก เขาแค่นเสียงในลํา
คําว่า'ความปรารถนาสุดท้ายของเสด็จพี่'ทําให้ฮ่องเต้ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นฮ่องเต้กําลังพิจารณาความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ เฉียวเนี่ยนก็ตื่นตระหนก แต่ไม่รอให้นางเอ่ยปาก เซียวเหิงก็ออกตัวก่อน “ไม่ได้เด็ดขาด แม่นางเฉียวแค่มีสัญญาหมั้นหมายกับหมิงอ๋องเท่านั้น หากมาส่งในฐานะแม่หม้าย เกรงว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้พ่ะย่ะค่ะ”สิ่งที่สําคัญที่สุดคือถ้าเฉียวเนี่ยนออกไปส่งในฐานะแม่หม้าย ตามประเพณีของแคว้นจิ้ง นางจะไม่สามารถแต่งงานได้อีกเป็นเวลาสามปีได้ยินคําพูดของเซียวเหิง ฮ่องเต้จึงพยักหน้า “คําพูดมีเหตุผล ซูหยวน อย่าทำตัวเหลวไหล หากถูกวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา จะทําให้ราชสํานักเสียหน้าเอาได้”ได้ยินดังนั้น ซูหยวนก็แลบลิ้นออกมา พิงไหล่ฮ่องเต้อย่างออดอ้อน “ซูหยวนก็แค่พูดไปอย่างนั้นเองเพคะ”ฮ่องเต้มีองค์หญิงซูหยวนเพียงลูกสาวคนเดียว ย่อมไม่กล่าวโทษอยู่แล้ว ตรงกันข้ามกลับตบหลังมือของซูหยวนอย่างเอ็นดูแต่กลับไม่เคยเห็นแววตาที่องค์หญิงซูหยวนมองเฉียวเนี่ยนเต็มไปด้วยความเกลียดชังได้ยินเพียงเสียงเย็นชาของนาง “แต่ว่า... ต่อให้ไม่สามารถส่งในฐานะแม่หม้าย แต่ชีวิตของแม่นางเฉียวก็ได้รับการช่วยเหลือจาก
เฉียวเนี่ยนยอมรับ นางอยากให้องค์หญิงซูหยวนจัดการหลินยวนจริงๆ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องยืมมือฆ๋าคนหรอกอีกอย่าง เสื้อผ้าชุดนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง !เฉียวเนี่ยนขมวดคิ้วแน่นและเอ่ย "ร้านตัดเย็บเสื้อผ้าร้านนั้น หม่อมฉันก็ได้คืนให้กับเต๋อกุ้ยเฟยแล้ว""แต่กระโปรงตัวนั้นเป็นของเจ้า! " องค์หญิงซูหยวนตะโกนออกมาด้วยความโกรธ "วันที่สองข้าก็ได้สั่งให้คนไปสืบมาอย่างชัดเจนแล้ว! เสื้อผ้าชุดนั้น เป็นเซียวเหิงที่สั่งทำตามขนาดตัวของเจ้า! "เฉียวเนี่ยนตกตะลึงนิ่งนั่นเป็นถึงเสื้อผ้าของผ้าไหมท้องฟ้า ที่สามถึงห้าปีก็ยังไม่แน่ว่าจะได้ชุดมา...เซียวเหิง ส่งให้นางเหรอ?ดูท่าทางตกตะลึงของเฉียวเนี่ยน องค์หญิงซูหยวนก็รู้สึกเพียงแค่โมโหเป็นอย่างมากจึงตะโกนด่าออกมาในทันที "เจ้าแสร้งทำเป็นซืออยู่ตรงนี้ให้มันน้อยหน่อย ! เฉียวเนี่ยนในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าเซียวเหิงคือคนที่ข้าชอบ ก็ควรที่จะตระหนักได้แล้วออกไปให้ไกลๆ หน่อย ! "เมื่อได้ยิน เฉียวเนี่ยนก็คำนับองค์หญิงซูหยวนในทันที่ "องค์หญิงโปรดระงับโทสะเพคะ หากกระโปรงตัวนั้นเป็นแม่ทัพเซียวส่งให้หม่อมฉันจริง นั่นก็มีความเป็นไปได้เพียงแค่ประการเดียวคือขอโทษเพค
ตอนที่เฉียวเนี่ยนกลับมาถึงเรือนฟางเหอก็เป็นยามบ่ายแล้วหลังจากที่นางเข้าไปด้านในห้องนางก็นอนลงไปบนเตียงตั่งอ่อนนุ่มด้านข้างอย่างไร้เรี่ยวแรง ภายในสมองก็มีแต่คำพูดที่องค์หญิงซูหยวนเอ่ยกับนางในตอนสุดท้ายนางถึงได้รู้ว่า ที่แท้สามปีมานี้หลินยวนถูกจวนโหวปกป้องเอาไว้ดีแบบนี้ที่แท้ในตอนที่นางถูกนางบ่าวกรมซักล้างรังแก แม้แต่ประตูใหญ่ของพระราชวังตระกูลหลินก็ไม่อยากไม่ให้หลินยวนก้าวเข้ามา !ก็เหมือนกับว่าเรื่องที่นางถูกลงโทษให้เข้าไปอยู่ที่กรมซักล้างจะกลายเป็นสัญญาณการระวังตัวของจวนโหว พวกเขากลัวว่าคนในพระราชวังหรือเรื่องราวจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลินยวนดังนั้นพวกเขาถึงได้ไม่สนใจนางเลยตลอดสามปี...ที่น่าตลกก็คือ นางถูกรับกลับไปที่จวนโหวเพียงไม่กี่วันฮูหยินหลินก็แทบจะรอไม่ไหวแล้วพานางไปที่นั่น สามปีมานี้ล้วนแต่ถูกพวกเขามองเป็นภัยพิบัติของวังหลวง...คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉียวเนี่ยนอดหัวเราะออกมาเสียงต่ำไม่ได้ เสียงหัวเราะทั้งเศร้าทั้งขมที่จริงนางทนได้ หลังจากที่ประสบกับความไม่ถูกแยแสเมื่อสามปีก่อน นางก็ประจักษ์ชัดถึงสถานะของตนเองในจวนโหวมาตั้งนานแล้วเพียงแต่สิ่งเดียวทำให้รู้สึกทุกข์ก็
นางสวมใส่ชุดสีม่วงทั้งตัวตามอยู่ด้านหลังสุดของขบวนเคลื่อนศพ ตลอดทางทำให้ชาวบ้านตำหนิอยู่ไม่น้อยแค่ส่งขบวนก็ถูกตำหนิแบบนี้แล้ว ถ้าเกิดว่าใส่ชุดไว้ทุกข์แล้วยังแบกโลงศพ...เฉียวเนี่ยนไม่กล้าคิดอย่างละเอียดจริงๆจนกระทั่งส่งขบวนเคลื่อนศพออกจากเมืองหลวง เฉียวเนี่ยนถึงได้หมุนตัวเดินกลับไปชาวบ้านที่อยู่ข้างทางยังคงเหลือบมองนางอยู่แต่โชคดีที่อารมณ์ของเฉียวเนี่ยนไม่ได้รับผลกระทบนี้แม้กระทั่งมีความโล่งใจเล็กน้อยอย่างน้อยในเรื่องของหมิงอ๋องนางก็สามารถโล่งใจไปได้หนึ่งเปราะเมื่อกำลังคิดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น "แม่นางเฉียว"เฉียวเนี่ยนมองไปตามเสียงกลับเป็นจิ่งเหยียนขณะนั้นจึงได้ยิ้มตอบ แล้วคารวะต่อจิ่งเหยียนที่กำลังเดินเข้ามาหานาง "คารวะรองแม่ทัพจิ่งเจ้าค่ะ"จิ่งเหยียนรีบยกมือสองข้างขึ้นมาประสานตอบกลับ "แม่นางเฉียวไม่ต้องเกรงใจมากถึงขนาดนี้ก็ได้"พอยกมือขึ้นมาประสานก็ทำให้เฉียวเนี่ยนเห็นขนมที่เขาหิ้วเอาไว้ในมือ "นี่คือ ให้ข้าเหรอเจ้าคะ ? "จิ่งเหยียนยิ้ม แต่กลับมีความเขินอายอยู่หลายส่วนมือทั้งสองข้างส่งขนมไปที่เบื้องหน้าของเฉียวเนี่ยนเฉียวเนี่ยนยื่นมือไปรับ แต่กลับเอ่ย "ขอบคุณเจ้
เวลาผันผ่าน ไม่นานผ่านไปครึ่งเดือนอีกแล้วครึ่งเดือนมานี้ จวนโหวเงียบสงบ จวบจนเทียบเชิญงานเลี้ยงบุปผาวสันตฤดูส่งมาที่จวนงานเลี้ยงบุปผาวสันตฤดูเป็นงานเลี้ยงที่ฮองเฮาทรงจัดตั้งขึ้น ทว่าองค์หญิงกลับเป็นผู้รับผิดชอบ ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของทุกปี องค์หญิงจะให้โหรหลวงเลือกวันที่อบอุ่นที่สุด เชิญคุณชายคุณหนูแต่ละตระกูลเข้าวังมาชมดอกไม้ร่ำสุรา ท่องบทกวีแต่งกลอนเฉียวเนี่ยนเล่นเทียบเชิญที่ถืออยู่ในมือ หนิงซวงเห็น เลยอดถามไม่ได้ "คุณหนูจะไปหรือไม่เจ้าคะ?"ในน้ำเสียงดูกังวลอยู่หลายส่วนเฉียวเนี่ยนเลิกคิ้วขึ้น "เหตุใดจะไม่ไปเล่า?"หนิงซวงขมวดคิ้วเดินไปข้างหน้า "บ่าวก็ไม่รู้ เพียงแต่ทุกปีที่เทียบเชิญงานเลี้ยงบุปผาวสันตฤดูส่งมา นายท่านกับฮูหยินจะโกหกว่าคุณหนูรองป่วย ไม่ให้คุณหนูรองไป บ่าวคิดว่า งานเลี้ยงบุปผาวสันตฤดูนี้ น่าจะไม่ใช่สถานที่ที่ควรไปเท่าไหร่เจ้าคะ!"เฉียวเนี่ยนหยักยิ้มริมฝีปาก หัวเราะเสียงต่ำก็หาใช่สถานที่ที่ควรไปจริงๆ ตอนนั้นนางถูกลงโทษให้ไปกรมซักล้างในงานเลี้ยงบุปผาวสันตฤดูเพียงแต่ นางไม่คิดเลยว่าท่านโหวหลินกับฮูหยินหลินจะรักหลินยวนชัดปานนี้ ชัดถึงขั้นแม้แต่สาวใช้ในจวนยังดู
เมื่อได้ยินวาจานี้ ความกระดากอายบนดวงหน้าหลินยวนพลันหายไปทันที แทนที่ด้วยท่าทางวิตกกังวลและตื่นตัว "พี่หญิงหวังให้ข้าไปร่วมงานเลี้ยง?"หนิงซวงไม่รู้ว่าเหตุใดหลินยวนถึงสีหน้าเปลี่ยนไปเร็วเช่นนี้ ทว่าก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพียงเอ่ยต่อว่า "คุณหนูใหญ่บอกว่า แม่ทัพเซียวอาจจะประกาศเรื่องแต่งงานกับคุณหนูรองที่งานเลี้ยงบุปผาวสันตฤดูก็ได้! ไม่เช่นนั้น จะส่งชุดล้ำค่าเช่นนี้มาให้คุณหนูรองทำไมเล่าเจ้าคะ?"แต่งงานสองคำนี้ เหมือนไปสะกิดบางอย่างในใจหลินยวนเข้าความวิตกกังวลกับตื่นตัวเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง รอยแดงซับอยู่บนดวงหน้านางอีกครั้ง และยิ่งเหนียมอายกว่าก่อนหน้าอย่างมาก "พี่หญิงพูดเช่นนี้จริงหรือ? นาง นางได้ยินอะไรมาใช่หรือไม่?"หนิงซวงกล่าวด้วยสีหน้าปกติ “อันนี้บ่าวไม่รู้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้คุณหนูใหญ่กังวลว่าเรื่องของหมิงอ๋องจะไปกระทบเรื่องงานแต่งของคุณหนูรองกับแม่ทัพเซียวจริง ทว่าไม่กี่วันมานี้กลับไม่เคยเอ่ยถึงเลย”ส่วนเรื่องที่เหลือ ก็ให้หลินยวนเดาเอาเองเถิด!และไม่รู้ว่าหลินยวนคิดถึงอะไร หน้ายิ่งซับสีมากขึ้นหนิงซวงไม่รั้งอยู่นานอีก หลังวางชุดเสร็จก็จากไปยามใกล้พลบค่ำ เฉียวเนี่ยนถ
เมื่อได้รับการยืนยัน ในใจหลินยวนเบิกบานสุดขีด ก่อนหมุนตัวเดินไปอยู่ข้างๆ ท่านโหวหลินแล้วคุกเข่าลง แนบหัวกับเข่าทั้งสองข้างของท่านโหวหลิน พลางกล่าวออดอ้อน "ท่านพ่อ ท่านให้ข้าไปเถิดนะ! วันหน้ายวนเอ๋อร์จะต้องออกเรือนกับท่านพี่เหิง ช้าเร็วก็ต้องเข้าวัง หากถึงตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำให้ท่านพี่เหิงขายหน้าจะทำอย่างไร?"เมื่อได้ยินวาจานี้ ท่านโหวหลินกับฮูหยินหลินอดเหลือบมองกันไม่ได้นั่นสิ วันหน้าหลินยวนต้องกลายเป็นนายหญิงตระกูลเซียว ตอนนี้พวกเขาปกป้องนางอย่างดีเช่นนี้ ไม่แน่อาจจะกลับกลายเป็นทำร้ายนางฮูหยินหลินยังคงกังวล ทว่าน้ำเสียงอ่อนลงแล้ว "เช่นนั้นเจ้าเข้าวังไปแล้ว ห้ามเตร็ดเตร่ไปทั่วเด็ดขาด ต้องตามติดพี่เจ้าให้ดี รู้ไหม?"ได้ยินฮูหยินหลินเห็นด้วยเช่นนี้ หลินยวนดีใจแทบบ้า รีบกล่าว "ขอบคุณท่านแม่เจ้าคะ!"จากนั้น ก็เงยหน้าขึ้นมองท่านโหวหลิน ใบหน้าจิ้มลิ้มทำให้คนรู้สึกเอ็นดูเป็นพิเศษ "ท่านพ่อ...""เอาเถิดๆ ตามใจเจ้าเถิด!"ท่านโหวหลินก็จำใจเห็นด้วย ทว่าก็กล่าวเตือน "อย่าลืมพูดจาระวัง กระทำการรอบคอบ งานเลี้ยงบุปผาวสันตฤดูจบแล้วรีบกลับจวนทันที ห้ามอ้อยอิ่งอยู่ในวัง!""ยวนเอ๋อร์เข้
"ว่ากันตามจริงแล้ว ข้าควรขอบคุณแม่ทัพเซียวที่ยังจดจําความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับท่านได้ ไม่เช่นนั้นตอนนี้ ข้าคงยังเป็นทาสอยู่ในกรมซักล้าง ข้าขอขอบคุณแม่ทัพเซียวสําหรับความเมตตาของท่าน! แต่ขอเพียงท่านอย่าเลือกตัวเลือกนี้หลังจากชั่งน้ำหนักครั้งแล้วครั้งเล่า บอกว่าเป็นการืำเพื่อข้าอีก"“ข้ารับไม่ไหว”คําสี่คําสุดท้ายนั้น ราวกับค้อนหนักทุบลงบนใจของเซียวเหิงอย่างแรงเซียวเหิงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง กลับถูกม้านั่งสะดุดขา โซเซจนเกือบล้มไปข้างหลังอาจเป็นเพราะเสียงนี้ดังไปหน่อย เฉียวเอ๋อร์และฮุ่ยเอ๋อร์ที่อยู่นอกห้องจึงรีบวิ่งเข้ามาเซียวเหิงตวาดเสียงเข้มทันที "ใครให้พวกเจ้าเข้ามา! ออกไป!"แต่ไม่คิดว่า เฉียวเอ๋อร์และฮุ่ยเอ๋อร์จะคุกเข่าลงพร้อมกัน"ฮูหยิน ท่านให้อภัยท่านแม่ทัพเซียวเถอะ! ท่านแม่ทัพเซียวใส่ใจท่านจริงๆ! เขาได้ยินว่าท่านต้องการพบเขา ก็มาโดยไม่คํานึงถึงอาการบาดเจ็บหนัก!""ใครอนุญาตให้พวกเจ้าพูดมาก? ไสหัวไป!"เซียวเหิงตวาดเสียงเข้มอีกครั้งเฉียวเอ๋อร์กับฮุ่ยเอ๋อร์ยังอยากจะเกลี้ยกล่อมอีก พวกนางทนเห็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตัวเองน่าเวทนาเช่นนี้ไม่ได้ แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาคู่นั้นของเซ
แผลเป็นเหล่านั้นราวกับกำลังเป็นพยานให้กับเซียวเหิง ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาใส่ใจนางเพียงใดน้ำตาก็เอ่อล้นขึ้นมาในดวงตาของเฉียวเนี่ยนโดยไม่รู้ตัวนางยื่นมือออกไป ลูบเบา ๆ ลงบนแผลเป็นบริเวณอกของเขา ปลายนิ้วของนางเย็นเฉียบราวกับอาวุธอยู่ ๆ นางก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบา "เจ็บไหม?"คิ้วของเซียวเหิงกระตุกขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัวเจ็บไหม?สองพยางค์นี้ นางเคยถามจิ่งเหยียนมาก่อนเขาเห็นกับตาว่าหลังจากนั้น นางกับจิ่งเหยียนโอบกอดกันแนบแน่นเพียงใด เพราะเหตุนี้ เวลานี้จึงมีอารมณ์บางอย่างที่ไม่อาจเอ่ยออกมาจุกอยู่กลางอก จนไม่อาจเปล่งถ้อยคำใดออกมาได้เลยแม้แต่คำเดียวแต่แล้วก็เห็นนางเงยหน้าขึ้นมามองเขากะทันหัน ท้ายที่สุดน้ำตาในดวงตาก็ไหลรินลงมาเสียงเบา ๆ อ่อนโยนนั้นเอ่ยว่า "จิ่งเหยียน… ต้องเจ็บมากแน่ ๆ เลย"เพราะนางเห็นกับตา ว่าบนร่างของจิ่งเหยียนตรงตำแหน่งนี้ มีรูขนาดใหญ่ทะลุเป็นโพรงเหล่าทหารกล่าวว่า นั่นคือบาดแผลจากดาบที่จิ่งเหยียนรับไว้แทนเซียวเหิง แทงทะลุผ่านร่างกายนางคิดว่า ตอนนั้นจิ่งเหยียนคงเจ็บมาก เจ็บมากจริง ๆเซียวเหิงไม่เคยคาดคิดเลยว่า เวลานี้ เวลาที่นางกำลังมองแผลเป็นทั่วร่างของเขา
"..."เฉียวเนี่ยนไม่รู้ว่าเฉียวเอ๋อร์กับฮุ่ยเอ๋อร์ไปพูดสิ่งใดกับเซียวเหิง แต่เห็นได้ชัดว่าเซียวเหิงกำลังเข้าใจผิดคิ้วเรียวงามของนางขมวดแน่น เฉียวเนี่ยนเอ่ยเสียงขรึม "ท่านต้องการอะไรกันแน่? เหตุใดต้องกักข้าทิ้งไว้ที่นี่?"รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวเหิงชะงักไปชั่วขณะ แต่ยังคงฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนไว้ ดวงตาสีเข้มลึกฉายแสงจากเปลวเทียน แวววาวนัก"นี่มิใช่การกักขัง ข้าเพียงแค่… อยากให้เราสองคน… มีโอกาสอีกครั้ง"โอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่งแต่ว่าดวงตาของเฉียวเนี่ยนกลับยิ่งหม่นมัว นางมองเซียวเหิง ปากยกยิ้มเย้ยหยัน "โอกาสหรือ? เมื่อสามปีก่อน แม่ทัพเซียวก็หาได้เคยให้โอกาสข้าไม่"เมื่อสามปีก่อน พวกเขาทั้งหมดต่างยืนอยู่ข้างหลินยวน กระทั่งคำแก้ตัวของนาง ก็ยังถูกสายตาอันดุดันของเขาบีบให้กลืนกลับลงไปหากสามปีก่อนเขาไม่ต้องการนางแล้ว เช่นนั้นเหตุใดสามปีให้หลังยังจะมากักนางไว้อีก!เมื่อได้ยินนางพูดถึงเรื่องในอดีตเมื่อสามปีก่อน หัวใจของเซียวเหิงก็เจ็บปวดราวกับถูกกรีดด้วยมีดเขาก้าวเข้าไปใกล้นาง แต่ก็เห็นนางถอยกรูดไปสามก้าวทันที มือที่กำปิ่นปักผมไว้แน่นก็ยกขึ้นเตรียมป้องกันตัวเขาจึงหยุด
สามวันต่อมาเฉียวเนี่ยนนั่งอยู่ใต้ชายคา ข้างซ้ายมีสาวใช้กำลังแกะเมล็ดแตงให้กับนาง ข้างขวามีสาวใช้อีกคนกำลังหั่นแตงโมให้นางสามวันแล้ว แต่นางกลับยังไม่ได้พบกับเซียวเหิงเลยกลับกัน ตอนนี้นางกลับคุ้นเคยกับสองสาวพี่น้องคู่นี้เป็นอย่างดีทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ฝั่งซ้ายชื่อเฉียวเอ๋อร์ ฝั่งขวาชื่อฮุ่ยเอ๋อร์สองนางมิใช่คนเมืองหลวง บ้านเกิดอยู่ไกลถึงชายแดนเมื่อครั้งอดีต เซียวเหิงช่วยชีวิตสองนางจากสนามรบ ญาติพี่น้องทั้งหมดล้วนเสียชีวิตเพราะสงคราม สองนางจึงติดตามเซียวเหิงกลับเมืองหลวงสำหรับสองนาง เซียวเหิงคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิต จึงเชื่อฟังเซียวเหิงทุกถ้อยคำแน่นอนว่าย่อมเคารพนบนอบต่อเฉียวเนี่ยนด้วยตลอดสามวันที่ผ่านมา ทั้งสองดูแลนางอย่างสุดความสามารถ ว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ เพียงแต่ไม่ยอมบอกนางว่าที่นี่คือที่ใดหากเซียวเหิงไม่อนุญาต พวกนางจะไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่แห่งนี้แม้แต่น้อยไม่ใช่เฉียวเนี่ยนไม่เคยลองใช้วิธีอื่น สามวันมานี้นางเดินสำรวจทั่วทั้งจวน ทว่ากลับไม่พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อยไม่ว่าจะเป็นประตูหน้าหรือประตูหลัง ล้วนถูกผนึกไว้อย่างแน่นหนา
แต่แล้วก็เห็นว่า ร่างของเซียวเหิงเอียงวูบไปด้านข้าง นอนแน่นิ่งไป เขาหมดสติไปแล้วแม่เซียวตกใจสุดขีด รีบร้องลั่น "เร็วเข้า! รีบไปตามหมอมา! เหิงเอ๋อร์ เหิงเอ๋อร์! อย่าทำให้แม่ตกใจแบบนี้นะ เหิงเอ๋อร์!"เด็กรับใช้ข้างนอกรีบเข้ามา แล้วช่วยกันหามร่างของเซียวเหิงออกไปทันทีแม่เซียวก็ร้องไห้ตามออกไปทั้งน้ำตาพ่อเซียวมองดูรอยเลือดที่ยังติดอยู่บนแส้ ในใจพลันปวดร้าว สายตาหันไปมองหนิงซวงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วก็ทำได้แค่ถอนหายใจ "ไม่ใช่ว่าข้าไม่คิดจะช่วยเรื่องนี้ เพียงแต่เมื่อครู่ เจ้าก็เห็นกับตาแล้ว... เจ้ากลับไปก่อนเถอะ!"พูดจบ พ่อเซียวก็เดินจากไปทิ้งไว้เพียงหนิงซวงที่ยังยืนร้องไห้อยู่กับที่อย่างไร้ที่พึ่งนางไม่คิดเลยว่าแม่ทัพเซียวจะปากแข็งถึงเพียงนี้ ถึงขนาดยอมถูกตีจวนตายก็ไม่ยอมเอ่ยถึงเบาะแสของคุณหนูเลยสักคำแต่ถ้าคนที่พาตัวคุณหนูไปคือแม่ทัพเซียว เช่นนั้นคุณหนูของนางก็คงยังไม่มีอันตรายถึงชีวิตใช่ไหม?หากนายท่านเองยังไม่มีวิธีจัดการแม่ทัพเซียว เช่นนั้น บางทีคุณชายใหญ่อาจจะทำอะไรได้บ้างก็เป็นได้?หนิงซวงตัดสินใจว่าจะรอให้คุณชายใหญ่ฟื้นก่อนค่อยมาถาม……เฉียวเนี่ยนลืมตาขึ้นช้า ๆ สิ่งแรก
หนิงซวงก็เห็นรอยขีดข่วนบนลำต้นไม้เช่นกันนางรีบลุกขึ้นยืน คว้าชายแขนเสื้อของหวังเอ้อไว้แน่น "ต้นเหมยแดงต้นนี้รองแม่ทัพจิ่งเป็นคนปลูกเอาไว้ คุณหนูไม่มีทางทำร้ายมันเด็ดขาด! หวังเอ้อ ทำยังไงดี! คุณหนูต้องถูกใครจับตัวไปแน่ ๆ !"รอยขีดนี้ ต้องเป็นรอยที่คุณหนูทิ้งไว้ตอนดิ้นรนขัดขืนแน่ ๆ !หวังเอ้อเองก็ร้อนใจเช่นกัน แต่ก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว "เจ้าจงไปแจ้งข่าวให้ตระกูลเซียว ข้าจะไปหาท่านโหวน้อยที่จวนโหว!"แม้ว่าคุณหนูจะตัดขาดความสัมพันธ์กับจวนโหวแล้ว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เขาเชื่อว่าท่านโหวน้อยต้องยื่นมือเข้าช่วยแน่ส่วนตระกูลเซียว แม้ว่าคุณหนูของนางจะหย่าขาดกับคุณชายใหญ่ไปแล้ว ทว่าเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน คิดว่าตระกูลเซียวคงไม่เพิกเฉยแน่นอนไม่อย่างนั้นแล้ว ลำพังเขากับหนิงซวงแค่สองคน จะไปช่วยคุณหนูได้อย่างไรกัน?เมื่อได้ฟังเช่นนั้น หนิงซวงก็พยักหน้ารัว ๆ แล้วรีบปาดน้ำตา ก่อนจะวิ่งออกจากจวนไปอย่างเร่งรีบไม่นานนัก นางก็วิ่งไปถึงตระกูลเซียว พอเห็นพ่อเซียวกับแม่เซียว ก็ทรุดลงคุกเข่าในทันที "นายท่าน ฮูหยิน ได้โปรดช่วยคุณหนูของข้าด้วยเถิด! คุณหนูของข้าถูกคนจับตัวไปแล้ว!"เมื่อได้ยิ
เขาไม่คาดคิดเลยว่าตนเองจะได้รับความไว้วางใจจากคุณหนูใหญ่ถึงเพียงนี้จึงพยักหน้าแรง ๆ หลายครั้ง "เช่นนั้นบ่าวจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้ คุณหนูวางใจได้ ภายในสามวันเรื่องนี้ต้องแล้วเสร็จแน่นอน จะไม่ขาดไปแม้แต่ตำลึงเดียวขอรับ"เมื่อได้ยินดังนั้น เฉียวเนี่ยนจึงยิ้มแย้มอย่างงดงาม "ดี"หวังเอ้อจึงคำนับแล้วถอยออกไปขณะเดียวกันใจของเฉียวเนี่ยนก็พลันจมดิ่งลงสู่หุบเหวคำพูดของแม่เซียวเมื่อครู่นั้นยังคงก้องอยู่ข้างหูโดยเฉพาะประโยคนั้นที่ว่า 'ดาวกาลกิณีไร้คู่ ไร้วิธีแก้ไข' ช่างราวกับมีดเล่มหนึ่งที่คอยเฉือนนางอย่างไม่หยุดยั้งผู้คนที่นางใกล้ชิดที่สุดต่างทยอยจากนางไปทีละคนแต่แม่เซียวกลับบอกนางว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นเพราะตัวนางเองเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกฉีกออกเป็นริ้ว ๆเฉียวเนี่ยนกำหมัดแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้ต้นเหมยแดงต้นนั้น บัดนี้หาได้เป็นเพียงต้นเปล่าโล้นเช่นก่อนออกเรือนไม่มันแตกหน่อใบเขียวออกมาแล้ว ที่ปลายกิ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอันเจิดจ้าจนถึงเวลานี้ ความเจ็บปวดที่แน่นอัดในอกของเฉียวเนี่ยนจึงคล้ายจะทุเลาลงบ้างนางเดินมาหยุดใต้ต้นไม้ ลูบไล้ลำต้นอย่างแผ่วเบา ภ
เฉียวเนี่ยนพูดจบก็เตรียมจะเดินออกไป แต่ไม่คาดคิดว่าแม่เซียวกลับรีบคว้ามือของนางไว้ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึก"เนี่ยนเนี่ยน แม่ก็เห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็กจนโต... แม่ผิดเอง กำไลนี้..." แม่เซียวพูดพลางยื่นกำไลข้อมือของตัวเองมาให้เฉียวเนี่ยนแต่ยังไม่ทันได้สวมให้เฉียวเนี่ยน ก็ถูกห้ามไว้เสียก่อนเฉียวเนี่ยนจับมือของแม่เซียวไว้ แล้วยิ้มบาง ๆ "ท่านป้าไม่ต้องทำเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ ข้าเองก็จะไปอยู่แล้ว ตอนนี้แค่เร็วกว่าที่คิดไว้เล็กน้อยเท่านั้นเอง สำหรับกำไลนี้ ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ"ยิ่งไปกว่านั้น บนข้อมือของนางเองก็มีกำไลหยกอยู่แล้วแม้มันจะไม่ค่อยสวย แต่สำหรับนางแล้วมันมีค่ามากยิ่งนักนางไม่อาจถอดกำไลนั้นออกมาเพื่อใส่กำไลอีกอันหนึ่งได้เฉียวเนี่ยนค่อย ๆ ดึงมือของตัวเองออก แล้วหมุนตัวกลับไป โดยไม่หยุดแม้แต่นิดเดียวหนิงซวงเห็นเฉียวเนี่ยนเดินออกมา ก็รีบเร่งฝีเท้าตามไปอย่างรวดเร็วทว่าไม่คาดคิดว่าเฉียวเนี่ยนกลับไม่พูดอะไรสักคำ เดินตรงไปข้างหน้าอย่างเงียบงันหนิงซวงจึงไม่ได้กล้าถามอะไรมาก เพียงเร่งฝีเท้าตามหลังอย่างกระชั้นชิดใครจะไปคิดว่า เดินตามไปเรื่อย ๆ สุดท้ายกลับมาหยุดอยู่ที่เร
แม่เซียวกลับค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน แล้วทำท่าจะคุกเข่าลงต่อหน้าเฉียวเนี่ยนเฉียวเนี่ยนตกใจยิ่ง รีบเข้าไปประคองไว้ก่อนที่หัวเข่าของแม่เซียวจะแตะพื้น "ท่านแม่จะทำเช่นนี้ไปเพื่อสิ่งใดกันเจ้าคะ?!"แม่เซียวที่ลุกขึ้นยืนแล้ว น้ำตาไหลนองเต็มใบหน้า"เนี่ยนเนี่ยน เป็นตระกูลเซียวของเราที่ล่วงเกินเจ้า แต่ข้าก็จนปัญญาจริง ๆ บอกตามตรงนะ ตอนที่ข้าได้ยินข่าวลือจากข้างนอก ข้าก็นำวันเดือนปีเกิดของเจ้าไปให้มหาเถระฉือเอินที่วัดฝ่าหัวดู เดิมทีก็แค่อยากให้ท่านมหาเถระช่วยชี้แนะหาทางแก้ไข ทว่าในกระดาษพยากรณ์ที่ท่านส่งกลับมา มีเพียงว่า ดาวกาลกิณีไร้คู่ ไม่มีทางแก้ไข!"แม่เซียวทั้งร้องไห้ทั้งพูด เสียงสั่นสะอื้นฟังดูเวทนายิ่งนักส่วนเฉียวเนี่ยนนั้น ถึงกับยืนตะลึงนิ่งงันนางคือดาวกาลกิณีไร้คู่เช่นนั้นหรือ?ถึงได้ทำให้คนรอบตัวที่นางรักต้องจากไปทีละคนเช่นนี้งั้นหรือ?กลางอกปวดร้าวราวกับถูกมีดกรีดแทง ในชั่วขณะนั้น เฉียวเนี่ยนรู้สึกราวกับแม้แต่การหายใจก็เป็นเรื่องยากยิ่งแต่แม่เซียวก็ยังคงสะอื้น พลางปาดน้ำตาไปด้วย "เดิมทีข้าคิดว่า หากเหอเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร กระดาษพยากรณ์นี้ก็คงไม่น่าเชื่อถือ แต่ตอนนี้…"เฉียวเนี่ยน